หลังจากเฉินสี่ฉวนส่งเยี่ยเทียนขึ้นรถแล้ว นำเอาผลไม้ที่มีอยู่เต็มถุงวางไว้บนหัวเตียงของเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ของพวกนี้นายเก็บไว้กินระหว่างทาง ในถุงยังมีเงินอีกห้าร้อยหยวน ก็เอาไว้ใช้ระหว่างทางเหมือนกัน พอถึงปักกิ่งแล้วก็โทรบอกลุงเฉินหน่อยนะ!”
“ลุงเฉิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณลุงจริงๆ!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า มีคำขอบคุณบางอย่างที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด เฉินสี่ฉวนช่วยอะไรตั้งมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน ซึ่งดูได้จากการที่เขาปฏิบัติต่อเรื่องนี้ของตัวเองก็พอจะเห็นเบาะแสอะไรได้อยู่บ้าง
ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเรา และเฉินสี่ฉวนยังสามารถสละเวลาที่แสนยุ่งเหยิงของตัวเองมาช่วยเหลือเยี่ยเทียนได้ แน่นอนว่าจะต้องสาเหตุบางอย่างที่เข้ากันได้ดีอยู่ในนั้น แต่เฉินสี่ฉวนเป็นคนจริงใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอยู่มาก
“ขอบคุณอะไรกัน โอเค รถไฟจะออกแล้ว นายก็เดินทางปลอดภัยนะ…”
เฉินสี่ฉวนมองไปรอบตัว แล้วจึงเข้าไปเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเยี่ยเทียนว่า “เวลากระชั้นชิดเกินไปเลยซื้อเป็นแบบที่นอนนุ่มไม่ทัน แต่ฉันคุยกับพนักงานบนขบวนนี้กับเธอไว้แล้ว ว่าจะไม่มายุ่มย่ามเรื่องที่นายเอาเฟอร์เร็ตเด็กไปด้วย!”
การพาสัตว์เลี้ยงขึ้นขบวนรถไฟจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยข้อกำหนดพื้นฐานเลยก็คือจะต้องนำสัตว์เลี้ยงใส่ไว้ในกรง และเยี่ยเทียนก็รีบมาก แน่นอนว่าทำตามข้อกำหนดพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
“ผมรู้แล้วครับ ลุงเฉิน ลุงกลับไปเถอะ รอผมไปถึงปักกิ่งแล้วจะโทรหาลุงแน่นอน…” เมื่อได้ยินเสียงประกาศบอกว่ารถจะออกรถแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบหว่านล้อมให้เฉินสี่ฉวนรีบลงจากรถ
ระหว่างหน้าต่างกั้นพลางมองเห็นลุงเฉินยืนโบกมือให้ตัวเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกหลากหลาย คิดไม่ถึงว่าการมาในครั้งนี้ ได้มารู้จักกับเพื่อนที่ซื่อสัตย์และจริงใจคนหนึ่ง
เฉินสี่ฉวนก็ไม่รู้ว่า การช่วยเหลือของเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจในครั้งนี้ ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากเคราะห์ร้ายที่ใหญ่หลวงมาได้ ก็เหมือนกับที่มีคำกล่าวทำดีได้ดี
ตามเสียงหวูดรถไฟที่ดังไกลออกไปจากสถานี เยี่ยเทียนได้ทิ้งร่องรอยของไว้ที่ซินเจียง ก็ค่อยๆ เลือนลางไป ถึงแม้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่เขาเคยสัมผัส ก็ไม่รู้ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของเยี่ยเทียนได้ทลายกลุ่มปล้นสุสานที่มีชื่อภายในประเทศให้ย่อยยับไปหมดแล้ว
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่เยี่ยเทียนกลับมาจากที่นั่น รถออฟโรดคันนั้นที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถทะเลสาบเทียนฉือก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเกรอะเป็นชั้นๆ แล้วจึงดึงดูดความสนใจของพนักงานในที่สุด
หลังจากที่หลายฝ่ายต่างสืบหาเจ้าของรถแต่ก็ไม่เจอนั้น พนักงานของเขตปกครองจึงเปิดรถคันนี้ ทำให้พวกเขาต้องตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้พบ
นอกจากตู้แช่เย็นที่มีความยาวประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตรโดยประมาณแล้ว ยังพบปืนกล M79 หนึ่งกระบอกกับลูกกระสุนอีกหนึ่งร้อยนัด ทำให้ผู้บัญชาการจางคนนั้นต้องพาลูกทีมมาที่ทะเลสาบเทียนฉืออีกครั้ง
จากการสอบสวนอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว ตำรวจวินิจฉัยเบื้องต้นว่านี่คือแก๊งลักลอบล่าสัตว์ เมื่อดึงกล้องวงจรปิดของทะเลสาบเทียนฉือออกมาดู พวกเขาจึงพบเวลาที่คนกลุ่มนี้ขึ้นไปบนภูเขา เป็นเวลาแค่สองสามวันก่อนที่จะเกิดหิมะถล่ม
ในตอนนี้เองทุกคนถึงรู้ว่า ตอนที่เกิดหิมะถล่มนั้น บนภูเขาเทียนไม่ได้มีเพียงแต่เยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ทางเขตปก ครองจึงจัดทีมช่วยเหลืออีกครั้งในทันที แต่ทว่าหลังจากผ่านการค้นหามาสองสามวัน ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าบนภูเขาไม่มีผู้ที่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว
สุดท้ายคดีนี้ก็ถูกกำหนดให้เป็นคดีแก๊งลักลอบล่าสัตว์ถูจนหิมะถล่มทำให้เสียชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมีความสัมพันธ์อะไรกับแก๊งนี้ และร่องลอยสุดท้ายที่เยี่ยเทียนทิ้งไว้ที่ซินเจียง ก็ถูกหิมะใหญ่บนหุบเขาเทียนซานปกคลุมไปหมดแล้ว
……
“เอ๊ะ พ่อหนุ่ม มาหาใครเหรอ?”
ในตอนที่เยี่ยเทียนสวมชุดปีนภูเขาที่ดูประหลาดสุดๆ มาพร้อมกับสองมืออันว่างเปล่าเดินเข้ามาในเรือนสี่ประสานของตัวเอง หญิงชราที่กำลังล้างผักอยู่กลางลานบ้านก็ถามขึ้น และเธอที่อายุมากแล้วจึงสายตาไม่ค่อยดีมาก
“ป้าใหญ่ ผมคือเยี่ยเทียนเองครับ!”
แท้จริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความทรงจำกับคำว่าบ้านสักเท่าไร นับตั้งแต่เริ่มเข้ามัธยมศึกษาเขาก็อยู่ที่บ้านน้อยมาก แต่การกลับบ้านมาครั้งนี้ได้เห็นคนสนิทในครอบครัว ในใจของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
“เสี่ยวเทียน?”
หญิงชราที่กำลังล้างผักอยู่พลันตกตะลึงงัน ลืมแม้กระทั่งปิดก็อกน้ำ มองเยี่ยเทียนอย่างละเอียด แล้วจึงพูดอบรมว่า “แกเนี่ยนะ ออกจากบ้านไปครึ่งเดือนก็ไม่เคยโทรกลับมาที่บ้านเลยสักครั้ง แล้วยังใส่เสื้อผ้าประหลาดบ้าบออีก แถมยังย้อมผม เป็นเหมือนอะไรอีก?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา เดินเข้าไปกอดหญิงชราอย่างสนิทสนมและอบอุ่นใจ พลางพูดว่า “ป้าใหญ่ ผมก็อยากโทรศัพท์อยู่นะ แต่อยู่บนภูเขามันโทรไม่ได้ อ้อใช่ ผมไม่ได้ย้อมนะครับ มันเปลี่ยนเป็นสีดำเอง…”
“ไม่มีอะไรทำก็ไปปีนเขาหรือไง? รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวยังไงกันไม่กลัวร้อนหรือไง? เย็นนี้ป้าใหญ่จะทำอาหารอร่อยๆ แกให้ทาน!”
เมื่อเห็นเสื้อผ้านั้นของเยี่ยเทียนที่เปื่อยยุ่ย หญิงชราจึงรู้ว่าเขาอยู่ข้างนอกต้องลำบากไม่ใช่น้อย สุดท้ายก็เอ็นดูหลานตัวเองอยู่ดี พอเอ็ดเยี่ยเทียนไปสองสามประโยค ก็บอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
“หา? ผมกลับมาเป็นสีดำเอง? หรือว่าอาการป่วยของเยี่ยเทียนหายแล้ว?” เมื่อรอให้เยี่ยเทียนเดินไปที่ลานหลังบ้าน หญิงชราพลันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงรีบเดินตามไปทันที
เมื่อได้ข่าวว่าเยี่ยเทียนกลับมาแล้ว เยี่ยตงผิงจึงรีบปิดร้านที่พานเจียหยวนแต่หัววันเพื่อรีบกลับบ้าน อวี๋ชิงหย่ากับคุณป้ารองของเยี่ยเทียนก็รีบบึ่งมาที่เรือนสี่ประสานเช่นกัน เยี่ยเทียนจึงหนีไม่พ้นที่จะจะต้องพูดเป็นเวลานาน ในการเล่าเรื่องที่ผมของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีดำอีกรอบ
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยหรือคนของบ้านป้ารองของเยี่ยเทียน เกี่ยวกับความสามารถที่แปลกประหลาดในตัวของเยี่ยเทียน กับภูมิคุ้มกันที่หายไปและกลับมามีอีกครั้ง ถึงแม้วิธีการพูดของเยี่ยเทียนจะเหมือนบางช่วงในนิยายกำลังภายในอยู่บ้าง แต่สำหรับร่างกายของเยี่ยเทียนที่ฟื้นฟูกลัยมาแล้ว ก็ได้ทำให้ทุกคนพวกรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนพาเฟอร์เร็ตเด็กกลับมาด้วย อวี๋ชิงหย่ากับหลิวหลันหลันสองสาวต่างก็หลงเสน่ห์ในทันที แล้วจึงอุ้มเจ้าตัวน้อยไม่ยอมวางมือ
แต่ดูเหมือนเจ้าเฟอร์เร็ตน้อยจะไม่ค่อยชอบสาวสวยทั้งสองคนนี้เท่าไร แม้ว่าพวกเธอจะถือเนื้อไก่ที่เฟอร์เร็ตชอบกินมาล่อมันก็ตาม ให้ตายอย่างไรเจ้าตัวน้อยก็ไม่ยอมอ้าปาก มีแต่ตอนที่เยี่ยเทียนป้อนอาหารให้มัน มันถึงยอมกิน ทำให้ทุกคนที่มองดูแล้วจึงจิ๊ๆ ด้วยความแปลกใจ
ตอนที่กำลังจะทานข้าวเสร็จ เยี่ยตงผิงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วจึงเอ่ยพูดกับเยี่ยเทียน “อ้อใช่ เยี่ยเทียน เพื่อนร่วมชั้นของแกคนนั้นมาหาแกสองครั้งแล้ว เหมือนจะชื่อสวีเจิ้นหนาน? อีกสักพักแกก็โทรกลับไปหาเขาหน่อยนะ…”
“พี่ใหญ่มาหาผม? มีเรื่องอะไร?”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย เขาเลิกไปเรียนมาได้สองสามปีแล้ว แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยที่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ก็มีแต่สวีเจิ้นหนาน แล้วจึงมองไปที่อวี๋ชิงหย่าทันที เพราะเพื่อนสนิทของเธอได้ปลูกต้นรักกับพี่ใหญ่มาหลายปีแล้ว
“เรื่องนี้…ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เหมือนจะเกี่ยวกับหรงหรง นายลองไปถามสวีเจิ้นหนานเถอะ…” อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า เพราะครึ่งปีมานี้ล้วนเป็นช่วงฝึกงาน พอเข้าไปอยู่ในสังคมคนทำงาน เธอและเว่ยหรงหรงก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
“ได้ เดี๋ยวฉันจะลองโทรหาเขาดู!” เยี่ยเทียนพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วจึงหันมาพูดกับลู่เชินที่ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงแล้ว
“ฮัลโหล ลูกพี่ ผมแต่ออกไปข้างนอกสองสามวัน โทรมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ เยี่ยเทียนจึงโทรศัพท์ไปหาสวีเจิ้นหนาน
“เยี่ยเทียน มีเรื่องอยากจะคุยกับนายนิดหน่อย ตอนนี้นายอยู่ไหน? ฉันจะไปหานาย…” อารมณ์ของสวีเจิ้นหนานเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยดีใจนัก เสียงที่ดังมาตามสายมีความท้อแท้อยู่บ้าง
“ผมอยู่บ้าน พี่มาสิ คืนนี้ไม่ต้องกลับมหาวิทยาลัยหรอก มาค้างที่บ้านผม” เยี่ยเทียนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ ว่าเรื่องอะไรที่สามารถทำให้พี่ใหญ่ที่ใจกว้างเป็นแม่น้ำเกิดหมดอาลัยตายอยากได้ขนาดนี้?
“ได้ ฉันรีบนั่งรถไปหาเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สวีเจิ้นหนานจึงวางสาย
“พี่ใหญ่ พี่เป็นอะไร? “พ่อแม่พี่ตัดค่าขนมของพี่หรือไง?”
หลังจากรับสวีเจิ้นหนานที่หน้าบ้านแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกตกใจกับสภาพของเขาไม่หยุด สวีเจิ้นหนานคนเดิมที่ตัวใหญ่กำยำน้ำหนักเกือบแปดเก้าสิบกิโลกรัม เวลานี้ผอมลงไปมาก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นก็ดูหลวมโคร่ง
สภาพของสวีเจิ้นหนานดูจิตใจหงอยเหงาเศร้าซึมอยู่บ้าง แล้วจึงเอ่ยพูดว่า “มีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย บ้านนายมีเหล้าไหม?”
“มี ไปกันเถอะ ไปคุยที่ห้องขอผมที่ลานหลังบ้านดีกว่า…” เยี่ยเทียนพยักหน้า พาสวีเจิ้นหนานเข้ามาที่ลานหลังบ้าน จากนั้นก็หยิบเบียร์สองสามขวดพร้อมกับถั่วลิสงมาวางบนโต๊ะ
“ว่ามา สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถทำนายรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวของสวีเจิ้นหนานได้ ทว่าสิ่งที่สามารถทำให้เขาดูผอมแห้งแรงน้อยได้ขนาดนี้ เกือบแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรักแน่นอน
สวีเจิ้นหนานยื่นมือหยิบเบียร์มาหนึ่งขวด หลังจากใช้ปากกัดฝาเปิดออก ดื่ม “อึกๆๆๆ” หมดไปครึ่งขวดแล้วจึงเปิดปากพูด “เยี่ยเทียน นายว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า? ดูนายสิหลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ความสัมพันธ์กับอวี๋ชิงหย่าก็ยังดีขนาดนี้ แต่นับตั้งแต่หรงหรงไปฝึกงาน กับฉันก็….”
พอได้ฟังสวีเจิ้นหนานพร่ำพรรณาอย่างกับผู้หญิงรุ่นป้าไปครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ที่แท้ หลังจากที่เว่ยหรงหรงเข้าไปฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งก็พักอยู่ที่บ้าน พอเป็นแบบนี้กาคบกันของเธอกับสวีเจิ้นหนานก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
แต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งสองคนก็ยังมีนัดเดทกัน ทว่าสวีเจิ้นหนานเริ่มรู้สึกว่า เว่ยหรงหรงมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น เขาก็พูดไม่ถูก
มีวันหนึ่งของเดือนที่แล้ว สวีเจิ้นหนานและเว่ยหรงหรงนัดกันดิบดีว่าจะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตี้ถาน ตอนนั้นสวีเจิ้นหนานไปถึงก่อนเล็กน้อย เขาพบว่าเว่ยหรงหรงกลับลงมาจากรถเบนซ์คันหนึ่ง และคนที่ขับรถก็เป็นเด็กหนุ่ม และมีอากัป กิริยาที่สนิทสนมกับเว่ยหรงหรงมาก
สวีเจิ้นหนานเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อเจอเว่ยหรงหรงก็ถามออกไปตามตรง แต่ไม่คิดว่าเว่ยหรงหรงจะยอมรับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ว่าคนนั้นคือคนที่ตามจีบเธอ
หลังจากพูดจบ เว่ยหรงหรงก็โมโหขึ้นมา แล้วจึงถามสวีเจิ้นหนานว่ากำลังสงสัยเธอว่าจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นใช่ไหม ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้ สุดท้ายจึงเลิกราอย่างมาสบอารมณ์ นี่ก็เกือบจะครึ่งเดือนแล้ว ที่ทั้งสองคนทำสง ครามเย็นกันอยู่
“โถ่เอ้ย ลูกพี่ พูดมาตั้งนานพี่ก็กลุ้มใจเพราะเรื่องนี้? ผมว่าพี่ไม่มีทางช่วยแล้ว…”
หลังจากได้ฟังคำพูดของสวีเจิ้นหนานแล้ว เยี่ยเทียนก็หงุดหงิดขึ้นมา เขากลับปักกิ่งมาแล้วแม้แต่ความคืบหน้าในการก่อสร้างเรือนสี่ประสานของตัวเองยังไม่ทันได้ไปดู ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องแย่ๆ พวกนี้?
สวีเจิ้นหนานพูดอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “เยี่ยเทียน อย่างนั้น…อย่างนั้นนายคิดว่าฉันควรทำยังไง? พรุ่งนี้หรงหรงจะมาหาฉัน ฉัน…ฉันกลัวว่าเธอจะขอเลิกกับฉัน!”
“พี่นี่มันเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวจริงๆ วางใจเถอะ พวกพี่สองคนไม่มีทางเลิกกันหรอก”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า สามารถทำให้สวีเจิ้นหนานมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ สงสัยพี่คนนี้คงจะรักมากทีเดียว แต่คำพูดของ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดมั่วๆ สวีเจิ้นหนานมีบุพเพสันนิวาสต่อเว่ยหรงหรง และยังจะมีลูกชายกับลูกสาวอย่างละหนึ่งคนอีกด้วย