ผู้ที่เคยไปเยือนภูเขาหิมะโดยปกติมักจะไปเพียงเพื่อชมวิวสวยๆ ของที่นั่น แต่กลับไม่รู้เลยว่า ที่จริงแล้วบนภูเขาหิมะมีการแข่งขันระหว่างพลังดำเนินอยู่ตลอดเวลา แรงโน้มถ่วงของโลกพยายามจะดึงดูดหิมะให้ตกลงมา ส่วนแรงยึดเหนี่ยวภายในกองหิมะนั้นก็ยึดหิมะให้เกาะอยู่ที่เดิม
เมื่อการแข่งขันนี้ถึงจุดสุดยอด แม้จะเป็นแรงกระทบกระเทือนจากภายนอกเพียงน้อยนิด อย่างเช่นการวิ่งของสัตว์ ก้อนหินกลิ้งกระเด็น ลมพัด หรือการที่แผ่นดินสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย หากแรงกดดันสูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวที่ทำให้เกล็ดหิมะเกาะตัวกันอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดภัยร้ายแรงจากหิมะถล่มแล้ว
อย่างสภาพอากาศแบบลมพัดแรงที่เห็นอยู่บ่อยๆ บนภูเขาหิมะนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้หิมะสะสมเป็นปริมาณมาก แต่ยังทำให้เกล็ดหิมะเกาะตัวกันแน่น กลายเป็นชั้นหิมะที่แข็งแต่ก็เปราะแตกง่าย ทำให้ชั้นหิมะด้านบนสามารถเลื่อนไปตามชั้นหิมะที่อยู่ด้านล่างได้ และเกิดเหตุหิมะถล่มขึ้น
ดังนั้นเสียงและคลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดจากการระเบิดกลุ่มเจดีย์น้ำแข็งนี้ จึงไม่เพียงแต่ทำให้เกิดหิมะถล่มบนภูเขาฝั่งที่เยี่ยเทียนอยู่เท่านั้น แต่ภูเขาลูกที่อยู่ข้างหลังรวมถึงที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายแห่งก็เกิดหิมะถล่มตามไปด้วย
หิมะถล่มมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ‘ทรายดูดหิมะ’ และสภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าที่เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ตรงกับคำนี้มาก หิมะที่สะสมอยู่บนภูเขาไหลถล่มลงมาอย่างล้นหลามราวกับทรายดูด
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับว่า ภูเขาหิมะทั้งลูกกำลังถล่มลงมาทางเขาก็ไม่ปาน ความสามารถต่างๆ ที่มีอยู่ในยามนี้กลับกลายเป็นอ่อนแอไร้ประโยชน์ เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา แล้วโยนกระเป๋าเป้ลงไปที่พื้น วิ่งไปยังกลุ่มเจดีย์น้ำแข็งอย่างไม่คิดชีวิต
สิ่งที่ตี๋วั่งดูออก เยี่ยเทียนก็ย่อมดูออกได้เช่นกัน กลุ่มเจดีย์น้ำแข็งนี้เบื้องหลังอิงกับหินผา และภายในก็มีเสาน้ำแข็งอยู่มากมาย ต่อให้หิมะถล่มไปถึงที่นั่นได้ ก็จะถูกเสาน้ำแข็งขวางกั้นไว้ มีแต่ต้องวิ่งไปที่นั่นเท่านั้น เยี่ยเทียนถึงจะรอดจากภัยครั้งนี้ไปได้
“โธ่เว้ย ตอนจะออกเดินทางเราก็ทำนายไว้แล้วนี่หว่า ว่าเที่ยวนี้จะไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น นี่สวรรค์จะล้อเล่นกับเรารึไง?!”
เยี่ยเทียนสาปแช่งสวรรค์ในใจ พลางวิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลานไปยังเขตเจดีย์น้ำแข็ง บนพื้นเต็มไปด้วยกองหิมะ พอเท้าเหยียบลงไปก็จมถึงน่อง จึงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ
มิหนำซ้ำบนเส้นทางยังมีรอยแยกบนธารน้ำแข็งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ถ้าตกลงไปละก็ ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็คงจะต้องจบลงเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องรอจนหิมะถล่มลงมากลบฝังแล้ว
เยี่ยเทียนได้ยินเสียง “ครืนๆ” จากน้ำแข็งและหิมะที่กำลังถล่มลงมาข้างหลังอย่างชัดเจน พอมองกลับไปก็เห็นว่า ก้อนหิมะสีขาวที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ ได้ถล่มมาถึงข้างหลังเขาแล้ว ดูราวกับมังกรหิมะสีขาวที่เหินหาวท่ามกลางเมฆหมอก
ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้สึกเจ็บใจนัก ทำไมเขาต้องไปซ่อนตัวไกลจากเขตเจดีย์น้ำแข็งแบบนั้นด้วยเล่า?
ขณะที่ยังอยู่ห่างจากเสาน้ำแข็งเหล่านั้นอีกสิบกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ามีคลื่นอากาศพุ่งมากระแทกหลัง ร่างลอยกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศทันที แต่เหนือศีรษะของเขากลับมองไม่เห็นแสงอาทิตย์แล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงความขาวโพลน
“ชีวิตเราจบสิ้นกันละทีนี้ ที่เขาว่าหมอดูทำนายให้ตัวเองไม่ได้นี่มันไม่ผิดเลยจริงๆ!” หลังจากประโยคนี้แล่นเข้ามาในสมองของเยี่ยเทียน หิมะสีขาวหนาแน่นก็ทับร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น
“หือ? นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนล้มลงไปบนพื้น กองหิมะข้างบนกลับไม่ได้กลบฝังเขาอย่างที่จินตนาการไว้ และร่างของเยี่ยเทียนก็เหมือนกำลังไหลตกลงไปตามทางลาดอย่างรวดเร็ว
“นี่…นี่เราตกลงมาในรอยแยกบนน้ำแข็งรึเนี่ย?”
เมื่อรู้สึกถึงความเหน็บหนาวอย่างใกล้ชิด เยี่ยเทียนจึงเข้าใจในทันที โชคดีที่รอยแยกรอยนี้ไม่ได้ตรงดิ่งลงไปเป็นเส้นตรง ไม่อย่างนั้นถึงจะไม่ถูกหิมะฝังกลบ แต่ถ้าตกลงมาในความลึกระดับนี้ก็สงสัยคงได้ดับอนาถแน่
เยี่ยเทียนรู้สึกว่า เขากำลังตกลงไปด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงหยิบมีด ‘อู๋เหิน’ ออกมา แล้วแทงมีดลงไปบนผิวน้ำแข็งสุดแรง ผนังน้ำแข็งที่แม้แต่สิ่วยังกะเทาะไม่แตกนั้น กลับเปราะแตกอย่างง่ายดายภายใต้คมของมีดอู๋เหิน
หลังจากทำเช่นนี้ไปสองสามครั้ง เยี่ยเทียนก็เริ่มตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้าลง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าสองเท้าได้เหยียบกับพื้นดินที่มั่นคงแล้ว ในใจจึงโล่งอกไปทันที
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เยี่ยเทียนก็พบว่า แสงสว่างที่มีอยู่เล็กน้อยนั้นถูกหิมะกลบปิดไปอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้จึงตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ก้อนหิมะขนาดเท่ากำปั้นร่วงลงมาจากเหนือศีรษะของเยี่ยเทียนเป็นครั้งคราว โชคยังดีที่หิมะถล่มลงมาด้วยความเร็วสูง และรอยแยกรอยนี้ก็ไม่กว้างมาก ไม่อย่างนั้นชะตากรรมของเยี่ยเทียนก็คงจะหนีไม่พ้นถูกฝังอยู่ใต้กองหิมะ
หิมะถล่มนั้นมาเร็วแต่ก็ไปเร็ว หลังจากผ่านไปสองสามนาที เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ยินเสียง “ครืนๆ” จากการเลื่อนไถลของหิมะแล้ว และก็สามารถมองเห็นแสงสว่างได้เล็กน้อยผ่านกองหิมะที่กลบอยู่เหนือรอยแยก
“ฮ่ะๆ ดูท่าพวกคนที่ตายไปในระหว่างหิมะถล่มนี่ คงไม่ได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจหรอก แต่เพราะโดนหิมะชนตายต่างหากล่ะ!”
เมื่อถึงตอนนี้ ร่างกายที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียนเพิ่งจะผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ หลังจากไอติดๆ กันหลายครั้งก็รู้สึกเค็มๆ ในปาก ที่แท้เขาก็กระอักโลหิตออกมา
ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ไม่ได้ไกลจากยอดเขามากนัก แรงกระแทกจากหิมะถล่มจึงยังไม่ได้สะสมมาอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ถูกคลื่นอากาศเมื่อก่อนหน้านี้กระแทกใส่ ก็คงทำให้เขากล้ามเนื้อฉีกกระดูกหักไปแล้ว ไม่ใช่แค่กระอักโลหิตออกมาเท่านั้น
“แคร่กๆ…แคร่กๆ!”
เสียงที่ดังมาเข้าหูนั้นทำให้เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นไปดูทันที ที่แท้หิมะที่กองทับอยู่บนรอยแยกก็กำลังทยอยกันร่วงลงมา
ก้อนหิมะที่ตกลงมาคราวนี้ใหญ่กว่าเดิมเยอะ เยี่ยเทียนจึงรีบเหลียวซ้ายแลขวาหาที่หลบ เขาคาดคะเนว่า ตรงนี้คงอยู่ห่างจากผิวดินอย่างน้อยสามสิบเมตร ถ้าหิมะก้อนนั้นตกใส่ศีรษะละก็ คงได้ปิดฉากเพราะศีรษะแตกเลือดอาบแน่
แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เยี่ยเทียนนอกจากจะไม่ตกใจแล้วยังกลับดีใจเสียอีก เพราะนี่ก็หมายความว่า หิมะที่กองอยู่ข้างบนไม่ได้หนามากนัก เขาจึงยังมีความหวังที่จะได้รอดชีวิตอยู่
ตามคาด หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที กองหิมะก็ไม่ตกลงมาอีกแล้ว และเหนือศีรษะของเยี่ยเทียนก็ปรากฏท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวให้เห็นอีกครั้ง พร้อมกับอากาศอันหนาวเหน็บที่โชยเข้าจมูก
“ปัดโธ่ แบบนี้ก็ปีนขึ้นไปไม่ได้อยู่ดีนี่!”
หลังจากหายดีใจ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก รอยแยกนี้แม้จะมีความลาดเอียงอยู่ แต่ก็ลื่นจนเกาะไม่ติด ถึงจะมีมีดอู๋เหินอยู่ในมือ เยี่ยเทียนก็ปีนขึ้นไปบนทางลาดที่ยาวถึงสามสิบกว่าเมตรนี้ไม่ได้อยู่ดี
“ช่างเถอะ พักฟื้นร่างกายก่อนก็แล้วกัน!”
หลังจากคิดอยู่นานสองนาน เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้ความคิดอะไรดีๆ เลย เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาตามช่วงอกและท้อง เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้าแล้วนั่งลงบนพื้น
ตั้งแต่เห็นหิมะถล่มจนถึงตอนเริ่มวิ่ง แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่สิบวินาที แต่กลับทำให้เยี่ยเทียนต้องใช้พลังไปจนหมดตัว ซ้ำยังถูกคลื่นอากาศกระแทกใส่อีก เมื่อครู่นี้ที่เขายังยืนอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยพลังใจช่วยทั้งนั้น
เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิหลังตรง ถอนหายใจยาว แล้วเริ่มโคจรปราณตามวิชายุทธของสำนัก กระแสความร้อนกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากบริเวณท้องน้อยทันที ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าหมดแรงของเขาฟื้นพลังกลับมาได้บ้างแล้ว
หลังจากเยี่ยเทียนนั่นสมาธิไปประมาณสี่ห้าชั่วโมง แม้จะยังเจ็บหน้าอกนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากแล้ว เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น หยิบก้อนหิมะที่ตกลงมาก้อนหนึ่งใส่ปาก แล้วเริ่มเคี้ยวดัง “กรุบๆ”
“แม่งหนาวจังวะ!”
เมื่อน้ำหิมะเย็นๆ ลงท้องไป เยี่ยเทียนก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ อุณหภูมิโดยรอบเหมือนจะลดลงไปมาก เมื่อเงยหน้ามองฟ้า เยี่ยเทียนถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว
อุณหภูมิบนภูเขาหิมะในช่วงกลางคืนนั้น จะต่ำกว่าช่วงกลางวันมากกว่าสิบองศา ปกติก็มักจะอยู่ที่อุณหภูมิติดลบยี่สิบหรือสามสิบองศา เมื่อไม่มีทั้งถุงนอนและเต็นท์ป้องกันความหนาว อาศัยเพียงชุดปีนเขาที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนอยู่ได้จนถึงรุ่งสางหรือไม่
เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน แล้วฝึกเพลงมวยอยู่ในรอยแยกอันคับแคบนั้นไปหนึ่งชุด จากนั้นร่างกายของเขาถึงจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เขาไม่กล้านอนหลับโดยเด็ดขาด เพราะถ้าหลับไปตอนนี้ เขาอาจจะไม่ตื่นอีกเลยก็เป็นได้
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่หวังว่า โค้ชปีนเขาคนนั้นจะไปรายงานเรื่องที่เขาหายไป เพราะมีแต่ให้ทีมกู้ภัยมาที่นี่เท่านั้น เยี่ยเทียนถึงจะรอดชีวิตได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาปีนออกไปจากรอยแยกนี้ได้ ในสภาพที่ไม่มีเสบียงแบบนี้เขาก็ไม่มีทางข้ามภูเขาหิมะลูกนี้กลับไปได้อยู่ดี
ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เยี่ยเทียนก็เดินไปเดินมาอยู่ในรอยแยกนั้นไม่หยุดเหมือนมดที่อยู่บนหม้อร้อนๆ เพราะอากาศขณะนั้นหนาวเหลือเกิน ถ้านั่งลงไปแม้เพียงครู่เดียว ก็จะรู้สึกราวกับเส้นเลือดทั่วร่างถูกแช่งแข็งไปหมดเลย
แต่ความหนาวเหน็บก็ยังไม่ใช่ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด ความเงียบงันเปล่าเปลี่ยวและความคิดอย่างสิ้นหวังว่าความตายกำลังมาถึงนั้นก็กำลังกัดกร่อนหัวใจของเยี่ยเทียนอยู่เช่นกัน ทำให้เขายิ่งร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเริ่มจะลนลานขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้อง “จี๊ดๆ” ดังมาเข้าหู ทำให้เขาตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วอาศัยแสงดาวมองไปยังตำแหน่งที่เกิดเสียง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? หรือว่าบนนั้นจะมีโพรงของตัวอะไรอยู่?”
เยี่ยเทียนเห็นว่า บนทางลาดเหนือขึ้นไปจากศีรษะของเขาประมาณห้าหกเมตร มีสัตว์ตัวเล็กๆ ขนปุกปุยปรากฏอยู่ตัวหนึ่ง เจ้าตัวเล็กนี้เป็นสีขาวทั้งตัว ขนาดใหญ่กว่าหนูเล็กน้อยเท่านั้น และกำลังพยายามร้องเรียกเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างล่าง
“นี่มัน…ลูกอ่อนของตัวเฟอร์เร็ตนี่นา?”
หลังจากสังเกตดูได้พักใหญ่ๆ เยี่่ยเทียนถึงจะมองออกว่ามันเป็นตัวอะไร โดยดูจากขนสีดำรอบดวงตาของเจ้าสัตว์ตัวนี้ ในใจจึงรู้สึกยินดีขึ้นมา การที่ได้เจอสิ่งมีชีวิตสักตัวหนึ่งในเวลาแบบนี้ ทำให้จิตใจที่ร้อนรนของเยี่ยเทียนสงบลงมาก
“แล้วเฟอร์เร็ตใหญ่ตัวนั้นล่ะ?” เยี่ยเทียนมองซ้ายทีขวาที เขาไม่กล้าปีนขึ้นไปอย่างบุ่มบ่าม เพราะถ้าถูกเฟอร์เร็ตโตเต็มวัยที่มีลำตัวยาวถึงครึ่งเมตรกว่าๆ ตัวนั้นกัดเข้าละก็เป็นเรื่องยุ่งแน่ๆ
“จี๊ดๆ! จี๊ดๆ!”
“ช่างเถอะ ขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า…” รอมาจะเป็นครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นเฟอร์เร็ตโตเต็มวัยตัวนั้นเลย เยี่ยเทียนโดนเจ้าตัวจ้อยนั้นร้องเรียกจนชักจะกังวลขึ้นมาแล้ว จึงหยิบมีดอู๋เหินออกมาเริ่มเจาะน้ำแข็ง
ก่อนหน้านี้เพราะอาศัยแรงขับเคลื่อนจากการที่เขาตกลงมา มีดอู๋เหินจึงสามารถกะเทาะชั้นน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องใช้แรงอย่างมหาศาล ถึงจะขุดเจาะรูหลายๆ รูที่มีขนาดพอให้ปลายเท้าเหยียบเกาะขึ้นไปได้ แล้วปีนขึ้นไปยังจุดที่อยู่สูงประมาณสี่ห้าเมตร
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ…” ขณะที่ศีรษะของเยี่ยเทียนเพิ่งจะสูงพ้นปากโพรง และยังไม่ทันได้มองดูสภาพภายในนั้นเลย เจ้าตัวเล็กนั่นก็ใช้อุ้งเท้าหน้าคว้าคอเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ แล้วพยายามมุดเข้าไปข้างใน
“อ้าวเฮ้ย นี่…ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
พอเยี่ยเทียนรู้สึกคันที่ลำคอก็สะดุ้งจนเกือบจะมือหลุดตกลงไป เขารีบใช้มือข้างหนึ่งเกาะปากโพรงไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปจับเจ้าตัวเล็กนั้น
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!” เจ้าตัวเล็กนั้นขนาดยังไม่เท่าฝ่ามือของเยี่ยเทียนเลยด้วยซ้ำ หลังจากถูกจับได้มันก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก แต่ปากของมันกลับยังส่งเสียงร้องไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะไม่พอใจกับการกระทำของเยี่ยเทียนเอามากๆ
“อยู่เฉยๆ หน่อยล่ะ!”
เยี่ยเทียนคิดดูครู่หนึ่ง แล้วใส่เจ้าตัวเล็กนี่ไว้ในกระเป๋าเสื้อปีนเขา จะว่าไปก็แปลกพิลึก หลังจากเจ้าตัวเล็กเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแล้วก็โผล่หัวน้อยๆ ออกมามองไปรอบๆ แต่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาอีกแล้ว
“แกนี่ก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะ!” หลังจากมองเข้าไปในถ้ำที่ไม่ได้ลึกเท่าไหร่นั้นเพียงปราดเดียว เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันที