เมื่อได้ยินคำสั่งของตี๋วั่ง น้องหกจึงไปยืนอยู่ข้างหน้าน้ำแข็งและเริ่มทดสอบความหนาของชั้นน้ำแข็ง หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็หยิบสว่านไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ แล้วเจาะรูขนาดเท่ากำปั้นรอบๆ ตำแหน่งของศพร่างนั้นหลายรู
ก่อนที่น้องหกจะเข้าร่วมทีมของตี๋วั่ง เขาเป็นทหารหน่วยระเบิดทำลายที่เพิ่งปลดประจำการมาจากแผนกก่อสร้าง เนื่องจากชาวชนบทไม่ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมกับงาน เขาจึงกลับบ้านไปเป็นเกษตรกร
ตอนที่ตี๋วั่งไปขโมยสุสานครั้งหนึ่ง ได้ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่โบราณคดี และจ้างเกษตรกรในท้องที่กลุ่มหนึ่งมาช่วยขุดและทำความสะอาดสุสานโบราณ เมื่อพบหินก้อนหนึ่งขวางอยู่ ทำให้ไม่สามารถขุดต่อไปได้ น้องหกจึงแสดงสุดยอดทักษะในการระเบิดออกมา
หลังจากการขุดปล้นสุสานโบราณแห่งนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ตี๋วั่งจึงชักนำน้องหกมาเข้าร่วมทีม ซึ่งพูดได้เลยว่า ถึงทีมของเขาจะมีคนไม่มาก แต่สมาชิกแต่ละคนก็มีทักษะเฉพาะตัวที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะมาดูถูกได้เลย
น้องหกหยิบระเบิดพลาสติกออกมาจากกระเป๋าหลายลูกแล้วใส่เข้าไปในรู จากนั้นก็ติดตั้งชนวนระเบิด แล้วหันมาพูดว่า “ลูกพี่ ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ!”
แม้ว่าชั้นน้ำแข็งอันแข็งแกร่งนี้จะมีอยู่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ แต่การสั่นสะเทือนที่เกิดจากการระเบิดก็อาจจะทำให้เกิดการแตกร้าวของชั้นน้ำแข็งได้ หากเป็นแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านั้นจะถูกฝังไว้เบื้องล่าง
หลังจากคนเหล่านั้นเรียงแถวมุดออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง น้องหกก็จุดชนวนระเบิดด้วยรีโมท ฝีมือของเขาเหนือชั้นมาก เพราะทุกคนแทบจะไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนใดๆ เลย มองเห็นเพียงกลุ่มควันโขมงพวยพุ่งออกมาจากถ้ำน้ำแข็งเท่านั้น
หลังจากเข้าไปในรอยแยกน้ำแข็งอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่า ชั้นน้ำแข็งที่บังอยู่หน้าศพนั้นได้ถูกระเบิดหลุดออกไปหนึ่งชั้นหนาๆ และศพมูลค่าเป็นล้านเหรียญสหรัฐก็อยู่ใกล้พวกเขาแค่มือเอื้อมเท่านั้น
ตี๋วั่งสำรวจดูรอบๆ ชั้นน้ำแข็งอยู่นานสองนาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องห้า น้องหก พวกนายสองคนค่อยๆ ใช้สิ่วกะเทาะชั้นน้ำแข็งนี่ออกมานะ ระวังอย่าทำให้ศพเสียหายล่ะ เปียวจึ ไปเอาถุงรักษาอุณหภูมินั่นลงมาซิ ถ้าเอาเจ้านี่ออกมาแล้วเกิดเน่าขึ้นมาก็จบกันพอดี!”
อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ในการขุดค้นศพบนภูเขาหิมะครั้งนี้ รวมถึงรถออฟโรดที่พวกเขาขับมาคันนั้น ล้วนมาจากการสนับสนุนของชาวอังกฤษคนนั้นทั้งหมด
เพื่อรับประกันว่าศพจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ ชาวอังกฤษคนนั้นถึงขั้นติดตั้งตู้แช่แข็งตู้หนึ่งไว้ในรถออฟโรด นอกจากนี้ยังมีถุงเก็บความเย็นซึ่งสามารถปกป้องศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้เป็นระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย กล่าวได้ว่าเขาใช้ความคิดอย่างทุ่มเทมากเลยทีเดียว
………………………………
ขณะที่พวกตี๋วั่งกำลังกะเทาะชั้นน้ำแข็งอยู่ เยี่ยเทียนก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่มีชื่อเสียงแล้ว เพียงแต่ในเวลานี้เยี่ยเทียนมีสภาพไม่ค่อยดีนัก เขาปีนขึ้นมาบนยอดเขาหิมะนี้เพียงลำพัง จึงยากลำบากมากกว่าทีมปีนเขาที่ร่วมมือกันปีนขึ้นมามากนัก
ตอนที่ปีนไปถึงระดับความสูงที่สี่พันกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกสบายๆ อยู่ แต่ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร ก็ยิ่งเดินยากมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะออกแรงอย่างไร ความเร็วก็ยังช้ากว่าช่วงก่อนมาก
และยังมีความยากลำบากอีกอย่างหนึ่งคือลมหนาวบนภูเขาสูง ยิ่งสูงขึ้นเท่าไร ลมก็ยิ่งพัดแรงขึ้นเท่านั้น และมักจะมีกระแสลมแรงพัดหอบมาอย่างฉับพลันเป็นระลอก ทำให้เขาถูกพัดจนต้องถอยร่นไปหลายสิบก้าว หลังจากรอจนลมสงบลงแล้ว ก็ต้องเสียพละกำลังไปอีกมาก กว่าจะปีนกลับไปถึงจุดเดิมได้
หลังจากเสียเวลาไปทั้งวัน เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะมาถึงยอดเขา แต่ยามนี้เขาไม่มีเวลาไปชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามของทิวเขาเหล่านี้แล้ว เพราะยามตะวันรอนใกล้จะมาถึง เขาจึงจำเป็นต้องเดินลงไปอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาโดยเร็วที่สุด และหาสถานที่ที่สามารถตั้งแคมป์ได้
บนยอดเขานี้มีอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส ถึงเยี่ยเทียนจะนำถุงนอนกับเต็นท์มาด้วยก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเขานอนหลับบนยอดเขานี่ ก็อย่านึกเลยว่าในวันถัดไปจะได้ตื่นขึ้นมาอีก
“เอ๊ะ? ลักษณะทรงพลังทับถมดั่งตึกสูง นี่…นี่มันภูมิประเทศแบบเส้นเลือดมังกรสำหรับตั้งสุสานที่อำนวยแก่การสร้างรัฐนี่นา?!” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินลงเขา สายตาก็ทอดมองออกไป แล้วรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที
การสังเกตพลังชี่ในพื้นดินนั้น เป็นทักษะพื้นฐานที่ซินแสฮวงจุ้ยทุกคนจะต้องมี เทือกเขาเทียนซานที่อยู่เบื้องหน้านี้เรียงตัวเป็นคลื่นคดเคี้ยวไปมา ลักษณะเทือกเขาซ่อนเร้นสลับซับซ้อน พลังชี่ในพื้นดินลอยฟุ้งขึ้นมา เห็นเส้นแนวพลังชัดเจน ดุจมังกรที่บินฉวัดเฉวียนอย่างงดงาม และเหาะเหินอย่างรวดเร็ว
ในวงการอภิปรัชญาฮวงจุ้ยของประเทศจีน ยังคงมีการถกเถียงเกี่ยวกับจำนวนของเส้นเลือดมังกรมาตลอด บ้างก็เข้าใจว่าเส้นเลือดมังกรมีสามสายใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ เส้นเลือดมังกรเกิ้น เจิ้นและซวิ่น ซึ่งเริ่มต้นจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือแผ่ขยายไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีคำกล่าวว่า ‘ทิศตะวันตกเฉียงเหนือดินสูงฟ้าจึงน้อย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ดินต่ำดินจึงน้อย’
แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งเข้าใจว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนได้ผ่านมาถึงยี่สิบสี่ราชวงศ์ ถ้าแต่ละราชวงศ์ต่างมีเส้นเลือดมังกรหนึ่งสาย แบบนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีเส้นเลือดมังกรอยู่ถึงยี่สิบสี่สาย
คนเหล่านี้ถึงขั้นไล่เรียงเส้นเลือดมังกรของแต่ละราชวงศ์ออกมาจนหมด อย่างเช่นเส้นเลือดมังกรของหวงตี้หรือจักรพรรดิเหลืองอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำหวงเหอในที่ราบภาคกลาง เส้นเลือดมังกรของพระเจ้าต้าอวี่อยู่ที่เทือกเขาซงซานในลุ่มแม่น้ำหวงเหอ เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์โจวอยู่ที่อำเภอฉีซานในมณฑลส่านซี เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์ฉินอยู่ที่เมืองเสียนหยาง เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์หมิงอยู่ที่อำเภอเฟิ่งหยางในมณฑลอานฮุย และเส้นเลือดมังกรของราชวงศ์ชิงอยู่ในภูมิภาคตงเป่ย เป็นต้น
แต่ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกว่า ทฤษฎีนี้ออกจะฟังดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อย เพราะการกล่าวว่า จักรพรรดิแต่ละองค์รุ่งเรืองขึ้นมาได้เพียงเพราะเส้นเลือดมังกรนั้นเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเส้นเลือดมังกรต่างๆ ในประเทศจีนก็มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาคุนหลุนทั้งนั้น
เส้นเลือดมังกรสามสายที่เริ่มจากเทือกเขาคุนหลุนไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นได้แก่ มังกรตอนเหนือซึ่งเริ่มจากเทือกเขาอินซานและเทือกเขาเหอหลาน เข้าสู่มณฑลซานซี โดยเริ่มจากเมืองไท่หยวนและไปสิ้นสุดที่ชายฝั่งทะเล มังกรตอนกลางซึ่งเริ่มจากเทือกเขาหมินซานเข้าสู่ที่ราบกวนจง จนกระทั่งถึงเทือกเขาฉินซานและสุดปลายที่ชายฝั่งทะเล สุดท้ายคือมังกรตอนใต้ซึ่งเริ่มจากที่ราบสูงอวิ๋นกุ้ยและมณฑลหูหนาน จนกระทั่งถึงมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลเจ้อเจียงและถึงชายฝั่งทะเล
เส้นเลือดมังกรใหญ่แต่ละสายล้วนแตกเป็นสายย่อยเช่น กานหลง จือหลง เจินหลง เจี่ยหลง เฟยหลง เฉียนหลง และส่านหลง เป็นต้น
ดังนั้นในสายตาของผู้สืบทอดวิชาฮวงจุ้ยอย่างเยี่ยเทียน เทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ข้างแหล่งน้ำ ดั่งม้าที่ห้อตะบึง ดั่งคลื่นที่ซัดสาดต่างก็เรียกว่าเป็นเส้นเลือดมังกรได้ทั้งนั้น เส้นเลือดมังกรใหญ่มีเพียงสามสาย แต่เส้นเลือดมังกรที่แตกแขนงออกไปกลับมีนับพันนับหมื่น ไม่มีทางแยกแยะนับจำนวนได้หมดเลยจริงๆ
ส่วนเส้นเลือดมังกรที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนี้ เทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งยังสูงกว่ายอดเขาโป๋เก๋อต๋าอีกนั้นก็คือเส้นเลือดสายหลักนั่นเอง รอบด้านมีภูเขามากมายโอบล้อม เปี่ยมด้วยความมั่งคั่ง ปกป้องคนและทรัพย์สิน เรียกได้ว่าเป็นลักษณะของเส้นเลือดมังกรอย่างแท้จริง
เยี่ยเทียนมองดูภูมิประเทศแบบเส้นเลือดมังกรที่ลอยคลุ้งไปด้วยกระแสพลังหยินหยาง แล้วถอนหายใจ “น่าเสียดาย สมัยปลายราชวงศ์ชิงเส้นเลือดมังกรแต่ละแห่งถูกปลุกไปหมดแล้ว พลังของฮวงจุ้ยโดยรวมก็เลยเสียไปหมด ต่อให้ใครอยากจะอาศัยเส้นเลือดมังกรนี่ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วละนะ!”
ในแต่ละราชวงศ์ สามารถปลุกเส้นเลือดมังกรได้เพียงหนึ่งแห่งเท่านั้น ก็อย่างในสมัยราชวงศ์โฮ่วจินที่ยอดพ่อมดชิงปาถูหลู่ช่วยพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อปลุกเส้นเลือดมังกรธาตุไฟบริเวณด้านตะวันออกของซานไห่กวนขึ้นมา ทำให้ตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาได้สำเร็จ
แต่ถึงจะมีชัยชนะเพราะเส้นเลือดมังกร ก็สามารถพ่ายแพ้เพราะเส้นเลือดมังกรได้เช่นกัน ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงนั้น เส้นเลือดมังกรในใต้หล้าถูกปลุกขึ้นมาจนหมด และตำนานของจักรพรรดิในประเทศจีนก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป
เยี่ยเทียนยืนดูจากบนยอดเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วรีบลงเขาไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เส้นเลือดมังกรแบบนี้จะพบเห็นได้น้อย แต่ถ้ายังหยุดอยู่ตรงนี้ต่อไป เดี๋ยวพอตะวันตกดินแล้ว เขามีหวังได้ถูกแช่แข็งเหมือนหนอนตัวหนึ่งกันพอดี
ลักษณะของไหล่เขาด้านหลังค่อนข้างราบเรียบ หลังจากเดินทางอย่างรีบร้อนไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เยี่ยเทียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะเขาพบตำแหน่งที่ธารน้ำแข็งก่อตัวเป็นทรงเจดีย์แล้ว
เวลานี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับไปหลังภูเขา อาทิตย์ยามเย็นสีแดงสดสาดส่องลงไปบนธารน้ำแข็งที่อยู่ตรงนั้นมานานนับพันนับหมื่นปี สะท้อนสีสันสวยงามหลากหลาย ราวกับเป็นแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่เข้ากันเลยก็คือ ขยะต่างๆ ที่ถูกทิ้งเรี่ยราดเต็มพื้น ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่สิบเจ็ดก็มีคนปีนขึ้นมาบนยอดเขาลูกนี้แล้ว และในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็เคยมีคนมาที่นี่ไม่รู้ตั้งเท่าไร ทำให้มีเชือกและอุปกรณ์ปีนเขาสารพัดอย่างถูกทิ้งไปทั่ว
“เมื่อวานพวกนั้นมาตั้งแคมป์ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินหลบรอยแยกบนธารน้ำแข็งที่มีอยู่มากมายอย่างระมัดระวัง และสำรวจดูทั่วทั้งบริเวณเจดีย์น้ำแข็งที่สามารถสะท้อนเงาของเขาได้แล้ว เขาก็พบร่องรอยการตั้งแคมป์ของพวกตี๋วั่ง
“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าพวกนั้นจะปะทะกันเอง?”
เมื่อเยี่ยเทียนยืนอยู่ข้างเต็นท์ที่หวังชุ่นนอนเมื่อคืน เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังพิฆาตจางๆ และรูกระสุนบนเสาน้ำแข็งที่อยู่ตรงกันข้ามก็อธิบายแล้วว่า เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นที่นี่
หลังจากที่นึกได้ว่า พลังชี่ทั้งสี่กลุ่มที่เขาปล่อยให้ติดตามพวกนั้นไป ในวันนี้กลับเหลืออยู่เพียงสามกลุ่ม เยี่ยเทียนจึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด สงสัยว่า ‘เถ้าแก่เจี่ย’ คงจะประสบเคราะห์ร้ายไปเสียแล้ว
“ช่างเถอะ ได้ตายในสถานที่ที่โอบล้อมด้วยเส้นเลือดมังกรอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกแกแล้วล่ะ!”
เยี่ยเทียนวางกระเป๋าปีนเขาที่สูงถึงเอวลงบนพื้น แล้วเดินไปรอบๆ เจดีย์น้ำแข็งกลุ่มนี้ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ที่นี่กันลมกันน้ำได้ ถ้าจัดตำแหน่งอีกสักหน่อย ก็จะกลายเป็นจุดฮวงจุ้ยพิฆาตขึ้นมาแล้ว
เยี่ยเทียนอยู่บนภูเขาหิมะมาสองวันแล้ว กวางทุ่งที่จับได้เมื่อวานก็กินไปจนหมดเกลี้ยง เขาจึงตัดสินใจจะตั้งหลักพักเอาแรงอยู่ที่นี่ และปล่อยให้พวกตี๋วั่งเข้ามาติดกับเอง
และในสถานที่ซึ่งมีร่องรอยของมนุษย์อยู่น้อยนิดนี้ก็มีสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่มากมาย เยี่ยเทียนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ก็ล่าไก่หิมะตัวอ้วนพีมาได้สองตัวแล้ว หลังจากรับประทานจนอิ่มหนำ เยี่ยเทียนก็กางเต็นท์ขึ้นแล้วมุดเข้าไปหลับสนิทอยู่ในถุงนอน
แต่เมื่อถึงเวลาห้านาฬิกาเศษของเช้าวันถัดไป เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากเก็บเต็นท์ และเก็บกวาดร่องรอยการก่อไฟทำอาหารของตัวเองเมื่อวานแล้ว จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องรางซึ่งเป็นหยกทั้งแปดชิ้นออกมา แล้วจัดวางไว้ตามแต่ละจุดของเจดีย์น้ำแข็ง
หลังจากจัดเรียงเครื่องรางเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมีดสั้น ‘อู๋เหิน (ไร้ร่องรอย)’ เล่มนั้นออกมา และวาดสัญลักษณ์ที่ดูคลุมเครือไม่ชัดเจนกลุ่มหนึ่งลงไปตามแต่ละมุมของในเขตเจดีย์น้ำแข็ง
“พลังเราก็ยังน้อยเกินไปอยู่ดีแหละนะ แค่สามค่ายกลก็ต้องใช้พลังชี่จนหมดเกลี้ยงแล้ว!”
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนเพิ่งจะวาดสัญลักษณ์ค่ายกลขึ้นมาได้เพียงสามค่ายกล แต่พลังชี่ทั่วร่างกลับไม่เหลือเลย หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วก็ไหลลงมาจากหน้าผากไม่หยุด
เยี่ยเทียนนั่งพักผ่อนอยู่บนพื้นไปครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างจับข้อนิ้วร่ายอาคมไม่หยุด ปากก็ตวาดออกมาว่า “เปิด!”
เมื่อเยี่ยเทียนเปล่งเสียงออกมา แสงสว่างทั่วทั้งเขตเจดีย์น้ำแข็งก็พลันดับวูบไป เสียงลมที่พัดดังหวีดหวิวอยู่ข้างหูเหมือนจะหยุดลง หลังจากผ่านไปสามสี่วินาทีจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ
หากมองจากภายนอก เขตเจดีย์น้ำแข็งก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หากเข้าไปสำรวจดูเองแล้ว ก็จะพบว่าแตกต่างไปจากเดิมมาก
พวกไก่หิมะหรือนกกาหิมะที่ปกติมักจะบินเข้ามาหาอาหารในเขตเจดีย์น้ำแข็ง รวมถึงพวกสัตว์ขนาดเล็กบางชนิดนั้น ยามนี้กลับหลีกเลี่ยงบริเวณนั้นออกไปจนไกล แต่ก็จะมีสัตว์บางตัวเผลอบุกเข้ามาเป็นบางครั้ง พอเข้ามาก็จะกระพือปีกร่วงตกลงไปบนพื้นทันที
“ให้ตายสิ ค่ายกลนี้มันโหดจริงๆ!”
หลังจากเยี่ยเทียนลองเดินอยู่ในค่ายกลสองสามก้าว ก็รู้สึกได้ทันทีถึงลมเย็นเยียบที่โชยผ่านข้างหูไปเป็นระลอกๆ และกระแสพลังพิฆาตที่เข้มข้นมากขึ้นราวกับจะจับต้องได้ จนแม้แต่เขาเองยังแทบจะเกิดอาการเห็นภาพหลอน จึงรีบถอยออกมาจากค่ายกลทันที
ค่ายกลนี้เยี่ยเทียนเป็นผู้พัฒนาขึ้นมาเอง โดยอาศัยความสามารถพิเศษของตัวเองที่สามารถมองเห็นกระแสพลังหยินหยางได้ เยี่ยเทียนตัดกระแสพลังหยางในเขตเจดีย์น้ำแข็งนี้ไปจนหมด ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่มีแต่พลังหยิน
เนื่องจากมีเวลาในการตั้งค่ายกลน้อยเกินไป เยี่ยเทียนกลัวว่ากระแสพลังพิฆาตจะไม่พอ จึงตั้งใจสลักค่ายกลชุมนุมพลังพิฆาตทั้งสามค่ายกลนั้นขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อรวบรวมพลังพิฆาตทั้งหมดที่อยู่ในระยะหลายร้อยเมตรรอบๆ บริเวณนี้เข้าสู่ค่ายกล และในยามนี้เขตเจดีย์น้ำแข็งก็เปรียบเสมือนถิ่นของมารร้ายไปแล้ว