บนร่างกายเดิมมีเครื่องรางของขลัง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้ได้ จำเป็นต้องสื่อสารกับจิตวิญญาณของมันก่อน จึงจะควบคุมได้โดยอิสระ ไม่เช่นนั้นหากประมาท อาจเข้าตัวทำร้ายตนเองจนถึงจุดจบ
ที่ว่าสื่อสารกับจิตวิญญาณ ไม่ได้หมายความว่าเครื่องรางมีสติปัญญา แต่ด้วยกระแสพลังชีวิตของร่างกาย ไปทำปฏิกิริยากับแรงอาถรรพ์ภายในเครื่องราง ให้ทั้งสองฝ่ายไม่ต่อต้านระหว่างกัน เมื่อในตัวเธอมีฉันในตัวฉันมีเธอ ก็จะไม่หันกลับมาโจมตีผู้ใช้เป็นธรรมดา
คำพูดที่เคยกล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “โยวทงฟู่” ของฮั่นปันกู้ว่า “เชี่ยวชาญสัมผัสวิญญาณ จิตขับเคลื่อนในทุกทาง” ก็คือความหมายนี้เอง
แต่ว่าในปัจจุบันคำสอนลัทธิเต๋าเสื่อมถอย คนที่มีพลังจิตสามารถสื่อสารกับฟ้าดินอย่างเยี่ยเทียนกลับมีน้อยมาก ถึงแม้มีบางคนพบเครื่องรางชนิดนี้ ก็จะทำเหมือนมันเป็นอาวุธร้ายแรง เทิดทูนแต่ไม่นำมาใช้
จับดาบสั้นไว้ในมือ รับรู้ถึงความรู้สึกของเลือดเนื้อที่เชื่อมต่อกันจากในตัวดาบ หูทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนคล้ายได้ยินเสียงกองทหารม้าเกราะ ราวย้อนกลับไปเมื่อหลายพันปีก่อน แล้วสิงสู่ลงในร่างของเจ้าของดาบสั้นเล่มนี้
“กาลเวลาไม่อาจทิ้งร่อยรอยไว้บนตัวเจ้า เรียกเจ้าว่าอู๋เหิน (ไร้ร่องรอย) ก็แล้วกัน…”
เยี่ยเทียนใช้มือสัมผัสดาบสั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับจะตอบรับคำของเยี่ยเทียน ดาบสั้นส่งเสียงดัง “ชิ้ง” ขึ้นมา หลังจากนั้นพลังงานร้ายก็ถูกระงับไว้ ประกายหายไปจนหมด กลับกลายสู่สภาพปกติธรรมดา
ถ้าหากไม่ได้สังเกตลวดลายบนดาบสั้นอย่างละเอียด เกรงว่าคนอื่นๆ คงจะมองว่าเป็นงานฝีมือทั่วไป แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า มีอาวุธสงครามนี้อยู่ในมือ ในอนาคตต่อให้พบคนถือปืนผาหน้าไม้ ตนเองก็จะมีกำลังต่อสู้รบราเช่นกัน
“เยี่ยเทียน ออกมากินข้าวได้แล้ว กลับมาถึงบ้านก็เอาแต่อยู่ในห้องทำอะไรกันน่ะ…” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเล่นกับดาบสั้นอยู่นั้น เสียงของป้าใหญ่ก็ดังขึ้นมา
“ครับ มาแล้ว”
เยี่ยเทียนรับคำ ยกดาบสั้นในมือขึ้นมา แค่นหัวเราะเสียงหนึ่งแล้ววางมันกลับไป พันคมดาบด้วยผ้าหยาบที่ใช้เช็ดเมื่อครู่สองสามรอบ ถือไว้ในมือแล้วเดินออกไป
“ป้ารอง มากันแล้วเหรอครับ?”
เมื่อเดินถึงลานบ้านเยี่ยเทียนพบว่า ครอบครัวของป้ารองก็มากันทั้งบ้าน หลานหลานพาเสี่ยวจวิ้นหานวิ่งเล่นอยู่ตรงลานบ้าน ครอบครัวของเขาพักอยู่บนตึกอาคาร จึงไม่ค่อยมีโอกาสเล่นแบบนี้
“พี่เชิน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” มองเห็นใบหน้าของลู่เชินที่ถึงแม้ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเป็นประกาย มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ไม่เป็นไรแล้ว เยี่ยเทียน มานี่สิ ฉันมีเรื่องอยากถาม”
ลู่เชินดึงตัวเยี่ยเทียน ไปตรงมุมลานบ้านที่ไม่มีคน โดยไม่สนใจดาบสั้นในมือของเยี่ยเทียน วัยรุ่นคนไหนล่ะจะไม่ชอบเล่นของมีคมพวกนี้
“เยี่ยเทียน เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่…ไม่ใช่ว่าฉันกำลังโดนผีเข้าสิงอยู่จริงๆ หรอกนะ?” เมื่อวานหลังจากเยี่ยเทียนออกไป ลู่เชินก็ถามคนในครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องที่เยี่ยเทียนทำอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินหมอบอกว่าอาการของเขาไม่มีวิธีสามารถรักษาได้ แต่เยี่ยเทียนกลับใช้เวลาไม่กี่นาทีปลุกเขาขึ้นมา ขนาดลู่เชินผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง ยังอดขนหัวลุกไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เกิดระแวงสงสัยในความเชื่อของตัวเอง
ในฐานะผู้เชื่อมั่นทฤษฎีวัตถุนิยม ลู่เชินไม่เคยเชื่อว่าโลกนี้มีผี แต่พอเรื่องเกิดขึ้นกับตัวเอง กลับทำให้เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้ หากไม่ใช่คนในครอบครัวดึงเขาไว้ เมื่อวานเขาคงวิ่งออกจากโรงพยาบาลมาหาเยี่ยเทียนแล้ว
“พี่เชิน ผมก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ให้พี่เข้าใจอย่างไรดี บนโลกนี้ ผีไม่มีอยู่จริง แต่ว่ามีบางอย่างที่สามารถส่งผลกระทบต่อความคิดของคน และเราสามารถเรียกพลังงานแบบนี้ว่าสนามแม่เหล็ก แต่ก่อนที่พี่ชอบเวียนหัว ก็เพราะได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กนั่นเอง…”
หลังจากได้ยินลู่เชินพูด เยี่ยเทียนก็แค่นยิ้มออกมา เขารู้ว่าไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องผีกับอีกฝ่าย ดังนั้นจึงพยายามเต็มที่เพื่อเรียบเรียงคำพูดที่ลู่เชินจะยอมรับได้
“แต่ว่า สนามแม่เหล็กนี้เกิดจากคน หรือว่าเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกันล่ะ?”
ด้วยประสาทอันว่องไวจากอาชีพที่ทำ ลู่เชินจึงถามต่อ เขามักรู้สึกถึงความผิดปกติของคดีเมื่อวันก่อน แต่กลับหาเบาะแสใดๆ ไม่ได้ สำหรับหมอนิติเวชคนหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องที่ทรมานมาก
เยี่ยเทียนพยักหน้า พูดว่า “พี่เชิน พี่ก็คิดซะว่าเป็นเรื่องธรรมชาติเถอะ เวลาออกไปสถานที่เกิดเหตุ ก็ใส่หยกปี่เซียะเอาไว้ สนามแม่เหล็กรอบตัวคนตายมันวุ่นวาย”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนไม่อยากบอกเรื่องโจรปล้นหลุมศพนั้นกับเขา แต่เหตุผลหนึ่งคือมันพัวพันกับพ่อ เหตุผลที่สองแม้ผู้มีวิชาในนั้นจะต่ำต้อยในสายตาของเยี่ยเทียน แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกที่ลู่เชินจะต่อกรได้
“มัน…มันเป็นไปได้หรือ?” เห็นได้ชัดว่าทฤษฎีของเยี่ยเทียนโค่นล้มความเข้าใจในโลกมาหลายสิบปีของลู่เชิน จึงยากที่จะยอมรับได้ในชั่วพริบตา
เยี่ยเทียนพูดขึ้นมาทันทีว่า “พี่เชิน เรื่องรถเมล์หมายเลข 330 เมื่อปี 95 ในเมืองปักกิ่ง พี่ไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้หรอกมั้ง?”
“นาย…นายกำลังจะบอกว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเพราะเกิดสนามแม่เหล็กแปรปรวนและไปก่อกวนสติสัมปชัญญะคนขับรถหรือ?”
พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของลู่เชินก็กลับกลายเป็นซีดขาว ถึงขั้นดูแย่กว่าเมื่อวานตอนอยู่ในโรงพยาบาล เพราะว่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์นั้น เขาพบประสบมาด้วยตัวเอง จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
มันเป็นตอนกลางคืนของเดือนพฤศจิกายนปี 95 ใน รถเมล์คันหนึ่งวิ่งช้าๆ มายังสถานีสวนสาธารณะหยวนหมิง แล้วค่อยๆ จอดข้างประตูทางทิศใต้สวนสาธารณะหยวนหมิง ซึ่งเป็นรถคันสุดท้ายของคืนนั้นแล้ว
เวลานั้นมีเพียงคนขับรถกับพนักงานเก็บตั๋วรถเมล์สาวคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้โดยสารอีกสี่คน แบ่งเป็นคู่รักหนุ่มสาวกับคุณยายอายุค่อนข้างมากท่านหนึ่ง กับเด็กหนุ่มอีกคนในนั้น
หลังจากรถเพิ่งผ่านป้ายรถเมล์ประตูวังทางทิศเหนือประมาณสองสามเมตร คนขับรถก็เริ่มส่งเสียงบ่นขึ้นมา พูดว่าดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนมารอรถอยู่อีก อีกทั้งยังไม่ทันถึงป้ายรถเมล์ข้างหน้า คนในรถได้ยินต่างก็หันไปมอง มีเงาร่างสองคนกำลังโบกมืออยู่ข้างถนนจริงๆ
คนเก็บตั๋วค่อนข้างมีน้ำใจกว่า พูดว่า นี่เป็นรถรอบสุดท้ายของคืนนี้แล้ว อากาศก็เย็นออกขนาดนั้น ให้ขึ้นมาเถอะ คนขับรถก็จอดทันที ใครจะไปรู้ว่าพอขึ้นมาแล้วกลับกลายเป็นสามคน นั่นเพราะสองคนนี้พยุงคนหนึ่งไว้ตรงกลาง
แต่สิ่งทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวคือ ทั้งสองคนต่างแต่งกายเหมือนอยู่ในสมัยราชวงศ์ชิง สีหน้าซีดขาว พอขึ้นรถมาแล้วก็ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าคนเก็บตั๋วเคยเจอคนเหล่านี้ บอกว่าพวกเขาอยู่แถวละแวกบ้านถ่ายรูปพวกเครื่องแต่งกายโบราณ อาจเป็นเพราะยังไม่ได้เปลี่ยนชุด พอพูดแบบนี้จึงทำให้ทุกคนสงบสติลงได้ มีแต่คุยยายคนนั้นที่หันกลับไปมอง
ผ่านไปประมาณสามสี่ป้าย คู่รักหนุ่มสาวกำลังจะลงป้ายหน้า คนขับรถกับคนเก็บตั๋วก็พูดคุยกันยิ้มแย้ม
ช่วงเวลานี้เอง อยู่ดีๆ คุณยายวัยไม้ใกล้ฝั่งก็ยืนขึ้น เกิดอาการคุ้มคลั่งตีเข้าไปที่พ่อหนุ่มข้างหน้า ปากก็ด่าไปด้วยว่าพ่อหนุ่มคนนี้ขโมยกระเป๋าตังค์ของคุณยายตอนที่พวกเขาขึ้นรถ
พ่อหนุ่มมองกลับไปทันที ยืนขึ้นแล้วด่าคุณยายกลับ “อายุก็เยอะขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงกล้าหยาบคายใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้!” คุณยายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ใช้เพียงสองตาจ้องมองด้วยความโกรธไปที่พ่อหนุ่มคนนั้น ทั้งยังใช้มือซ้ายออกแรงดึงปกเสื้อของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
ตอนนั้นคนขับรถกับคนเก็บตั๋วเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว จึงพูดว่า ข้างหน้าเป็นสถานีตำรวจท้องถิ่น อยากทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันที่สถานีตำรวจ แล้วจอดรถไว้ข้างทาง ไล่ทั้งสองคนลงจากรถ
หลังจากลงรถพ่อหนุ่มคนนั้นก็ดึงคุณยายไว้เพื่อที่จะไปสถานีตำรวจ แต่ถูกคุณยายสะบัดมือทิ้ง พูดว่าเมื่อกี้ฉันช่วยชีวิตเธอนะ พ่อหนุ่มยิ่งไม่เข้าใจกันไปใหญ่ ยายใส่ร้ายว่าฉันขโมยกระเป๋าตังค์ของยาย ทำไมกลับกลายเป็นช่วยชีวิตฉันไว้ล่ะ
คุณยายพูดว่า เมื่อกี้ตอนที่ลมพัดผ่านหน้าต่าง ฉันเห็นคนแต่งกายสมัยราชวงศ์ชิงสองคนนั้นไม่มีขาทั้งสองข้าง พวกเรานั่งรถคันเดียวกับผี แล้วจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไรกัน?
พอคำพูดนี้เอ่ยออกมา ทำให้พ่อหนุ่มคนนั้นตกใจจนเหงื่อแตกไปทั้งตัว ทั้งสองคนรีบไปสถานีตำรวจละแวกนั้นเพื่อแจ้งความ แต่แค่คิดก็รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร คำพูดเหลวไหลแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ตำรวจจะไม่ยอมรับฟัง ไม่ทันไรก็ไล่เขาทั้งสองคนออกมา
แต่ว่าในวันต่อมา บริษัทของรถขนส่งสาธารณะก็ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ บอกว่าเมื่อคืนรถเมล์ 330 รอบสุดท้ายของกะดึกและคนขับรถกับคนเก็บตั๋วได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ในวันที่สาม พบเจอรถเมล์ที่หายสาบสูญไปในบริเวณอ่างเก็บน้ำมี่อวิ๋นที่ระยะทางห่างจากสถานีตำรวจเซียงซานประมาณหนึ่งร้อยกว่ากิโลเมตร อีกทั้งภายในรถเมล์ยังเจอสองศพเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย
ฝ่ายตำรวจก็ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางมุ่งสู่มี่อวิ๋นอย่างละเอียด แต่กลับไม่เห็นว่ารถเมล์คันนี้วิ่งผ่านมา แต่ลู่เชินทำการชันสูตรพลิกศพ แล้วได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดคือ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวัน ศพไม่น่าจะเน่าเปื่อยได้ขนาดนี้
เหตุการณ์ลึกลับซับซ้อนจนฝ่ายตำรวจไม่สามารถหาวิธีคลี่คลายได้ อย่างไรก็ตามที่สามารถทำได้คือควบคุมสื่อมวลชนไม่ให้รายงานข่าวออกไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วกว่าสองปี แต่ว่าสำหรับลู่เชินที่เคยมีส่วนร่วมกับคดีนี้ กลับเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ
“เยี่ยเทียน นายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” ลู่เชินถาม คดีนี้ยังไม่สามารถปิดได้ มันจึงเหมือนหนามคอยทิ่มแทงอยู่ในใจเขาตลอดเวลา
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็พยักหน้า ตอบว่า “พี่เชิน ระยะทางก็ไม่ได้ไกลจากสวนชิงหวานัก ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้เป็นเพราะถนนเส้นนั้นก่อเกิดพลังชั่วร้ายหนักหน่วงขึ้นมา พวกพี่ไม่ต้องตามสืบหาหรอก…”
ตอนนั้นพอเยี่ยเทียนได้ยินเรื่องนี้ ก็รีบวิ่งไปดูสถานที่เกิดเหตุ ตรงกับที่เขาว่าพอดี พื้นที่นั้นเป็นดินแดนหยินโดยธรรมชาติ บนโลกนี้มีสนามแม่เหล็กทำให้เกิดเหตุแปรผัน คล้ายเวลามีกระแสน้ำขึ้นน้ำลง จึงเหนี่ยวนำให้มี “เรื่องเหนือธรรมชาติ” เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ส่วนเรื่องที่ศพเน่าเปื่อย ก็ยิ่งอธิบายให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย เดิมทีพลังชั่วร้ายมักกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตที่ตายไปอย่างรุนแรงอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับดาบสั้นที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน ถ้าหากมีการปลุกเสก กระตุ้นพลังชั่วร้ายขึ้นมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแม้คำว่าเน่าเปื่อยสองคำนี้ยังไกลเกินกว่าจะบรรยาย
“พวกผู้ชายทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ? รีบมากินข้าวได้แล้ว กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว…” ขณะลู่เชินคิดว่าจะถามต่อ เยี่ยตงหลันก็ตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ ทั้งสองมองไป กลายเป็นเหลือแค่ตัวเองที่ยังยืนอยู่ข้างนอก
“ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวกลับมาให้เธอชี้แนะต่อ”” ลู่เชินพยักหน้า ไม่ได้เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียนไปเสียทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกับครั้งแรก
“เยี่ยเทียน นี่มันของเล่นที่ขุดออกมา เธอเอามาที่นี่ทำไมกัน?”
เยี่ยเทียนเดินเข้าไปในห้องอาหาร เยี่ยตงผิงก็ไม่พอใจเอ่ยปากตำหนิ ต่อให้เขาเป็นคนที่ชอบสะสมของโบราณ ไม่ห้ามแตะต้องของพวกนี้ แต่ว่าเอาสิ่งของจากสุสานคนตายเข้ามาในห้องอาหาร ย่อมต้องมีคนรังเกียจอย่างแน่นอน
“เอ้อ ผมลืมไปเลย พ่อ พ่อลองดูของชิ้นนี้สิ…”
หลังจากได้ยินคำพูดพ่อแล้ว เยี่ยเทียนก็กลั้นขำไว้ไม่ได้ ของขลังชนิดนี้ต้องได้รับการดูแลจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เวลาจะหยิบใช้ถึงทำได้ถนัดมือ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงชินกับการถือมันไว้ในมือ
“มีอะไรน่าดูล่ะ ก็แค่มีดเล่มหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”
เยี่ยตงผิงถลึงตามองลูกชาย โทษเขาว่าไม่ควรเอาของออกมาต่อหน้าลู่เชิน แม้ว่าเขาเป็นเพียงแค่หมอนิติเวช แต่ก็เป็นคนทำงานสายเดียวกันกับตำรวจ เยี่ยตงผิงอ้าปากด่าลูกชายพลางเอามือดึงดาบสั้นเล่มนั้นมา
“นี่… นี่คือดาบสั้นเล่มนั้นเหรอ?”
ดาบสั้นที่ถูกพันด้วยผ้าหยาบถูกแกะออก เยี่ยตงผิงถึงกับตกตะลึง เขาไม่คิดว่าของสนิมเกรอะกรังจนเหมือนเหล็กขึ้นสนิมธรรมดา กลับกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว?
“ถูกต้อง ของชิ้นนี้เป็นของผมแล้ว”
เห็นพ่อไม่อาจละสายตาไปได้อย่างนั้น เยี่ยเทียนก็ประกาศความเป็นเจ้าของดาบสั้น ยื่นมือออกไปแย่งกลับ แล้วพูดว่า “พ่อ เดี๋ยวพ่อช่วยผมหาหนังดีๆ สักผืนสิ ผมจะเอามาทำปลอกใส่ดาบสั้น”
ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เยี่ยเทียนก็พูดต่อว่า” ใช่แล้ว เดี๋ยวผมจะถ่ายรูปของชิ้นนี้ไว้ แล้วพ่อก็ช่วยทำหนังสือรับรองให้ผมหน่อย ไม่งั้นเวลาพกติดตัวออกไปไหนมันไม่สะดวก…”
ในยุคนั้นหากพกเครื่องสำริดและมีดสิ่งของพวกนี้ออกนอกบ้าน จะต้องโดนปรับ แต่ทว่าหากมีใบอนุญาติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เยี่ยเทียนรู้ว่าพ่อมีเส้นสาย แค่จ่ายเงินไม่กี่หยวนก็สามารถหาคนที่ออกใบอนุญาติให้ได้แล้ว
“เจ้าลูกบ้า ของแบบนี้ถือออกไปข้างนอกได้เหรอ? รีบเอามาให้พ่อเก็บซะ!” เยี่ยตงผิงถลึงตาใส่ ยื่นมือไปหาลูกชาย
“ไม่ให้ อย่าแม้แต่จะคิด ของชิ้นนี้เป็นของผมแล้ว!” เยี่ยเทียนไม่สนใจพ่อแม้แต่น้อย ของที่อยู่ในมือเขา ใครก็อย่าหวังจะแย่ง
เห็นพ่อลูกกำลังเถียงกัน เยี่ยงตงหลันก็ตบโต๊ะ พูดออกไปอย่างอารมณ์เสียว่า “พอได้แล้ว ตงผิง แกอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังจะแย่งของอะไรกับลูกชายอีก เดี๋ยวไปช่วยเยี่ยเทียนหาใบอนุญาตซะล่ะ!”
“พี่สาว ถ้าหากเขาไปทำคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร?” เยี่ยตงผิงยังพยายามแยกแยะคำพูดออกมา
“เสี่ยวเทียนยังรู้เรื่องมากกว่าเธอ ไม่ทำร้ายใครหรอก เธอไม่ฟังคำพูดของฉันแล้วหรือไง?” คุณนายใหญ่ไม่สนใจจะคุยเหตุผลกับน้องชาย เพียงแต่จ้องมองตรงๆ
“ก็ได้ เอาไปแล้วอย่าไปก่อเรื่องแล้วกัน พี่เขย เหวยอัน พวกเรากินข้าวกันเถอะ!”
แม้เยี่ยตงผิงจะเป็นหัวหน้าของครอบครัวเยี่ย แต่พออยู่ต่อหน้าพี่สาวก็ไม่กล้าแสดงอำนาจออกมา หลังจากจ้องไปยังลูกชาย ก็กลับไปดูแลทุกคนแล้วเริ่มก็กินข้าว
หลังกินข้าวเสร็จ ลู่เชินไปที่ห้องของเยี่ยเทียน พูดคุยกันยาวนาน แต่ยังมีเรื่องบางอย่างที่เยี่ยเทียนก็ไม่อาจให้คำอธิบายที่ชัดเจนได้ ตอนจากกันลู่เชินยังคงรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ
“หืม? ทำไมถึงรู้สึกจิตใจไม่สงบนะ?”
หลังจากส่งพี่ชาย เดิมทีเยี่ยเทียนจะเดินกลับไปที่เรือนสี่ประสาน แต่ว่าในใจรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย คิดๆ อยู่สักพักหนึ่ง ก็หันกลับไปที่ห้องตัวเอง จุดธูปหนึ่งเล่ม หลับตาแล้วนั่งสมาธิ
“มีอะไรเกี่ยวข้องกับพ่อหรือเปล่า? ทำไมใบเซียมซีนี้ดูไม่ชัดเจนเลย?”
หลังจากที่เสี่ยงดูแล้วครั้งหนึ่ง เยี่ยเทียนก็รู้ถึงสาเหตุที่จิตใจไม่สงบ ดูเหมือนว่าการค้าขายของโบราณวันนี้ยังไม่จบแค่นั้น อนาคตเยี่ยตงผิงอาจมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้อีก
แต่สำหรับคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยี่ยตงผิง คำทำนายกลับคลุมเครืออย่างยิ่ง กระทั่งเยี่ยเทียนก็ยังไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น