“เรื่องนี้ชักจะยุ่งยากแล้วสิ……”
พอมาถึงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายนี้ คิ้วของเยี่ยเทียนก็ขมวดมุ่นหนัก พลังชั่วร้ายที่นี่เข้มข้นมาก แค่ถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ยังอาจทำให้คนถึงที่ตาย บวกกับตอนกลางวันตำรวจได้มาสำรวจในที่เกิดเหตุแล้ว เยี่ยเทียนจึงแทบหาร่องรอยใดๆ ไม่เจอ
ค่ายกลของผู้มีวิชา โดยปกติจะยังพอเหลือพลังชีวิตฟ้าดินอยู่บ้าง เพียงแต่พลังชีวิตส่วนนั้น ถูกพลังชั่วร้ายในพื้นที่นี้โจมตีกระจายสลายไปหมด ต่อให้เยี่ยเทียนมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถมองค่ายกลของคนผู้นั้นออก
“หืม? นี่คืออะไร?”
ในขณะที่เยี่ยเทียนเดินมายังตำแหน่งเส้นกั้นของตำรวจ พลันพบว่าด้านข้างกระถางต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ราวกับมีผงสีขาวบางส่วน เยี่ยเทียนข้ามเส้นกั้นของตำรวจเดินไปยังบริเวณนั้น ก้มลงใช้มือแตะหยิบมาวิเคราะห์ต่อสายตา
เยี่ยเทียนมองแวบเดียวก็รู้ที่มาของผงแป้ง อดตกตะลึงไม่ได้ “ผงของหินหยก นี่……นี่คือเศษที่หลงเหลือจากการปรับใช้ค่ายกล!”
จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถมั่นใจได้แล้วว่า คดีกัดคนตายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นคดีฆาตกรรมที่มีการไตร่ตรองไว้ก่อนอย่างแน่นอน เยี่ยเทียนปัดแป้งในมือ ถอนดึงดอกไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาเพื่อเสาะหาโดยอิงจากตำแหน่งเมื่อครู่
หลังจากค้นหาสักพัก เยี่ยเทียนพบว่า ในระยะเก้าเมตรที่พบผงแป้งกองแรก มีผงแป้งจากหินหยกทั้งหมดเก้าชิ้น พลังวิญญาณจากเศษหินหยกสลายไปจนสิ้น มองแล้วไม่ค่อยแตกต่างจากปูนขาวสักเท่าไหร่ ด้วยสาเหตุนี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของตำรวจ
แต่พอเยี่ยเทียนเห็นตำแหน่งของหินหยกเหล่านี้ กลับอดสบถคำหยาบคายออกมาไม่ได้ “แม่เอ๊ย ทำไมถึงเป็นไอ้หนูคนนี้อีกแล้ว?”
ไม่มีสาเหตุอื่น ค่ายกลหินหยกนี้เยี่ยเทียนเคยพบมาก่อน ซึ่งก็คือค่ายกลห้าผีทะลวงตำหนักที่พบในต้าซิ่งเมื่อคราวก่อนนั่นเอง แต่การออกแบบไม่ประณีตเท่าครั้งที่แล้ว เพียงสามารถกระตุ้นพลังชั่วร้ายเข้าสู่ร่างกายได้เท่านั้น
แต่พื้นที่พลังหยินระดับนี้ ความรุนแรงที่ชัดเจนเช่นนี้ถือว่ามากพอ เมื่อมีพลังชั่วร้ายอันเข้มข้นถึงแก่น ขอเพียงกระตุ้นมันออกไป ชั่วพริบตาก็สามารถทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนเสียสติ หากร่างกายอ่อนแอ เรื่องเสียชีวิตคาที่ยังใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เยี่ยเทียนเดินมาถึงกลางค่ายกล ค่อยๆ หลับตาลง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าหนู อย่าให้ฉันเจอนายในปักกิ่งเชียว!”
ถึงแม้ผู้ใช้ค่ายกลจะยอดเยี่ยมไร้ที่ติแค่ไหน ก็มักเหลือร่องรอยของคนเป็นไว้ส่วนหนึ่ง และบนร่างของคนเช่นนี้น่าจะไม่ได้มีเพียงชีวิตเดียว แถมยังสามารถครอบครองพลังหยินร้ายอันไม่ธรรมดา ด้วยการตรวจสอบเมื่อครู่ของเยี่ยเทียน กลับเสาะหาข้อมูลชนิดนี้ออกมาได้
แต่สุดท้ายแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่เทพเซียน เขาไม่สามารถอาศัยข้อมูลเหล่านี้ตามหาคนที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งสิ่งที่จับต้องได้มีน้อยเกินไป ต่อให้นำไปเสี่ยงทาย ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเลย
ภายใต้สถานการณ์อับจนหนทาง เยี่ยเทียนได้แค่หันหลังจากไป เพียงแต่หลังเขาไปวันต่อมา สถานที่แห่งนี้ก็มีข่าวผีออกอาละวาดขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่าเป็นผีหนุ่มผมขาว มานั่งเล่นไพ่ด้วยกันกับเหล่าชายชรา
จากนั้นไม่นาน เนื่องจากบริษัทวางระบบท่อน้ำ จำเป็นต้องผ่านจุดนี้ หลังจากขุดพื้นดินลึกลงไปสามฉือแล้ว การค้นพบอันน่าตกตะลึงก็ถูกเปิดเผย
มีสุสานหมู่ปรากฏในพื้นที่ที่รัศมีสิบเมตรแห่งนี้ อีกทั้งกระดูกในหลุมศพก็ยังไม่เน่าเปื่อยเสียทั้งหมด เมื่อคำนวณตามช่วงเวลาแล้ว น่าจะเกิดก่อนเหตุการณ์ปลดแอก
จากการตรวจสอบ ณ จุดนี้คือซากโรงงานที่สร้างขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น เรื่องนี้จึงเข้าใจกันได้ และด้วยสาเหตุนี้จึงมีกระแสคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นในหมู่ประชาชน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่ากันมาในภายหลัง
…………
ความโชคร้ายสองครั้งติดของลู่เชินเกิดจากคนคนเดียว เท่าที่เยี่ยเทียนมอง เขาต้องมีธาตุทั้งห้าสัมพันธ์กับคนนี้ ไม่แน่ว่าวันหลังอาจต้องพบกันอีก แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนเองยังไม่สามารถทำอะไรได้ แค่รับมือในเหตุการณ์เฉพาะหน้า
กลับมานอนหลับเต็มอิ่มที่เรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนตื่นขึ้นเองตอนตีห้ากว่า ฝึกค่ายกลที่ด้านหลังเรือนหนึ่งรอบ ตอนเตรียมตัวออกเดินเล่นก็เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว
พอเดินมาถึงเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนเห็นพ่อล้างหน้าแปรงฟันอยู่กลางบ้าน จึงอดถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้ “ พ่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เมื่อวานตอนคุยโทรศัพท์กับเยี่ยตงผิง เขายังบอกว่ารออีกสองสามวันจึงจะกลับ ทำไมผ่านไปแค่คืนเดียว ก็กลับมาถึงบ้านแล้วล่ะ?
ปากของเยี่ยตงผิงเต็มไปด้วยฟอง พูดเสียงอู้อี้ว่า “กลับมาเมื่อคืน วันนี้มีนัดกับคนเพื่อดูของ เอ้อ พ่อว่าถ้าลูกไม่มีธุระอะไรก็ไปเป็นเพื่อนพ่อเถอะ……”
“ผมดูของโบราณไม่เป็น จะไปกับพ่อทำไมล่ะครับ? ไม่ไปหรอก ตอนสายๆ ผมมีธุระ……” เยี่ยเทียนปฏิเสธไปตรงๆ เดี๋ยวตัวเขาต้องตรงไปคุมงานทางเรือนสี่ประสาน จะเอาเวลาไหนไปดูของโบราณกัน
“เฮ้ๆ พ่อว่าลูกอย่าไปเลย……”
พอเห็นลูกชายก้าวขาจะออกไปข้างนอก เยี่ยตงผิงตามไปทั้งแปรงสีฟันคาปาก รั้งตัวเยี่ยเทียนพลางพูดว่า “มันเป็นของที่ขุดมาจากดิน ข้อแรกพ่อดูไม่ค่อยชัด ข้อสองกลัวว่าเป็นของขโมยมา ลูกไม่ไปดูหน่อยหรือว่าพ่อจะโชคร้ายหรือเปล่า?”
เดิมทีอีกสองสามวันเยี่ยตงผิงถึงจะกลับปักกิ่ง แต่หลังจากได้รับโทรศัพท์เมื่อคืน เพื่อนสนิทที่ซูโจวโทรมา บอกว่าเพื่อนสองสามคนที่ขุดหลุมฝังศพตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่ง ในมือมีสินค้าต้องการปล่อยโดยเร็ว
เพื่อนที่ซูโจวนั้นติดธุระมาไม่ได้ จึงแนะนำคนให้กับเยี่ยตงผิง แต่พวกนั้นก็รีบร้อนจะไปจากปักกิ่ง มีเวลาแค่ช่วงสายวันนี้เท่านั้น
เยี่ยตงผิงรู้ว่าความหมายของ “คนขุดหลุมศพ” ก็คือหากินกับคนตาย คนที่ขโมยของในหลุมศพพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมีของที่ล้ำค่าอยู่จริง อีกทั้งราคาที่รับของมาก็ต่ำ ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงรีบกลับมาจากเหอเป่ยภายในคืนเดียวกัน
หลังจากที่ฟังคำพูดของพ่อ เยี่ยเทียนก็พูดทีเล่นทีจริง “พ่อ เดี๋ยวนี้เอาทุกทางเลยเหรอ? กระทั่งของพวกนี้ก็กล้าเล่นด้วยเหรอ?”
เห็นลูกชายมีท่าทีแปลกๆ เยี่ยตงผิงก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แกนี่ไปเอาคำพูดเหลวไหลพวกนี้มาจากที่ไหน? ถึงพ่อไม่รับคนอื่นเขาก็รับ อยู่ในมือพ่ออย่างน้อยยังขายภายในประเทศ หากคนอื่นซื้อไป ไม่แน่อาจถูกขายต่อต่างประเทศก็ได้นะ……”
เยี่ยตงผิงพูดถูก พอวงการวัตถุโบราณเฟื่องฟูยิ่งขึ้น พวกปล้นสุสานลักขโมยวัตถุทางวัฒนธรรมก็ออกอาละวาดมากขึ้นตามมา
สินค้าหลายอย่างที่ขายในประเทศไม่ได้ราคา พอไปต่างประเทศของเหล่านี้กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า กำไรมหาศาลทำให้หลายคนเริ่มเสี่ยงยิ่งขึ้น กระทั่งชาวนาถือจอบเสียมบางคนยังเปลี่ยนเส้นทางไปปล้นสุสาน
เช่นเดียวกับเยี่ยตงผิงที่เปิดร้านที่ผานเจียหยวน ประมาณสองสามวันจะมีคนท่าทางลับๆ ล่อๆ มาขายของถึงหน้าร้าน แม้ในจำนวนนั้นจะเป็นสิบแปดมงกุฎ “หลอกเอาเงิน”อยู่บ้าง แต่ย่อมมีของดีที่ขุดมาจากดินแน่นอน
แม้ว่าเมื่อต้นปีจะมีการปราบปรามโจมตีโจรหลุมศพในประเทศ แต่นอกจากส่านซีที่มีผลกระทบค่อนข้างหนัก ที่อื่นต่างก็ปิดหูปิดตา การซื้อและขายสมบัติทางวัฒนธรรมโดยพละการ ในวงการจึงแทบกลายเป็นเรื่องปกติ
ช่วงเริ่มต้นเยี่ยตงผิงยังต่อต้านอยู่บ้าง แต่พอเห็นคนอื่นขายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็อดไหลตามกระแสไปไม่ได้
หลังจากฟังพ่ออธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนก็พยักหน้าพูดว่า “ก็ได้ งั้นผมไปดูกับพ่อ แต่พ่อ ของที่ฝังกับคนตายพวกนี้พ่ออยู่ห่างๆ ไว้ดีกว่า……”
เยี่ยเทียนไม่มีความเห็นใด ๆ ต่อการขายสมบัติทางวัฒนธรรมที่ขุดขึ้นมา หากไม่มีโจรปล้นหลุมศพ ไหนเลยบนโลกนี้จะมีวัตถุโบราณมากมายให้คนได้ชื่นชม ถ้ามองในจุดนี้ คนเหล่านี้ต่างหากที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของตลาดวัตถุโบราณ
แต่ว่าสมบัติเหล่านี้อยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายปี ปนเปื้อนต่อพลังชั่วร้ายได้ง่ายคลุกคลีนานไปอาจไม่ส่งผลดีต่อร่างกายเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงเตือนสติพ่อสักสองสามประโยค
“หลอกพ่อให้มันน้อยๆ หน่อย บนตัวพ่อมียันต์คุ้มกันที่แกให้ไว้ไม่ใช่หรือไง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงก็ยกแขนเสื้อของเขาขึ้น บนเข็มขัดรอบเอวเขา ห้อยจี้หยกป้องกันผีที่เลื่องลืออยู่ เป็นเยี่ยเทียนมอบให้เขานั่นเอง
หลังจากเหตุการณ์ที่เยี่ยเทียนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้กับนักพรตเต๋า แม้เยี่ยตงผิงจะปากแข็ง แต่กลับระมัดระวังอย่างยิ่งในหลายๆ เรื่อง นอกจากจี้หยกป้องกันผีแล้ว ที่คอยังห้อยหินหยกเจ้าแม่กวนอิมที่แย่งมาจากเยี่ยเทียนในวันนั้น
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ต่อไปรับของเหล่านั้นมา เอามาให้ผมดูก่อนล่ะ……”
สิ่งที่ขุดออกมาจากดินในหลุมศพ บางชิ้นก็มีพลังชั่วร้ายปนเปื้อน แต่บางชิ้นก็เป็นของขลังผสานเข้ากับธรรมชาติได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงทำให้เยี่ยเทียนอยากรับของตกทอดมาจากพ่อ
“ได้ งั้นพวกเรากินข้าวเช้ากันสักหน่อย เดี๋ยวพอแปดโมงคนทางนั้นจะโทรศัพท์มา!” เห็นพี่สาวคนโตซื้อข้าวเช้าเดินเข้ามาในเรือน เยี่ยตงผิงก็เช็ดหน้าเช็ดตา เข้าห้องครัวไปกับเยี่ยเทียน
…………
บนโซฟาในห้องบนชั้นสิบแปดของอาคารพาณิชย์ที่อยู่อาศัยตรงข้ามกับสถานีตำรวจเขตซีเฉิง ชายหกเจ็ดคนนอนเบียดกันไปมาบนพื้นในห้อง มีร่องรอยวัตถุคล้ายดินเหนียวกระจายไปทั่ว
“พี่วั่ง รอได้เงินก้อนนี้ค่อยไปยังไม่สายนี่นา ด้วยสินค้าพวกนี้ของเรา คิดราคาสักสองแสนก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร? ”
ชายรูปร่างสูงใหญ่ในวัยสามสิบต้นๆ ปิดตาทำสมาธิอยู่บนโซฟา ขณะพูดคุยกับชายวัยกลางคนร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งข้างกาย จงใจกระซิบเสียงต่ำอย่างระมัดระวัง
“ไม่ได้ สองสามวันนี้สถานการณ์ค่อนข้างกระชั้น ฉันรู้สึกว่าไม่ปกติเท่าไหร่ เปียวจื่อ นายก็ไปกับฉันด้วย……”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้า จ้องมองมาอีกคนพูดว่า “หวังซุ่น นายอยู่ที่นี่ หลังจากปล่อยของจากมือแล้ว ให้ไปรวมตัวกันที่เดิมที่อุรุมชี ที่นั่นมีธุรกิจใหญ่โต หลังจากทำเสร็จพวกเราค่อยออกไปทางชายแดน ไปเสพสุขกันสักสองสามปี!”
คนที่ชื่อหวังซุ่นนั้นอายุไม่มาก หน้าตาดาดๆ ขนาดว่าถ้าหาตัวในคนหมู่มากจะหาไม่เจอเป็นอันขาด หลังจากที่ฟังคนวัยกลางคนพูด ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์ อาจารย์มีของพิสดารอย่างนี้ ตำรวจดูอะไรไม่ออกหรอก มีอะไรต้องกลัวล่ะ?”
“นายจะเข้าใจอะไร อย่าคิดว่าเรียนค่ายกลเชี่ยวชาญแล้วจะไร้เทียมทาน ฉันที่เป็นอาจารย์นายยังห่างไกลอีกเยอะ……”
ชายวัยกลางคนได้ยินเข้าก็จ้องมองกลับ สายตาที่เยือกเย็นทำให้หวังซุ่นต้องหลับสายตาทันที บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา
“ไปเถอะ แยกย้ายกันขึ้นรถ!”
ชายวัยกลางคนยืนขึ้น พวกที่เดิมนอนกระจัดกระจายอยู่ ก็ทยอยยืนขึ้น เดินออกจากห้องกันอย่างเป็นระเบียบ