จอดรถไว้ที่หน้าประตูโรงพยาบาล เว่ยหงจวินเอ่ยปากถามว่า “เยี่ยเทียน ให้อาลงไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับลุงเว่ย ขอบคุณครับ!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อครู่เขาได้โทรไปที่ทำงานของลู่เชิน และถามหมายเลขห้องที่ลูกพี่ลูกน้องพักมาแล้ว
เยี่ยเทียนไม่ชอบกลิ่นฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล และยิ่งกว่านั้นคือมีพลังหยินอยู่ที่โรงพยาบาลหนาแน่นมาก คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกแต่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงกระแสพลังพิฆาตที่กระจายออกมาจากร่างกายคนได้อย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้นน้อยครั้งมากที่เยี่ยเทียนจะมาโรงพยาบาล กระทั่งตอนเขาถูกพลังชี่ตีกลับที่เหมาซานจนล้มป่วยไปช่วงนั้น ก็ไม่เข้าโรงพยาบาลเลยสักวัน ล้วนฟื้นฟูร่างกายด้วยตัวเองทั้งนั้น
หลังจากที่สอบถามไปหลายคน เยี่ยเทียนก็หาห้องพักของลู่เชินเจอ ซึ่งเป็นห้องพักเดี่ยวพิเศษ หลังเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป เยี่ยเทียนก็เห็นครอบครัวของป้ารองทุกคนอยู่ในห้อง
โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยถูกวางด้วยดอกไม้สดและผลไม้จนเต็ม น่าจะเป็นของคนที่มาเยี่ยม แต่ชัดเจนมากว่าของพวกนั้นยังไม่มีใครแตะต้อง
“คุณป้า คุณลุง พี่สะใภ้ พี่เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เยี่ยเทียนพูดพลางตามองไปทางลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เหนือมือของเขามีขวดน้ำเกลือหยดแขวนอยู่ ดูเหมือนยังคงสลบไสลไม่รู้สึกตัว
ทว่าถึงแม้ลู่เชินจะใส่ชุดผู้ป่วย แต่ว่าส่วนหัว และทั้งเนื้อตัวของเขาไม่มีร่องรอยผ้าพันแผล นั่นทำให้เยี่ยเทียนถอนหายใจโล่งอก
“คุณลุง อุ้ม!”
ลูกชายของลู่เชินปีนี้อายุสามขวบกว่าแล้ว เด็กคนนี้ตัวสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ขณะกำลังคลานเล่นอยู่ที่เตียง พอเห็นเยี่ยเทียนเดินเข้าไปก็ตบมือขอให้เยี่ยเทียนอุ้ม
ยื่นมือไปอุ้มหลานขึ้นมา เยี่ยเทียนก็มองไปยังใบหน้าเลอะคราบน้ำตาของอวิ๋นซี “พี่สะใภ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ปกติแล้วสุขภาพของพี่ก็แข็งแรงดีไม่ใช่หรือ?”
“พวกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนตอนกลางดึกเขารับโทรศัพท์สายหนึ่งบอกว่ามีเรื่องที่ทำงาน แล้วก็ออกไป เช้าวันนี้หัวหน้าแจ้งมายังที่บ้าน พวกเราถึงได้รู้ว่าเขาเข้าโรงพยาบาล หมอก็ตรวจไม่พบว่ามีปัญหาอะไร ถ้า……ถ้าเขาเป็นอะไรไปแล้วพวกเราสองแม่ลูกจะใช้ชีวิตต่อกันยังไง?”
อวิ๋นซีพูดพลางร้องไห้ขึ้นมาอีก เด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยเทียนดิ้นไปดิ้นมา พอวางลงพื้นก็วิ่งไปหาแม่ พูดกับแม่ด้วยเสียงออดอ้อนว่า “แม่อย่าร้อง พ่อหลับไปแล้ว เดี๋ยวก็พาผมไปเล่น……”
เด็กคนนี้ไม่พูดอย่างนี้ออกมาคงจะดีกว่า พอพูดออกมายิ่งทำให้อวิ๋นซีร้องไห้หนักกว่าเดิม สามีที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร คนที่ต้องแบกรับความกดดันมากที่สุดก็คือเธอ
เห็นสภาพพี่สะใภ้เป็นแบบนี้เยี่ยเทียนรู้ว่าถามไปก็ไม่ได้อะไร หันไปทางคุณลุงคุณป้าแล้วถามว่า “คุณลุง หัวหน้าที่ทำงานของพี่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยหรือครับ?”
“หัวหน้าของเสี่ยวเชินก็มาที่โรงพยาบาลแล้วเหมือนกัน พูดว่าเมื่อวานมีคดีฆาตกรรม แต่สถานการณ์ตรงนั้นค่อนข้างซับซ้อน ลู่เชินจึงอยู่หาเบาะแสต่อกับเพื่อนร่วมงาน ตอนเช้าเวลาประมาณตีห้ากว่า จู่ๆ เสี่ยวเชินก็สลบไปแล้วเพื่อนร่วมงานก็ส่งมายังโรงพยาบาล……”
คนแก่กลัวที่สุดก็คือคนผมขาวต้องมาไว้ทุกข์ให้กับคนผมดำ อาการป่วยของลู่เชินทำให้ผมของผู้อาวุโสสองคนนี้ขาวขึ้นไม่น้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความห่วงใย
เยี่ยตงจู๋รู้ว่าหลานชายของตัวเองรู้เรื่องวิชาฮวงจุ้ย จึงลองถามออกไปว่า “เยี่ยเทียน เธอดูสิว่าลู่เชินเองก็ไม่มีแผลอะไรเลย บางทีอาจจะโดนของหรือเปล่า?”
“พูดไปเรื่อย โดนของอะไรกัน ตอนนั้นไม่ได้มีแค่เสี่ยวเชินอยู่ที่เหตุการณ์คนเดียวซะหน่อย!”
เยี่ยตงจู๋ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกสามีแทรกขึ้นมา คุณลุงคุณป้าที่ยังมีชีวิตอยู่ของเยี่ยเทียนทั้งสองท่านนี้ คนที่พอมีการศึกษาอย่างคุณลุงไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางเท่าไหร่
“เธอนี่มัน งั้นเธอบอกได้มั้ยว่าเสี่ยวเชินเป็นอะไร?” ผู้หญิงตระกูลเยี่ยมักแสดงอำนาจเหนือกว่าจนเคยชิน เยี่ยตงจู๋ทำหน้าทำตาใส่สามีขึ้นมาทันที จนทั้งคู่เกือบจะทะเลาะกัน
“ป้ารอง คุณลุง ใจเย็นๆ กันก่อน ผมเองก็พอมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง เดี๋ยวผมดูให้พี่ก่อนดีกว่า……” เยี่ยเทียนขัดขึ้นมาทันควัน เดินไปยังข้างเตียงผู้ป่วย ยกมือขวาของลู่เชินขึ้นแล้วค่อยๆหลับตาลง
“ชีพจรคงที่ การเต้นมีกำลังวังชา ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่?”
หลังจากลองจับชีพจรให้ลู่เชิน เยี่ยเทียนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาในใจ ชีพจรของพี่ชายปกติมากจนเหมือนคนสุขภาพแข็งแรงคนหนึ่ง ไม่น่าสลบไสลไม่ได้สติแบบนี้?
คิดอยู่ในใจสักพักเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไปดูมืออีกข้างของลู่เชิน จับชีพจรต่อ แต่ว่าครั้งนี้เขาใช้พลังชี่ดั้งเดิมในตัวเหนี่ยวนำกับลมหายใจของลู่เชิน
พลังชี่ดั้งเดิมที่เยี่ยเทียนฝึกฝนมา ใกล้เคียงกับกำลังภายใน แต่ไม่สามารถใช้พลังรักษาอาการป่วยของคนได้เหมือนกำลังภายใน ทว่าพลังชี่ดั้งเดิมของเยี่ยเทียนอ่อนไหวต่อพลังชี่หยินหยาง ถึงแม้ไม่ส่งเข้าไปในร่างกายองลู่เชิน แต่ก็ยังพอสัมผัสได้ถึงพลังชี่ที่เปลี่ยนแปลงในตัวเขา
ตามหลักทฤษฏีแพทย์แผนจีน สุขภาพร่างกายของคนเราล้วนถูกควบคุมและปรับเปลี่ยนโดยพลังชี่หยินหยาง เมื่อพลังชี่หยินหยางสูญเสียความสมดุล คนก็จะเจ็บป่วย สาเหตุที่เยี่ยเทียนใช้วิธีนี้ เป็นเพราะเขาอยากรู้ว่าลู่เชินสลบไปเพราะพลังพิฆาตหรือเปล่า?
“ร่างกายของเขาไม่มีปัญหา หืม? ว่าแล้วเชียวว่าตรงจุดนี้!”
หลังจากสัมผัสเจอลำตัวของลู่เชิน เยี่ยเทียนรวบรวมพลังชี่ดั้งเดิมให้เป็นกลุ่ม จนถึงบริเวณหัวของลู่เชิน แล้วดวงตาที่ปิดอยู่ก็เบิกกว้างขึ้นมาทันใด
บริเวณหัวของลู่เชิน เยี่ยเทียนสัมผัสถึงพลังพิฆาตอันเยือกเย็น แอบซ่อนอยู่ที่ส่วนหัวของลู่เชินได้อย่างชัดเจน และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ลู่เชินสลบไสลไม่ได้สติ
“พี่สะใภ้ ก่อนหน้านี้ผมเคยให้หยกชิ้นหนึ่งกับพี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่ไหมครับ?”
พอรู้สาเหตุที่ลู่เชินสลบแล้วเยี่ยเทียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังพิฆาตกลุ่มนั้นยังไม่ได้ซึมเข้าสู่สมองของลู่เชิน ไม่อย่างนั้นลู่เชินคงไม่แค่สลบ แม้แต่ลมหายก็คงจะหยุดไปตั้งนานแล้ว
“เธอหมายถึงหยกปี่เซียะชิ้นนั้นใช่มั้ย?”
อวิ๋นซีได้ยินก็นิ่งไปพักหนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าเยี่ยเทียนถามถึงหยกชิ้นนั้นทำไม จึงดึงตัวลูกชายมา เกี่ยวเส้นสีแดงขึ้นมาเส้นหนึ่งจากคอลูก พูดว่า “ลู่เชินบอกว่าหากเขาใส่ของชิ้นนี้ไปที่ทำงานแล้วมีคนเห็นเข้าจะไม่ดี เลยใส่ให้จวิ้นหาน……”
“มิน่าล่ะ……” หลังจากเห็นหยกปี่เซียะชิ้นนี้ ในใจของเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นมาทันที
ตอนแรกเยี่ยเทียนก็คิดไม่ตก ถ้าสมมุติพี่พกของสิ่งนี้ไว้กับตัว ยังไงก็ไม่มีวันถูกพลังพิฆาตเข้าตัวแน่ๆ พอได้เห็นของขลังอยู่กับหลาน เยี่ยเทียนก็พอเดาเรื่องราวความเป็นมาออก
แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าลู่เชินไปที่ไหนมาบ้าง เรื่องนี้ต้องขบให้แตกและจำเป็นต้องถามลู่เชินจึงจะรู้ เยี่ยเทียนคลายมือออกจากลู่เชินแล้วพูดว่า “ป้ารอง พี่สะใภ้ ผมมีวิธีทำให้พี่เขาฟื้นขึ้นมาครับ แต่พวกป้าต้องออกไปก่อน……”
“จริงหรือ? เยี่ยเทียน แต่หมอยังช่วยไม่ได้เลยนะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน อวิ๋นซีลุกขึ้นมาอย่างตื่นเต้น เยี่ยตงจู๋และสามีถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีสีหน้าคาดหวัง
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “พวกป้าออกไปก่อนเถอะ ใช้เวลาไม่นานเดี๋ยวก็เสร็จ……”
จะขจัดพลังพิฆาตออกจากสมองของลู่เชิน เยี่ยเทียนจำเป็นต้องใช้วิชา หากป้ารองและคนอื่นๆ อยู่ในห้องจะไม่สะดวกนัก
“งั้น……ก็ได้ เยี่ยเทียน เธอมั่นใจใช่มั้ย?” เยี่ยตงจู๋รู้สึกเป็นห่วงลูกชายที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณป้าวางใจเถอะครับ……”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางผลักดันให้คนพวกนั้นออกไป จากนั้นปิดประตูล็อกห้อง แล้วยังปิดผ้าม่านที่กระจกบนประตูด้วย
“เวลาว่างก็ว่างแทบตาย พอยุ่งขึ้นมาเรื่องทุกเรื่องก็มาอัดรวมกัน……”
มองลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเยี่ยเทียนเผยยิ้มแห้งจางๆ เมื่อหลายเดือนก่อนเขาว่างถึงขั้นไปเล่นหมากรุกกับผู้เฒ่าเต๋าที่อารามเมฆขาว ตอนนี้กลับมีเรื่องให้ทำอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ถึงอย่างนั้นลูกบ้านคุณลุงคุณป้าก็เท่ากับว่าเป็นญาติสนิทที่สุดของเยี่ยเทียน เวลาปกติลูกพี่ลูกน้องคนนี้ก็ดีกับเขา แม้ว่าครั้งนี้จะต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิม เยี่ยเทียนก็ไม่อาจคิดมากขนาดนั้นแล้ว
เยี่ยเทียนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง หลังจากยืนข้างหัวเตียงของลู่เชินสี่ห้านาที ยกสองมือขึ้นถึงหน้าอก แล้วเริ่มขยับท่วงท่าราวผีเสื้อบินทะลุผ่านดอกไม้ สองนิ้วโป้งชิดกัน ร่างกายค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า ตะโกนคำว่า “หลิน” ออกมา
พลังชี่ดั้งเดิมของในห้องนี้ราวกับถูกก่อกวนตามเสียงที่ตะโกนออกมา ม่านตรงหน้าต่างขยับเขยื้อนทั้งที่ไม่มีลม อีกทั้งใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมา สัญลักษณ์มือทั้งสองหน้าทรวงอกเริ่มเปลี่ยนท่าอีกครั้ง
“โต่ว!”
หลังจากปางมือของเยี่ยเทียนทำการสะกดไว้แล้ว ก็ออกเสียงอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้สัญลักษณ์สิงโตนอก พลังชี่ดั้งเดิมที่ปั่นป่วนอยู่แล้วราวถูกฉุดดึงโดยพลังงานไร้รูปจนหยุดนิ่งในทันที
“เจ๋อ!”
เมื่ออีกเสียงถูกเปล่งออกไป บรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยพลันแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน พลังพิฆาตที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ พุ่งเข้าใส่ร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างรุนแรง ราวได้รับการร้องเรียก
หากเวลานี้มีคนอยู่ในห้อง จะเห็นว่ามีคลื่นมวลขนาดเล็กซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียน ไหลซึมเข้าสู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว
“แค่ก……แค่กแค่ก!”
หลังจากที่พลังพิฆาตเข้าไปในร่างกายแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทรุดลงกับพื้น ไม่สามารถปลีกตัวไปดูลู่เชินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยได้
ผ่านไปห้าถึงหกนาที สีหน้าของเยี่ยเทียนจึงค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็ยังซีดเผือดจนน่ากลัว
สัญลักษณ์มือที่เยี่ยเทียนใช้เมื่อครู่ล้วนแล้วแต่มีข้อกำหนด
สัญลักษณ์สิงโตนอกเบื้องหน้ามีพลังซึ่งสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองและร่างกายของผู้อื่น สามารถทำให้พลังวิญญาณของสรรพสิ่งทั้งปวงอยู่ในการควบคุมของตน ส่วนสัญลักษณ์สิงโตในมีพลังควบคุมใจคนนั่นเอง
จากการใช้สัญลักษณ์สิงโตทั้งสอง ทำให้เยี่ยสามารถบีบพลังพิฆาตในสมองออกโดยไม่ทำอันตรายต่อลู่เชิน แต่สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้นำของขลังเก็บพลังพิฆาตพกติดตัวมาด้วย จึงทำได้เพียงรับพลังนั้นเข้าไปเอง
“นี่……นี่ฉันอยู่ที่ไหน? เยี่ยเทียน เธอ……เธอไปนั่งทำอะไรที่พื้น?” หลังปรับลมหายใจให้เบาลง เยี่ยเทียนเตรียมจะลุกขึ้นก็ได้ยินเสียงของลู่เชิน
“พี่ครับ ที่นี่คือโรงพยาบาล เมื่อเช้าพี่สลบไปจึงมีคนพาพี่มาส่งที่นี่ ว่าแต่ เมื่อวานพี่ไปที่ไหนมา มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
ได้เห็นลู่เชินตื่นขึ้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอก แต่ตัวเองกลับต้องรับพลังพิฆาตเข้าสู่ร่างกายไปเต็มๆ เท่ากับสมทบอาการบาดเจ็บที่มีอยู่เข้าไปอีก เรื่องจึงไม่นับว่าจบเพียงเท่านี้