“เด็กคนนี้นี่นะ เรื่องนี้ทำไมไม่บอกปู่ล่ะ?”
พอได้ยินคำตอบของหลานสาว ถังเหวินหย่วนก็มีสีหน้าทั้งเจ็บปวดและรู้สึกผิด ยื่นมือออกไปลูบผมของหลานสาว เบาๆ แล้วหันไปถามเยี่ยเทียน “แล้วยังไงต่อ นี่มันเป็นโรคอะไรรึเปล่าล่ะ?”
เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามของถังเหวินหย่วน แต่ก้มหน้าลงไปสักพัก แล้วถึงจะเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “พี่เสวี่ยเหลียน พี่พาเสวียเสวี่ยออกไปซื้อบุหรี่มาให้ผมสักกล่องนึงสิครับ วันนี้รีบออกมา ก็เลยลืมพกมาด้วย…”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนและถังเสวียเสวี่ยต่างก็หน้าถอดสีไปพร้อมกัน ใครๆ ก็ฟังออกว่า เยี่ยเทียนจงใจเปลี่ยนเรื่อง และส่งถังเสวียเสวี่ยออกไป
“พี่เยี่ยพูดมาเถอะค่ะ เสวียเสวี่ยไม่กลัวหรอก…” ถังเสวียเสวี่ยขบริมฝีปากอย่างแรง สำหรับเธอแล้ว แทนที่จะต้องทน ทรมานต่อไปวันแล้ววันเล่า มิสู้หลุดพ้นจากอาการนี้ให้เร็วขึ้นสักหนึ่งวันก็ยังดี
เยี่ยเทียนไม่พูดอะไร แต่กลับมองไปที่ถังเหวินหย่วน ถังเหวินหย่วนผู้มีผมเคราหงอกขาวในยามนั้นไม่เหลือความโอ่ อ่าสง่างามของเจ้าพ่อแห่งโลกธุรกิจแล้ว แม้แต่แผ่นหลังก็ดูเหมือนจะโค้งงอลงไปด้วย หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงจะพยักหน้า “เสี่ยวเสวี่ยโตแล้ว เธอก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เหมือนกัน เยี่ยเทียน คุณ…คุณบอกมาเถอะ!”
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนพยักหน้า เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “เหล่าถัง ในโลกนี้มีโรคอยู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า โรคเส้นลมปราณ ขาดโดยกำเนิด ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
“อาการป่วยของเสี่ยวเสวี่ยคือโรคเส้นลมปราณขาดโดยกำเนิดจริงๆ หรือนี่?” ถังเหวินหย่วนที่กำลังนั่งพิงพนักโซฟา อยู่ขยับลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันที และมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าตกตะลึง
“อ้อ? คุณเคยได้ยินมาแล้ว? ใครเป็นคนบอกคุณครับ? แล้วทำไมเขาไม่รักษาให้เสวียเสวี่ยล่ะ?”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ออกจะรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่จะรู้จักโรคที่รักษาไม่หายชนิดนี้ได้ ถ้าไม่ใช่แพทย์แผน จีนอันดับต้นๆ ของประเทศในสมัยนั้น ก็ต้องเป็นอาจารย์ซินแสที่ล่วงรู้เกี่ยวกับศาสตร์หยินหยาง โรงพยาบาลทั่วๆ ไปไม่มีทาง วินิจฉัยออกมาได้แน่
โรคเส้นลมปราณขาดแม้จะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้วิธีเยียวยาไปเสียทีเดียว โดยปกติถ้าวินิจฉัยพบ แล้ว ต่อให้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก็น่าจะทำให้อาการของโรคทุเลาลงได้บ้าง แต่เยี่ยเทียนดูจากอาการของถังเสวียเสวี่ย แล้ว คงจะยังไม่เคยได้รับการเยียวยาที่ตรงจุดเลย
ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า “หมอแผนจีนชื่อดังจากฮ่องกงท่านหนึ่งเป็นคนบอกน่ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของเหอกงตั้นสมัย ปลายราชวงศ์ชิง แต่ท่านก็แค่สงสัยเฉยๆ เพราะสาเหตุหลายอย่าง ตอนนั้นก็เลยไม่ได้ช่วยรักษาเสี่ยวเสวี่ย ว่าแต่เยี่ยเทียน โรคเส้นลมปราณขาดนี่ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ?”
ความเป็นจริงก็เป็นไปตรงตามที่เยี่ยเทียนคิดไว้ ที่จริงตอนนั้นศิษย์ของเหอกงตั้นคนนี้ก็เสนอไปแล้วว่า จะใช้การฝัง เข็มรมยาช่วยเปิดเส้นลมปราณ ทำให้อาการของถังเสวียเสวี่ยทุเลาลง แต่พ่อแม่ของถังเสวียเสวี่ยเชื่อถือแพทย์แผนตะวันตก มากกว่า จึงพาถังเสวียเสวี่ยเดินทางไกลไปรักษาที่สหรัฐอเมริกา
ใครเลยจะรู้ว่า นอกจากที่อเมริกาจะรักษาไม่หายแล้ว ยังกลับทำให้อาการทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม ด้วยความจนปัญญา จึงกลับไปหาอาจารย์หมอแผนจีนท่านนั้นที่ฮ่องกงอีกครั้ง แต่ศิษย์ของเหอกงตั้นคนนั้นกลับล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นแม้ถัง เหวินหย่วนจะเคยได้ยินชื่อโรคเส้นลมปราณขาดมาก่อน แต่กลับไม่รู้เลยว่าเป็นโรคแบบไหน
“ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของเหอกงตั้นนี่เอง มิน่าล่ะถึงรู้ว่าเป็นโรคเส้นลมปราณขาด…”
เมื่อได้ยินคำตอบของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็พยักหน้า เหอกงตั้นเป็นแพทย์ชื่อดังที่เมืองหางโจวในยุคสาธารณรัฐ จีนช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง เกิดในช่วงต้นรัชสมัยฮ่องเต้กวงซวี่แห่งราชวงศ์ชิง เริ่มศึกษาเพื่อสอบเข้ารับราชการตั้งแต่เยาว์วัย มีความรู้ตั้งแต่ปรัชญาของขงจื่อไปจนถึงวิชาการแพทย์ หลังจากตั้งโรงเรียนแพทย์เฉพาะทางของตนเองขึ้นที่มณฑลเจ้อเจียง เหอกงตั้นก็รับถ่ายทอดวิชามาตลอด ศิษย์จากสำนักของท่านจึงมีกระจายอยู่ทั่วทุกส่วนของประเทศ
ตอนที่หลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพในสมัยหนุ่ม ก็เคยได้พบปะกับเหอกงตั้นอยู่บ้าง และชื่นชมยกย่องต่อทักษะทาง การแพทย์ของเขาเป็นอย่างสูง เวลาที่ท่านเล่าเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ ที่ท่านได้รู้จักมาในสมัยหนุ่มให้เยี่ยเทียนฟัง ก็เคยกล่าวถึง บุคคลผู้นี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง
“เหล่าถัง โรคของเสี่ยวเสวี่ยนี่น่ะ ก็ไม่ใช่ว่าจะหมดทางช่วยไปเสียทีเดียวหรอก ผมจะอธิบายเกี่ยวกับโรคเส้นลม ปราณขาดให้คุณฟังก่อนก็แล้วกัน…”
เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนท่าทางร้อนรน เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “โรคเส้นลมปราณขาดเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นโดย กำเนิดชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการที่เส้นลมปราณในร่างกายอุดตัน โรคนี้แบ่งตามระดับความรุนแรงได้เป็นสามชนิด ได้แก่ ชนิด สาม ชนิดหก และชนิดเก้า ผู้หญิงเป็นธาตุหยิน เส้นลมปราณสายหลักทั้งสิบสองในร่างกายก็เป็นธาตุหยินทั้งหมด จึงเรียกอา การนี้ว่า เส้นลมปราณสามหยินขาด เส้นลมปราณหกหยินขาด และเส้นลมปราณเก้าหยินขาด
ส่วนผู้ชายก็ตรงกันข้าม เส้นลมปราณสายหลักทั้งสิบสองในร่างกายเป็นธาตุหยางทั้งหมด จึงเรียกว่าอาการเส้นลม ปราณสามหยางขาด เส้นลมปราณหกหยางขาด และเส้นลมปราณเก้าหยางขาด
โดยปกติแล้ว เส้นลมปราณสามหยินขาดจะออกอาการเมื่ออายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี เส้นลมปราณหกหยินขาด ก็จะออกอาการเมื่ออายุประมาณสิบแปดปี ส่วนเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้น จะออกอาการเมื่ออายุประมาณเก้าปี และปกติ ก็จะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุไม่เกินสิบแปดปี ดูจากอาการของเสี่ยวเสวี่ย เห็นทีคงจะเป็นเส้นลมปราณขาดชนิดเก้าหยิน แน่ แล้ว…”
ระหว่างคำนวณชะตาชีวิตของถังเสวียเสวี่ยเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนก็พบแล้วว่า ภายในระยะเวลาก่อนที่เธอจะเกิดมานั้น เคยประสบกับเคราะห์ร้ายครั้งหนึ่งคือ ระหว่างที่มารดากำลังจะให้กำเนิดเธอ เคยถูกพลังหยินพิฆาตเข้าแทรก ถึงจะแคล้ว คลาดไปได้ แต่ก็ยังคงทิ้งรากเหง้าของความเจ็บป่วยไว้ให้ถังเสวียเสวี่ยที่ยังไม่ได้เกิดมา
ถังเสวียเสวี่ยเกิดตรงกับวันอู้จื่อ เดือนอู้เซิน ซึ่งตรงกับวันที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวันเปิดประตูผีพอดี และก็เป็นวันที่ฟ้า ดินจะมีกระแสพลังหยินพิฆาตรุนแรงที่สุดของปี ปกติก็มีแต่ผู้ที่เกิดในวันเวลานี้เท่านั้น ที่จะป่วยด้วยโรคโดยกำเนิดชนิดนี้ได้
“เยี่ย…เยี่ยเทียน อย่างนั้นแล้ว…แล้วโรคของเสี่ยวเสวี่ยนี่ยังพอมีทางรักษาอยู่รึเปล่าล่ะ? ขอแค่รักษาให้หายได้ ไม่สิ…ขอแค่ทำให้เสวียเสวี่ยทรมานน้อยลงไปบ้าง ต้องจ่ายเงินอีกเท่าไหร่ก็ยอมทั้งนั้นแหละ!”
พอฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ถังเหวินหย่วนก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตา น้ำตาเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า ในขณะนั้น ชายชราผู้แกร่ง กร้าวมาตลอดชีวิตคนนี้ กลับกลายเป็นเพียงคุณปู่ผู้รักเวทนาหลานสาวคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าสัวมหาเศรษฐีอะไรอีกแล้ว
“เหล่าถัง อย่ามาทำท่าทางแบบนี้เลย ใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก เรื่องนี้น่ะให้ผมคิดดูก่อน…”
เยี่ยเทียนมองถังเหวินหย่วนแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อครู่นี้ตอนที่ตาแก่นี่เอาน้ำชาป้ายลงไปที่ดวงตา ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาดั่งเนตรเพลิงสีทองของเยี่ยเทียนไปได้อยู่แล้ว เขาไม่ใช่จะหลอกได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ
“อะแฮ่ม…แค่กๆ คุณค่อยๆ คิดนะ ค่อยๆ คิด” พอถูกเยี่ยเทียนเปิดโปงลูกไม้ตลบแตลงของตัวเอง ถังเหวินหย่วน ก็กระแอมอย่างกระอักกระอ่วนสองสามที แล้วก็ไม่กล้ารบกวนเยี่ยเทียนอีกเลย
“ข้อห้ามที่อาจารย์เคยบอกมาตอนนั้น ตอนนี้ก็ดันมาเจอเข้าจนได้…”
เยี่ยเทียนเอนหลังพิงโซฟา ในสมองปรากฏภาพเหตุการณ์ในอดีตที่พรตเฒ่าได้สั่งสอนเขาไว้ขึ้นมา
“พ่อหนูเยี่ยจื่อ เจ้าตอบถูกมาข้อหนึ่งแล้ว แต่ยังมีสาเหตุอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ คนที่เกิดในวันเดือนปีและช่วงเวลา ‘แปดอักษรหยางล้วน’ หรือ ‘แปดอักษรหยินล้วน’ นั้น ปกติแล้วเราจะไม่ดูดวงให้เขาหรอกนะ…”
“ทำไมล่ะครับอาจารย์?”
“คนที่เกิดในสองช่วงยามนี้มีดวงชะตาอ่อนมาก ระหว่างที่เจ้าทำนาย จึงอาจจะทำให้ดวงชะตาของคนผู้นั้นเกิดการ เปลี่ยนแปลงได้ กลายเป็นว่าเจ้าไปฝ่าฝืนข้อห้ามเรื่องแก้ลิขิตพลิกชะตาโดยไม่ได้เจตนา ดังนั้นจงจำไว้ให้มั่น ต่อให้คนผู้นั้นเป็น มิตรสหายที่สำคัญต่อเจ้าเพียงใด ก็อย่าไปประมาทพยากรณ์ดวงชะตาให้คนสองประเภทนี้…”
บทสนทนากับหลี่ซั่นหยวนเมื่อครั้งกระโน้นปรากฏขึ้นในห้วงสมองอย่างแจ่มชัด วันเกิดของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าคน นี้ก็คือเวลาแปดอักษรหยินล้วนนั่นเอง ซึ่งผิดกับข้อห้ามในสายอาชีพของเขาพอดี ตอนนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหลับตาลง และขมวดคิ้วขึ้นมาเป็นครั้งคราว ถังเสวียเสวี่ยก็พูดขึ้นมาอย่างรู้ความ “พี่เยี่ยเทียน เสี่ยวเสวี่ยไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่อย่าเครียดไปเลย…”
พอได้ยินถังเสวียเสวี่ยพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที เมื่อเห็นร่างกายอันผอมซูบของเด็กสาวคนนี้ คำกล่าวหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของเยี่ยเทียน ‘ชายชาตรียามทำกิจใด คำนึงแต่ว่าถูกหรือผิด ไม่คำนึงว่าเป็นโชคหรือ เคราะห์!’
เมื่อนึกถึงข้อความที่คนโบราณได้กล่าวไว้นี้ขึ้นมา ในใจเยี่ยเทียนก็อดรู้สึกละอายขึ้นมาไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาเสียงดังว่า “เหล่าถัง โรคของเสี่ยวเสวี่ยน่ะ ผมจะดูแลให้เอง!”
ตอนที่ช่วยพยากรณ์ดวงชะตาของถังเสวียเสวี่ยไปเมื่อครู่ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา แต่ก็ถือว่าได้ แพร่งพรายความลับสวรรค์ออกไปแล้ว แทนที่จะมัวหลบๆ เลี่ยงๆ มิสู้ขอเห็นดีกับสวรรค์ดูสักตั้งไปเลยดีกว่า
“มีวิธีจริงๆ หรือ? สามารถรักษาโรคของเสี่ยวเสวี่ยได้แน่นะ?” ถังเหวินหย่วนจับแขนของเยี่ยเทียนไว้ จนเส้นเลือดบน หลังมือปูดขึ้นมา
“มีโอกาสสำเร็จอยู่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ เหล่าถัง อย่าโกรธเลยนะถ้าผมจะบอกว่า ณ ตอนนี้ในโลกนี้ นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีใครรักษาโรคของเธอได้อีกแล้วล่ะ!”
เยี่ยเทียนพูดอย่างมั่นใจเต็มที่ เนื่องจากโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดเป็นโรคโดยกำเนิด จึงต้องใช้พยากรณ์ ศาสตร์ในการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา ซึ่งผู้ทำพิธีจะต้องสามารถผสานกับพลังชี่ในธรรมชาติได้ เงื่อนไขข้อนี้ นอกจากเยี่ยเทียน ก็คงจะไม่มีใครทำได้อีกแล้ว
แต่การรักษาโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้นก็มีข้อแตกต่างจากการใช้วิชาเจ็ดประทีปต่อชีวิตอยู่
วิชาเจ็ดประทีปต่อชีวิตนั้นเป็นวิชาที่ฝืนต่อลิขิตสวรรค์อย่างแข็งกร้าว ผลสะท้อนกลับจึงรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ชุดอาคม ที่ใช้สำหรับรักษาเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้นมีลักษณะโอนอ่อนกว่ามาก ผลกระทบที่จะเกิดต่อเยี่ยเทียนจึงไม่น่าจะร้ายแรง เท่าครั้งก่อน
“เยี่ยเทียน นาย…นายว่า จะต้อง…จะต้องใช้เงินสักเท่าไหร่กันนะ?!”
เมื่อครู่นี้ตอนจะซื้อของขลังก็เพิ่งถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธไป ตอนนี้ถังเหวินหย่วนจึงกลัวว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนใจ เลยรีบ เอ่ยถึงค่าตอบแทนขึ้นมาทันที เขารู้ว่าคนอย่างเยี่ยเทียนนี้ หากลั่นวาจารับปากไปแล้ว ก็จะไม่มีทางกลับคำพูดเป็นเด็ดขาด
เยี่ยเทียนโบกมือ “เรื่องใช้เงินเท่าไหร่นี่ไว้รักษาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ แต่ว่านะเหล่าถัง ผมรับปากว่าจะรักษา เสี่ยวเสวี่ย แต่รักษาให้ตอนนี้เลยยังไม่ได้นะ น่าจะต้องรอไปอีกประมาณหนึ่งปี…”
“ประมาณหนึ่งปี? เสี่ยวเสวี่ยกำลังจะครบสิบเจ็ดอยู่แล้ว ไหนบอกว่าคนเป็นโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนี่จะอยู่ได้ ไม่เกินอายุสิบแปดไม่ใช่รึ? แล้วจะไปรอยังไงไหวล่ะ?”
พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย? เมื่อกี้เพิ่งจะบอกอยู่ว่า เสี่ยวเสวี่ยจะอยู่ไม่ถึงสิบแปด ตอนนี้กลับจะให้รอไปอีกหนึ่งปี ถ้าไม่ใช่เพราะอายุมากสังขารแก่ชรา คุณปู่แกก็คงจะลุกขึ้นมา สู้ตายกับเยี่ยเทียนไปแล้ว
“นั่นน่ะสิ เยี่ยเทียน ถ้าเธอมีหนทาง ก็รีบรักษาให้น้องเสี่ยวเสวี่ยเร็วๆ เถอะนะ…” หลงเสวี่ยเหลียนที่อยู่ข้างๆ พูดเสริม ขึ้นมาบ้าง สภาพผอมซูบอิดโรยของถังเสวียเสวี่ยนั้น ใครเห็นต่างก็ต้องรู้สึกเวทนา
“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกครับ แต่…เฮ้อ…”
เยี่ยเทียนถอนหายใจแล้วพูดต่อ “การรักษาโรคให้เสี่ยวเสวี่ย เท่ากับเป็นการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา ถ้าหากเปลี่ยนเป็น ผมเมื่อสองปีก่อน ก็อาจจะยังพอพยายามทำให้สำเร็จได้อยู่…
แต่เมื่อสองปีก่อนผมเคยฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้อาจารย์มาครั้งหนึ่ง จนได้รับโทษสวรรค์ ถึงได้ส่งผลให้ผมกลาย เป็นสีขาวในชั่วข้ามคืน จนถึงตอนนี้พลังก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเลย ผมน่ะมีใจจะช่วย แต่สังขารมันไม่อำนวยน่ะสิครับ!”
“เคยฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้คนอื่นไปแล้ว?!”
เมื่อเยี่ยเทียนตอบเช่นนั้น สายตาของทุกคนที่มองไปที่เขาก็เปี่ยมศรัทธาแรงกล้าขึ้นมาทันที พวกเขาต่างก็ฟังออกว่า สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั้นต้องไม่ใช่ความเท็จแน่นอน
“แล้ว…แล้วเสวียเสวี่ยจะทำยังไงล่ะ?”
พอได้ยินว่าเยี่ยเทียนสามารถเยียวยาหลานสาวได้ แต่แล้วก็กลับได้ยินอีกว่า เยี่ยเทียนมีใจแต่สังขารไม่อำนวย คราวนี้ถังเหวินหย่วนเลยรู้สึกอย่างกับไปนั่งรถไฟเหาะมาก็ไม่ปาน ตลอดทั้งร่างรู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปเหนือเมฆแล้วก็ตก วูบลงมา
“อย่างเร็วก็หนึ่งปี อย่างช้าก็หนึ่งปีครึ่ง พลังของผมก็น่าจะฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว นี่ผมมียันต์รวมหยางอยู่ใบหนึ่ง ให้เสี่ยวเสวี่ยพกไว้กับตัวเป็นประจำ แล้วจะปกป้องเธอไม่ให้ธาตุหยินเย็นกำเริบขึ้นมาภายในหนึ่งปีได้!”
หลังจากเยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบยันต์ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ยันต์นี้เขาวาดขึ้นมาเมื่อวันที่เขาจะปิดผนึก ‘ประตูผี’ ของเรือนสี่ประสาน ตอนนั้นวาดสำเร็จไปสองใบ ใบหนึ่งนำไปใช้กับ ‘ประตูผี’ ที่เหลืออีกใบหนึ่งนั้นจึงได้นำมาใช้ ประโยชน์ในกรณีนี้