ที่สำคัญคือ นับแต่ราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ในราชสำนักหมอดูฮวงจุ้ยมีสถานะสูงส่ง ถึงแม้ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่มีสถานะสันโดษ ได้รับความเคารพจากกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด
จนมาถึงราชวงศ์ชิง จากสาเหตุที่ราชสำนักถูกกดดัน ชีวิตของหมอดูฮวงจุ้ยทั้งหลายจึงไม่สุขสบายเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าในกลุ่มชาวบ้าน ยังคงมีผู้คนไม่น้อยเชื่อถือในทฤษฎีฮวงจุ้ย แม้ไม่พูดถึงความหรูหราร่ำรวย ใช้ชีวิตปานกลางก็นับว่า ไม่เป็นปัญหา
แต่พอถึงช่วงปลายราชวงศ์ชิงการปรากฎตัวและเฟื่องฟูของสำนักเจียงเซียงกลับกลายเป็นสำนักหมอดูพยากรณ์ฮวงจุ้ยในสายตาของผู้คน
ด้วยเหตุที่คนในสำนักเจียงเซียงพยายามกอบโกย โดยเล่นเล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบ ทำให้หมอดูฮวงจุ้ยที่แท้โดน หางเลข ถูกผู้คนก่นด่าไล่ตีราวหนูสกปรกบนถนนตามไปด้วย
ในฐานะผู้สืบทอดสายเลือดของสำนักเสื้อป่าน นักพรตเต๋าต่างชิงชังพวกเขาเข้ากระดูกดำ แต่ด้วยพลังอันน้อยนิด ของเขาเพียงลำพัง กลับไม่สามารถต้านทานการกวาดล้างสำนักเจียงเซียงทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ได้
หลี่ซั่นหยวนเคยกล่าวกับหยวนซู่ซันหมอดูทำนายดวงชะตาด้วยประโยคนี้ สำนักเจียงเซียงไม่สิ้นศาสตร์ลึกลับ ฮวงจุ้ยจะไม่มีวันได้โงหัว สามารถเห็นได้ว่านักพรตเต๋ารังเกียจพวกเขาอย่างที่สุด
หลี่ซั่นหยวนไม่เพียงพูดปากเปล่า แต่เขายังลงมือกระทำไปไม่น้อย ในอดีตบุกเข้ากลางเสฉวนโดยลำพัง ถอนราก ถอนโคนสำนักเจียงเซียงในเสฉวน ฉินไป่ฉวนที่หลัวจื้อพูดถึง ความจริงเป็นปลาที่เล็ดรอดหลุดจากแหไปได้ในครั้งนั้น แต่ว่า ผู้นำของฉินไป่ฉวนได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลี่ซั่นหยวน
ได้ยินเรื่องต่ำทรามของสำนักเจียงเซียงจากปากของนักพรตเต๋ามาตั้งแต่เด็ก หากเยี่ยเทียนสามารถเข้าหน้ากับหลัว จื้อได้สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก? ถ้าไม่ใช่เพราะปัจจุบันการฆ่าคนเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เยี่ยเทียนอาจจะทำตามกฎที่นักพรตเต๋า ตั้งขึ้น ใช้เลือดเนื้อทำลายการมีอยู่ของคนในสำนักเจียงเซียง
“มิกล้า มิกล้า ขอถามท่านเยี่ย ในวงการมีรหัสนามว่าอะไร? สหายหงเหมินล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราก็คือ กคลื่นวารีโถมใส่อารามมังกร ครอบครัวเดียวแต่ไม่รู้จักกัน……”
แม้เยี่ยเทียนจะมีท่าทีรังเกียจ แต่หลัวจื้อกลับโอนอ่อนผ่อนตาม ถึงขั้นใช้คำว่าท่าน เขาในตอนนี้ยังหาภาพลักษณ์ ของอาจารย์จากไหนได้? ท่าทีนอบน้อมราวกับเป็นรุ่นน้องของเยี่ยเทียนก็ไม่ปาน
“หลัว…อาจารย์หลัว นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ใช่ว่าคุณชายเกาไม่เข้าใจ ความจริงคือโลกนี้เปลี่ยนไปรวดเร็วเกิน ช่วงเวลาก่อนหน้าหลังไม่กี่นาที ภาพลักษณ์อาจารย์หลัวผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานในความคิดเขากลับพังครืนล่มสลายลงแล้ว
ได้เห็นท่าทีของอาจารย์หลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนแล้ว ในใจของเกาเฉียนจิ้นก็กระจ่างขึ้นมา ที่แท้ “อาจารย์เยี่ย” ที่เขาพามา เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าอาจารย์หลัว
คิดถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่แล้ว ในใจของคุณชายเกาเกิดสับสนขึ้นมาทันที ตัวเองจุดธูปไหว้พระไปทั่วทุกทิศ กลับคาดไม่ถึงว่าพระที่แท้อยู่ตรงหน้าทว่าไม่รู้ตัว
ไม่เพียงแต่คุณชายเกา แต่ละคนที่อยู่ภายในห้องต่างรู้สึกว่าภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเรื่องพิสดารพันลึก โดยเฉพาะหญิงสาวที่ถังเหวินหย่วนพามานั้น ถึงกับอ้าปากค้าง เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
ควรทราบว่า เธอได้รับรู้จากปากคำของปู่ว่า อาจารย์หลัวท่านนี้เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ปัจจุบันและโบราณ เรียกได้ว่า เป็นเทพเซียนในร่างมนุษย์ แต่เทพเซียนกลับกลายเป็นคนธรรมดาอย่างฉับพลัน ความผิดหวังในใจนั้น จึงใหญ่หลวงไม่น้อย
“ท่านหลัว ยังต้องการให้พวกเราออกไปหรือไม่ครับ?”
ต้องบอกว่าคนพวกนี้ที่อยู่ภายในห้อง อีกทั้งถังเหวินหย่วนพอจะฟังออกเป็นบางส่วน เขามาจากสมาคมโบราณ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจรหัสลับในยุทธภพพวกนี้ แต่กลับเดาความหมายส่วนใหญ่ได้
อีกทั้งถังเหวินหย่วนเองก็เข้าใจกฎเกณฑ์ดี บทสนทนารหัสลับยามพบหน้า ของผู้อยู่เส้นทางเดียวกันในยุทธภพนั้น ไม่อยากให้คนนอกฟังความหมายออก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยถามหลัวจื้อสักประโยค
“คุณถัง เสียมารยาทแล้ว……”
พอได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วน หลัวจื้อจึงแสดงปฏิกิริยา ที่แท้ในห้องนี้ยังมีคนอยู่มาก ดึงหน้าขรึมในฉับพลัน เอ่ยปากกับคุณชายเกาและคนอื่นๆ ” พวกเธอออกไปก่อน ฉันกับท่านเยี่ยเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องส่วนตัวต้องคุย กันเล็กน้อย…”
ตามกฎของสำนักเจียงเซียงจะแสดงท่าทีอย่างนี้กับผู้ถือเงินไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าหลัวจื้อถูกความสามารถของเยี่ย เทียน และคำพูดเหล่านั้นเมื่อครู่ทำให้จิตใจไม่สงบนิ่ง จึงไม่สามารถใส่ใจได้ถึงขั้นนั้น
“ช่างเถอะ ไม่ต้องออกไปหรอก…”
เยี่ยเทียนรู้สึกเยือกเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ต่อให้สังหารคนในสำนักเจียงเซียงพวกนี้จนหมดสิ้นแล้วได้อะไรขึ้นมา? ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังรากลงลึกพวกนั้นในสายตาของผู้คนหลายสิบปีที่ผ่านมาได้อยู่ดี
ถ้าหากอยากให้หมอดูฮวงจุ้ยเป็นที่ยอมรับในสังคมหลักอย่างน้อยในตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นภารกิจอันยากลำบาก ที่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้
พอคิดถึงความปรารถนาสุดท้ายของท่านอาจารย์ ใจเยี่ยเทียนก็อดขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้ มองยังหลัวจื้อปิ่งแล้วกล่าวว่า “ต่างหนทางต่างกฎเกณฑ์ คุณดำเนินชีวิตล้ำขอบเขต พูดออกมาเองเถอะว่าต้องจัดการอย่างไร?”
“ท่านเยี่ย ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจ สหายหงเหมินครอบครัวเดียวกัน ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงกฎในสำนักเจียงเซียง หลัวจื้อปิ่งก็หนาวสั่นขึ้นมาทั้งตัวไม่หยุด ในอดีตเขาเคยได้ยิน ท่านอาจารย์พูด ว่าหากหาเงินเกินขอบเขตไร้เหตุผล เมื่อถูกจับสามารถถูกสังหารได้ในทันที
ในสายตาของหลัวจื้อปิ่ง เยี่ยเทียนนั้นคืออาจารย์ในเขตเมืองปักกิ่งเ ขามาถึงแล้วไม่ให้ความเคารพ อีกทั้งกลับสร้าง ความลำบากให้ เยี่ยเทียนอยากจะกดเขาจมลงในแม่น้ำ หลัวจื้อปิ่งก็ยังไม่อาจตอบโต้ได้
ดังนั้นหลัวจื้อปิ่งจึงยึดกฎสำนักหงเหมินไม่ยอมปล่อย และไม่พูดถึงเรื่องภายในสำนักเจียงเซียง ด้วยอยากให้เยี่ย เทียนเห็นแก่สถานภาพของสำนักหงเหมิน ละเว้นให้เขาสักครั้ง
หากไม่ใช่เพราะเวลานี้ภายในห้องมีคนอื่นอยู่ หลัวจื้อปิ่งคงจะคุกเข่าให้กับเยี่ยเทียนไปนานแล้ว กรีนการ์ดที่เขาถือ อยู่ไม่ใช่ของปลอม แต่ว่านั่นจะมีประโยชน์อะไร? ในสายตาของคนสำนักเดียวกัน เมื่อทำผิดกฎ ก็ต้องถูกแทงหกรูด้วยสามมีด
“คุณเอาสำนักหงเหมินมาอ้างผมเหรอ?”
เยี่ยเทียนแค่นยิ้มเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “บุปผาแดงใบไม้เขียวรากบัวขาว สามลัทธิเดิมคือหนึ่งสำนัก ประโยคนี้คุณเคย ได้ยินหรือเปล่า?”
พอได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยเทียน หลัวจื้อปิ่งก็ลนลานยิ้มออก กล่าวว่า “ท่านเยี่ย ผมต้องรู้จักอยู่แล้ว ท่านคือบุปผาแดง หรือใบไม้เขียวกันล่ะ? ในอดีตผมคือคนของใบไม้เขียว จากนั้นจึงโยกย้ายมากลุ่มบุปผาแดง…”
บุปผาแดงใบไม้เขียวรากบัวขาวที่เยี่ยเทียนพูดถึงนั้น ความจริงหมายถึงหงเหมิน ชิงปัง และลัทธิบัวขาว สามองค์กร ที่ต้านชิงฟื้นหมิงสมัยราชวงศ์ชิง และคำตอบของหลัวจื้อปิ่งก็คือเดิมเขาเป็นคนของชิงปัง ภายหลังถึงได้เข้าสู่หงเหมิน
ในสมัยราชวงศ์ชิง ชิงปังช่วงแรกสุดกับหงเหมินนั้นค่อนข้างไม่ถูกกัน มีคำโบราณกล่าวว่า “จากชิงไปหงห่มผ้าแดง เฉลิมฉลอง จากหงไปชิงถูกแล่เนื้อเถือหนัง”
หลัวจื้อปิ่งนั้นย้ายจากชิงไปหง หากในทางกลับกัน เกรงว่าเขาจะไม่กล้าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้
“เป็นคนของชิงปังเรอะ? งั้นก็ดี ผมถามคุณหน่อย หยวน หมิง ซิ่ง หลี่ ต้า ทง อู้ เจวี๋ย คุณคือตัวอักษรไหน?”
“ผม…ผมไม่ใช่ตัวไหนทั้งนั้น ผม…ผมคืออักษรเป่าในยี่สิบสี่รุ่นหลัง ปู่เยี่ย ท่าน….ท่านมีตัวอักษรไหนในนั้นหรือ?”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของหลัวจื้อปิ่งเผยให้เห็นสีหน้าอันเหนือความคาดหมาย กระทั่งถังเหวินหย่วน ที่อยู่ด้านข้างยังตกตะลึงพูดไม่ออก เขาเองก็ไม่นึกว่าอักษรรุ่นที่เยี่ยเทียนเอ่ยปากออกมา กลับกลายเป็นอักษรพวกนี้
ตัวอักษรเหล่านั้นที่เยี่ยเทียนพูดถึง คือลำดับรุ่นท้ายสุดจากยี่สิบสี่รุ่นแรกของชิงปัง แต่อย่าได้ดูถูกลำดับรุ่นพวกนี้เชียว ในโลกยุคปัจจุบัน เกรงว่านอกจากเยี่ยเทียน คนในลำดับรุ่นก่อนหน้าล้วนตายจากไปหมดแล้ว
ที่สำคัญคือ ตู้เย่วเซิง หัวหน้าชิงปังในอดีต คืออักษร “อู้” ในลำดับรุ่นเหล่านี้เท่านั้น
ในยุคนั้นของตู้เย่วเซิง คนในอักษร “หลี่” ต่างล้มหายตายกันไปหมดแล้ว อักษร “ต้า” ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือหยวนเค่อติ้ง ลูกชายของหยวนซื่อไข่
อาจพูดได้ว่า ใครก็ตามที่มีอักษรดังที่ว่ามาเหล่านั้น ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน ก็จะต้องเป็นบุคคลระดับ บรรพบุรุษชิงปังอย่างแน่นอน ขั้นที่ว่าหากไปถึงสำนักจื้อกงถังที่อเมริกา จะต้องได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
ส่วนการใช้อักษรรุ่นในปัจจุบันของชิงปัง จะถูกเรียกว่ายี่สิบสี่รุ่นหลัง หรือยี่สิบสี่รุ่นต่อมา แต่ละรุ่นมียี่สิบห้าตัวอักษร ที่หลัวจื้อปิ่งมีคืออักษร “เป่า” ในยี่สิบสี่รุ่นหลัง นับคำนวณดูแล้วก็ไม่ต่ำเลย
“อาจารย์ของผมอักษรรุ่นหลี่ คุณว่าผมรุ่นอะไรล่ะ?”
น้ำเสียงของเยี่ยเทียนอ่อนลงมาก แม้ว่าเขาจะสืบทอดจีวรและบาตรจากนักพรตเต๋า แต่อักษรรุ่นของตัวเองนั้นไม่ สามารถล่วงรู้ได้
เมื่อเห็นว่าหลัวจื้อปิ่งสนใจในลำดับรุ่นของชิงปังอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงผ่อนผันให้กับเจตนาร้ายของเขาลงมาก
“เป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่อักษรรุ่นหลี่เลย ตอนนี้กระทั่งคนอักษรรุ่นเจวี๋ยก็ไม่เหลือแล้ว เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…” พอ เยี่ยเทียนพูดออกมาแล้ว หลัวจื้อปิ่งยังไม่ทันได้ตอบ ถังเหวินหย่วนกลับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
“เหรอครับ? ท่านผู้เฒ่า ท่านเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” เยี่ยเทียนมองยังถังเหวินหย่วนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“ล้วนเป็นพรรคพวกเดียวกันทั้งนั้น ฉันเองก็ไม่กลัวที่จะพูดแล้ว ฉันเองเมื่อในอดีตก็เป็นคนในชิงปังเหมือนกัน เป็น อักษร รุ่นเซี่ยงในยี่สิบสี่รุ่นหลัง ทั้งยังเคยรับหน้าที่ดูแลพงศาวลีชิงปัง เยี่ยเทียน คนอักษรรุ่นหลี่ ตายจากกันไปหมดแล้ว…”
คำพูดของถังเหวินหย่วนทำให้คนที่อยู่ในห้องราวกับฟังคำกล่าวขานจากฟ้า กระทั่งหลานสาวของเขาเองยังไม่เคย นึกว่า ที่แท้ปู่ของตัวเองเมื่อก่อนเคยเป็นคนในสำนักไปด้วย?
ความจริงที่ฮ่องกงก่อนสงครามปลดแอก สาวกชิงปังจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ขยับขยายจำนวนสาวกเพิ่มขึ้นไม่ น้อย ซึ่งบรรพบุรุษก็คือองค์กรชิงปัง เหมือนสมาคมซันเหอในปัจจุบัน ถังเหวินหย่วนเคยอยู่ในประวัติศาสตร์เหล่านั้น แต่ก็ไม่มี ความหมายอะไรมาก
“อาจารย์ของผมยังไม่ตาย เพียงแต่พวกคุณไม่รู้เท่านั้น ท่านผู้เฒ่าลองกลับไปตรวจสอบดูว่า ในอักษรรุ่นหลี่มีคนชื่อ หลี่ซั่นหยวนหรือเปล่า เขามีชีวิตอยู่จนกระทั่งหนึ่งร้อยสามสิบปี…”
คำพูดของเยี่ยเทียนนี้สงบนิ่งมาก เขาเองก็ไม่กลัวถังเหวินหย่วนไปตรวจค้น เพราะว่านักพรตเต๋าหลี่ซั่นหยวน รุ่นอัก ษรหลี่นั้นเป็นคนใหญ่คนโตในชิงปังโดยแท้จริง เพียงแต่ภายหลังเขาท่องเที่ยวไปในยุทธภพ ไม่ได้ยินข่าวคราวนาน จึงทำให้คน ภายในชิงปังเข้าใจว่าตายจากไปนานแล้ว
ปัจจุบันเยี่ยเทียนสืบทอดจีวรและบาตรจากหลี่ซั่นหยวน ตามตรรกะแล้วก็คือบรรพบุรุษอักษรรุ่นต้าของชิงปัง เรื่องนี้ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“หลี่ซั่นหยวน? ชื่อนี้เหมือนจะคุ้นๆ นะ นั่น…นั่นคือผู้เฒ่าที่เข้ามายังชิงปังเมื่อก่อนปี1900 ใช่ไหม?”
ถังเหวินหย่วนพึมพำชื่อของหลี่ซั่นหยวนสองสามรอบ ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย ระลึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาได้
ที่สำคัญ บุคคลในชิงปังก่อนอักษรรุ่นต้านั้นมีไม่มาก เหมือนกับว่าทุกคนล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จักกว้าง ขวางกันในยุทธภพ แม้หลี่ซั่นหยวนจะปิดบังตัวตนในยุทธภพมานาน แต่ชื่อของเขากลับยังหลงเหลืออยู่ในพงศาวลีของชิงปัง