“คนนั้นชื่อหลัวจื้อ เป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควรในแวดวงชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ ท่านผู้เฒ่าถังเป็นคนแนะนำให้ฉันรู้จักกับเขา……”
ตอนที่เกาเฉียนจิ้นพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าแสดงออกไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นเพทางบ้านหรือประสบการณ์การเรียนต่อประต่างเทศของเขา ทำให้มีความสงสัยในใจว่าความเชื่อเรื่องวิชาดูดวงชะตาเป็นความเชื่องมงายจากยุคระบอบศักดินา
เยี่ยเทียนคิดแล้วคิดอีก ส่ายหน้าไปมาพูดว่า “หลัวจื้อ? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย พี่เกา ถ้าเขามาพี่ช่วยพาฉันรู้จักกับผมหน่อยนะครับ……”
แม้ว่าเยี่ยเทียนอายุเพียงเท่านี้ แต่เขาก็ติดตามอาจารย์ล่องเหนือลงใต้ สถานที่ที่เคยไปมามีไม่น้อยทีเดียว บวกกับนักพรตเต๋าผ่านช่วงเวลาสมัยปลายราชวงศ์ชิงจนถึงยุคสาธารณรัฐจีนมาหลายยุคสมัย ผู้มีชื่อเสียงเก่งกาจด้านวิชาในยุทธภพนั้น อาจารย์ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ถึงแม้คนพวกนั้นในช่วงก่อตั้งสาธารณรัฐจะหนีไปอยู่ต่างประเทศกันหมด แต่เยี่ยเทียนยังพอได้ยินชื่ออยู่บ้าง แต่ชื่อที่เกาเฉียนจิ้นเอ่ยถึงนั้นเยี่ยเทียนกลับไม่คุ้นเลย
หลังจากได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับเกาเฉียนจิ้น เหลยอู้พูดแทรกขึ้นมาว่า “เฉียนจิ้น อยากดูลายมือ ทำไมต้องไปหาคนนอกล่ะ? หาเยี่ยเทียนก็ได้ ฉันรับรองว่าคนที่ชื่อหลัวจื้อนั่น สู้เขาไม่ได้แน่นอน……”
เหลยอู้มีชีวิตอยู่มาสี่สิบกว่าปี สิ่งที่พบสิ่งที่ได้ยินนั้นมีมากมาย เมื่อก่อนก็มีอาจารย์ดูลายมือเก่งๆ เคยช่วยชี้แนะเขา แต่อย่างไรก็ไม่น่าพิสดารใจเท่าการคลายจุดเถาฮวาที่เยี่ยเทียนเคยช่วยเขาครั้งนั้น
ถ้าจะพูดถึงวิชาทำนายดวงเมื่อก่อนเถ้าแก่เหลยก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลังจากผ่านพ้นเรื่องนี้ เขาจึงเริ่มยำเกรงฟ้าดิน เวลาทำอะไรจะไม่โอ้อวดเหมือนแต่ก่อน
คำพูดพวกนี้ของเหลยอู้ทำให้ท่านประธานหลิวที่อยู่อีกฝั่งเห็นด้วยและพูดว่า “ใช่ คุณชายเกา ถ้าจะพูดถึงการดูลายมือป้องกันภัยละก็ ผมมั่นใจแค่ปรมาจารย์เยี่ยคนเดียวเท่านั้น……”
“ไงน้องเยี่ย ช่วยฉันดูหน่อยได้ไหม?”
หลังจากเห็นเหลยอู้กับหลิวต้าจื้อต่างก็แนะนำเยี่ยเทียน และยังมีอีกหลายคนที่มีท่าทีเคารพ เกาเฉียนจิ้นก็พอมองออกแล้วว่าหนุ่มสีผมแปลกประหลาดคนนี้มีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ
ต้องเข้าใจด้วยว่า เหลยอู้และคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในปักกิ่งถิ่นชาววังนั้นเป็นคนที่มีหน้ามีตา ตอนปกติไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหยิ่งยะโส แต่พวกเขาก็ไม่ใช่บุคคลที่คนทั่วไปจะเข้าหาได้เช่นกัน เวลานี้พวกเขากลับรู้สึกเคารพในตัวของคนหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวแน่
“พี่เกา ทุกวงการล้วนมีกฎอยู่ภายใน พี่รอให้คุณหลัวดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวปฏิเสธคำขอให้ดูลายมือของเกาเฉียนจิ้น หันหน้าไปที่เหลยอู้และคนอื่นๆ พูดว่า “พวกคุณทั้งสองอย่ายกยอผมอีกเลย คำพูดพวกนี้อย่าพูดไปเรื่อย ไม่อย่างนั้นแพร่กระจายออกไปจะมีปัญหาได้……”
วิชาในยุทธภพกับชุดงามม้าแกร่งในยุทธภพล้วนเหมือนกัน พวกเขาไม่โอ้อวดความสามารถทั้งด้านตำราและการต่อสู้ เพราะไม่มีใครยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองสืบทอดมานั้นด้อยกว่าของคนอื่น
หากสมมุติหลัวจื้อคนนั้นเป็นคนมีความสามารถจริง คำพูดของเหลยอู้กับหลิวต้าจื้อเมื่อครู่คงทำให้เขาโกรธไปแล้ว ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามใจแคบสักนิด ไม่แน่อาจฝังภัยร้ายไว้กับตัวพวกเขา
อีกทั้งช่วงก่อนยุคปลดแอก คนที่เก่งกาจในวิชานั้นจะได้รับความเคารพจากคนสายเดียวกัน นิสัยเช่นนั้นคงจะไม่รักสันตินัก หากฝ่ายตรงข้ามฝังใจกับเถ้าแก่เหลยและหลิวต้าจื้อ คงจะใช้วิชาบางอย่าง ทำให้สองคนนั้นแม้ไม่ตายแต่ก็ถลอกปอกเปิก
“ปรมาจารย์เยี่ย ยังไงผมก็เชื่อคุณคนเดียว พระที่มาจากที่อื่นก็คงอ่านคัมภีร์ไม่ได้หรอก!” หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด หลิวต้าจื้อก็พูดทีเล่นทีจริงออกมา ไม่ว่าจะคำไหนก็เต็มไปด้วยความชื่นชมเคารพ
“ท่านประธานหลิว คุณก็พูดเกินไป……”
เยี่ยเทียนยิ้มและโบกไม้โบกมือ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เคยเจอคนเก่งกาจอย่างแท้จริงในประเทศ แต่เขาก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวดและไม่คิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง
เช่นเดียวกับยุคสาธารณรัฐมีหยวนซู่ซานกับเว่ยเชียนหลี่ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น “ใต้หยวนเหนือเว่ย” กระทั่งหลี่ซั่นหยวนกับเยี่ยเทียนเวลากล่าวถึงพวกเขาก็ต้องให้ความเคารพเช่นเดียวกัน พวกเขาได้รับคำล่ำลือว่ามีวิชาที่โดดเก่นกว่าใคร
แม้ว่าเขาทั้งสองจะเสียชีวิตลงแล้ว แต่คนรุ่นหลังก็มีลูกหลานกำเนิดขึ้นมากมาย แล้วทำไมจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรากฎตัวสักคนสองคนล่ะ เยี่ยเทียนเพียงคิดว่าตัวเขายังไม่เคยพบเท่านั้น
“ได้ เราไม่คุยประเด็นนี้กัน จริงสิ วันนี้อ้วนฉีเป็นอะไรหรือ? เหมือนผีเข้าเลย เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินว่าเขามีนิสัยแบบนี้นี่?”
เว่ยหงจวินตั้งแต่รู้จักกับเยี่ยเทียน ก็พอจะทำความเข้าใจกับสายอาชีพนี้อย่างละเอียดมาบ้างแล้ว รู้ว่าเยี่ยเทียนเข้มงวดห้ามเรื่องอะไรบ้าง เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่อยากพูดอะไรมาก จึงหัวเราะเปลี่ยนประเด็นไปพูดอย่างอื่นแทน
“อาการผิดปกติทางสมองกำเริบหรือเปล่า?” หลิวต้าจื้อพูดอย่างสงสัย ตอนเขาไปถึงเหตุการณ์ก็จบลงแล้ว เห็นเพียงฉีอี้ถูกกดลงไปที่พื้น
อีกหลายคนที่นั่งอยู่กับพื้นเมื่อได้ยินเว่ยหงจวินพูดถึงเรื่องนี้ ต่างก็หลุดหัวเราะออกมา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกของรองประธานสถานีตอนถูกดึงกางเกงออก พวกผู้หญิงหน้าแดงกันไปหมด
พอคุยถึงเรื่องนี้ เว่ยหงจวินก็ตื่นตัวขึ้นมา ส่ายหัวและพูดว่า ” ไม่เหมือนโรคความผิดปกติทางสมอง แต่เหมือนคนถูกผีเข้ามากกว่า เหล่าหลิว คุณคงไม่ได้ยิน ตอนนั้นปากของอ้วนฉียังร้องเป็นภาษาด้วย คนมีอาการผิดปกติทางสมองจะพูดรู้เรื่องได้ยังไง……”
“นั่นสิ หัวหน้าฉีทั้งตะโกนหาแม่ ทั้งตะโกนคำขวัญ เหมือนผีเข้ามากกว่า……”
หลงเสวี่ยเหลียนเห็นด้วยกับสิ่งที่เว่ยหงจวินพูด ตอนนั้นเธออยู่ตรงนั้นไม่ไกลมาก แม้แต่คำขวัญที่หัวหน้าฉีพูดออกมาว่า “กองกำลังต่อต้านทั้งหลายล้วนเป็นเสือกระดาษ” ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
หลังจากได้ยินคำพูดของหลงเสวี่ยเหลียน เหลยอู้ส่ายหัวไปมาและพูดว่า “ผีเข้า? เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เรื่องแบบนี้โดยปกติจะเกิดขึ้นที่บ้านนอก จุดรวมคนสถานที่แบบนั้นคึกคักจะตาย จะถูกของอาถรรพ์เข้าตัวได้ยังไง?”
ตอนที่เหลยอู้อายุสิบกว่าขวบได้รับผลกระทบจากครอบครัว จำเป็นต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอกกว่าห้าหกปี ช่วงเวลานั้นเขาก็เคยเจอเรื่องผีมาไม่น้อย ล้วนแต่เกิดเรื่องขึ้นในแถบคนอาศัยอยู่บางเบาทั้งนั้น
“บางทีผีที่เข้าสิงอาจเป็นผีของอาจารย์ผู้มีวิชาแก่กล้าหรือเปล่า……” หลงเสวี่ยเหลียนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“แค่ก……แค่กๆ……”
หลงเสวี่ยเหลียนพูดยังไม่ทันจบคำ เยี่ยเทียนที่กำลังเงยหน้าดื่มเหล้า ก็พ่นเหล้าที่อยู่ในปากออกมาเสียงดัง “พรวด” เขารีบใช้มือปิดปากและเริ่มสำลัก “พูดอะไรกันน่ะ? ลูกพี่กลายเป็นผีแก่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เยี่ยเทียน เป็นอะไรหรือเปล่า?” อวี๋ชิงหย่าเป็นห่วงและช่วยตบหลังให้กับเยี่ยเทียน “ใครเขาดื่มเหล้าแบบเธอกัน?”
“แค่กๆ ไม่เป็นไรๆ ฉันตกใจกับคำพูดของพี่เสี่ยเหลียนหน่ะ……” เยี่ยเทียนยิ้มไปเอากระดาษเช็ดปากไป ในใจก็ปลอบใจตัวเองและพูดว่า “ผีแก่ก็ผีแก่ ขอแค่ให้ฉีอ้วนมันซวย ก็ตามนั้นแหละ”
“ไม่น่าจะใช่ผีแก่หรอก เยี่ย…ปรมาจารย์เยี่ย……” ในเมื่อตอนนี้เกาเฉียนจิ้นรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว เหลยอู้จึงเรียก “ปรมาจารย์” ออกมา
“อย่าเลยท่านประธานเหลย เรียกผมว่าเยี่ยเทียนเถอะ ที่นี่ไม่มีปรมาจารย์หรอก”
เยี่ยเทียนพูดขัดคำของเหลยอู้ ตอนนี้ทุกคนสังสรรค์ด้วยกันอย่างเพื่อน เรียกปรมาจารย์กันคนละคำสองคำ เขาก็รู้สึกไม่ค่อยชินเหมือนกัน
“โอเค ผมเรียกคุณประธานเยี่ยแล้วกัน ไม่กี่เดือนก่อนคุณเคยพูดว่า คนที่ถูกทำของใส่หรือเจอเรื่องร้าย ล้วนแต่เกิดจากกระแสพลังพิฆาตเข้าสิง!”
หลังจากถูกเยี่ยเทียนคลายจุดเถาฮวาแล้ว เหลยอู้นับว่าได้เพิ่มความรู้ด้านนี้ขึ้นบ้างเล็กน้อย เวลาพูดถึงเรื่องอย่างนี้ก็จะพูดเป็นตุเป็นตะต่างจากเหตุการณ์จริงไปมาก
“ถ้าให้ผมพูด อ้วนฉีน่าจะไปทำอะไรใครบางคนเอาไว้ เลยถูกคนนั้นสั่งสอน……”
เหลยอู้ยิ่งพูดยิ่งสนุก แต่หลังจากเขาพูดประโยคก่อนหน้านี้ออกมา ก็อึ้งไปและมองเยี่ยเทียนอยู่อย่างนั้น
ดูเหมือนว่าฉีอ้วนจะไปทำอะไรไว้กับใครบางคนจริงๆ ตอนที่เริ่มเข้าสู่ช่วงประมูลเพื่อการบริจาค ฉีอ้วนทำตัวถากถางดูถูกเยี่ยเทียน นอกจากหลิวต้าจื้อกับเกาเฉียนจิ้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ได้ยินหมด
และที่สำคัญเยี่ยเทียนผู้ถูกฉีอ้วนดูหมิ่น ในสายตาของเหลยอู้ เยี่ยเทียนเป็นเหมือนจอมเวทย์ผู้ลึกลับ เพราะท่านประธานเหลยเคยเห็นเยี่ยเทียนวาดยันต์สำแดงวิชา พอนำมารวมกันในใจของเถ้าแก่เหลยจึงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้าง
ไม่เพียงแต่เหลยอู้เท่านั้น แม้แต่หลิวต้าจื้อกับเว่ยหงจวินก็เข้าใจไปตามกัน เวลามองไปที่เยี่ยเทียนก็เริ่มรู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมา การกระทำนั่นถ้าเป็นเยี่ยเทียนทำจริงๆ คนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็น่ากลัวมาก
“น้องเยี่ย อย่า……อย่าบอกนะ……ว่าเรื่องนี้น้องเป็นคนทำ?” พอเห็นพวกนั้นจ้องมองยังเยี่ยเทียน เกาเฉียนจิ้นเผลอทำตาโต มองแล้วมองอีกไปทางเยี่ยเทียน
“พี่เกา เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ? ฉันมีปัญญาทำแบบนั้นที่ไหน? พี่อย่าเยินยอฉันเลย……”
เยี่ยเทียนยิ้มแห้งพลางสะบัดมือ แต่ในใจกลับนับถือเหลยอู้มาก พี่คนนี้ช่างเก่งจริง ขนาดทำไปโดยไม่บอกล่วงหน้าก็ยังเดาออกจนได้
แต่ถึงแม้เยี่ยเทียนจะปฎิเสธไปแล้ว คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเวลาต่อมา ทุกคนต่างหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ แค่เห็นคนที่สามารถทำให้คนเป็นบ้าได้นั่งอยู่ข้างตัว เป็นใครใครก็ใจไม่ดีทั้งนั้น
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่อาจารย์ดูฮวงจุ้ยในทุกยุคทุกสมัยขาดแคลนสหาย แม้ว่าคนอื่นจะอยากขอเป็นเพื่อนกับพวกเขา แต่ในใจของพวกนั้นยังคงมีความยำเกรงอยู่ห่างๆ บางทีก็คล้องจองกับคำพูดที่ว่าอาภัพอับจนไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
เพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางงาน ในใจของทุกคนจึงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ปิ้งย่างกันจนถึงเวลาประมาณห้าทุ่มก็เริ่มแยกย้าย ตอนส่งเยี่ยเทียนออกจากประตู เกาเฉียนจิ้นได้ขอเบอร์ติดต่อทางบ้านของเยี่ยเทียนเอาไว้ นัดว่าจะพบกันในอาทิตย์หน้า
รู้สึกว่าเรื่องราวเมื่อสองเดือนก่อนก็ควรจะเงียบลงบ้างแล้ว เยี่ยเทียนไม่ไปที่อารามเมฆขาวอีกเลย แต่กลับตรงไปที่เรือนสี่ประสาน ส่วนอวี๋ชิงหย่าก็อยู่บ้านของเยี่ยเทียนต่อ
แน่นอนว่า ทั้งสองคนอยู่กันคนละห้อง คนหัวโบราณอย่างเยี่ยตงเหมยไม่มีทางยอมให้คนหนุ่มสาวอยู่ร่วมห้องกันก่อนแต่งงานเด็ดขาด
………………………………
เมื่อกลับมาอยู่ที่เรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็เริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่เคยเป็น ช่วงตีห้ากว่าในตอนเช้าวันต่อมา เขาได้ฝึกซ้อมวิชาลมปราณไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ออกไปข้างนอกเดินตามทางเลียบพระราชวัง
ตอนเช้าแปดโมงกว่า เยี่ยเทียนดื่มน้ำเต้าหู้และกินเสี่ยวหลงเปาไปบ้างเล็กน้อยที่ร้านข้างทาง กำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน ผ่านร้านขายมือถือโดยเฉพาะร้านหนึ่ง เยี่ยเทียนคิดอยู่สักครู่ก็ตรงเข้าไปที่ร้าน
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ชอบพกโทรศัพท์ไว้กับตัวเพราะรู้สึกเหมือนมีคนตามตลอดเวลา ราวกับถูกจับตามองอย่างไรอย่างนั้น แต่เพราะต้องใกล้ชิดกับสังคมมากขึ้นทุกวัน ไม่มีมือถือใช้จึงเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกจริงๆ