ซูจ้านนั่งอยู่ริมผนัง เขาหยิบบุหรี่หนึ่งซองจากกระเป๋าออกมา จากนั้นเขย่าบุหรี่ออกมาหนึ่งม้วนก่อนจะคาบไว้ในปาก ก่อนจะจุดบุหรี่อย่างคุ้นชิน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินยาเห็นเขาสูบบุหรี่
ซูจ้านไม่สูบบุหรี่มาโดยตลอด สิ่งนี้เธอรู้ดี
แต่ในตอนนี้ เขากลับหลบไปในสถานที่ที่ไม่มีผู้คนเพื่อสูบบุหรี่ เห็นได้ชัด ว่าตอนนี้จิตใจของเขานั้นว้าวุ่นแค่ไหน
มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ตัวเขาไม่สามารถมีลูกได้ และญาติคนสนิทเพียงคนเดียวของเขาก็เร่งให้เขาแต่งงานและมีลูก เขาคงรู้สึกทุกข์ใจมากๆ
ฉินยาไม่อยากจะเห็นเขาทุกข์ทรมานแบบนี้
เธอค่อยๆ หันหลังกลับเงียบๆ และก็ไม่ได้ขึ้นไปเยี่ยมท่านย่า เธอประเมินความปรารถนาของท่านย่าที่อยากจะมีหลานชายต่ำเกินไป
ตอนที่มาที่นี่เธอไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เธอแค่อยากมาเจอซูจ้าน และมาเยี่ยมท่านย่า และการที่เธอมาโดยไม่ได้วางแผนแบบนี้ มันทำให้เธอเห็นปัญหาระหว่างตัวเธอกับซูจ้านอย่างชัดเจน
ถ้าเกิดไม่มีลูกระหว่างพวกเธอจะไปต่อได้ไกลสักแค่ไหน
ไม่เอาซูจ้านก็ได้ แต่ถ้าไม่เอาคุณย่าของเขาคงเป็นไปไม่ได้
เธอนั่งอยู่บ่อดอกไม้ริมถนน จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์โทรไปหาซูจ้าน หลังจากโทรออกสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ทีเขาก็รับสาย
ฉินยาสามารถจินตนาการได้ ว่าที่เขารับโทรศัพท์ช้าเพราะเขากำลังทำอะไรอยู่
เขากำลังปรับสภาพอารมณ์ หรืออาจจะเป็นกำลังดับบุหรี่ในมือของเขาอยู่
“เสี่ยวยา”
เสียงของซูจ้านดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเห็นเองกับตาของเขานั้นแอบไปสูบบุหรี่เพื่อระบายอารมณ์ น้ำเสียงที่เธอได้ยินในสาย เธอคงจะต้องรู้สึกว่าเขากำลังอารมณ์ดีอยู่แน่ๆ
แต่ว่า เธอรู้ว่าอารมณ์ของซูจ้านในตอนนี้นั้นเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง
เขากำลังปกปิดสิ่งที่อยู่ในใจของเขากับเธอ
“ไม่ได้มีอะไร แค่อยากโทรหาคุณน่ะ” ฉินยาก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเอง “ซูจ้าน”
“หืม?”
ฉินยาอยากจะพูดมากๆ ว่าเราเลิกกันเถอะ
อย่าทรมานกันและกันอีกเลย
แต่เธอก็พูดไม่ออก
ที่จริงเธอสามารถรับรู้ได้ว่าซูจ้านยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอ
เธอเองก็เหมือนกัน
“ทำไมไม่พูดอะไรล่ะ? คิดถึงผมอยู่เหรอ?”
น้ำเสียงของซูจ้านดังขึ้น ทำให้ดึงสติของฉินยาที่ฟุ้งซ่านกลับมา เธอพูดว่า “ไม่รู้จะพูดอะไรดี”
ฉินยาลุกขึ้น จากนั้นก็เอาช่อดอกไม้ที่ซื้อมาทิ้งลงในถังขยะข้างทาง “ฉันยังต้องทำงาน ต้องวางสายแล้ว…”
“อย่าเพิ่งวาง”
ซูจ้านรีบห้ามเธออย่างร้อนรน เพราะกลัวว่าเธอจะวางสาย
ฉินยาถาม “มีอะไรเหรอ?”
“คุณโทรหาผมแต่คุณไม่คิดจะพูดว่าคิดถึงผมเลยนะ และคุณก็จะวางสายไปเลย นี่มันเกินไปหรือเปล่า?”
ฉินยาโบกรถแท็กซี่ก่อนจะขึ้นไป และเธอก็พูดว่า “ซูจ้าน คุณอย่าทำตัวเด็กน้อยแบบนี้ได้ไหม”
“ผมทำตัวเด็กน้อยเหรอ?” น้ำเสียงของซูจ้านดังขึ้น ยังไม่ทันรอให้ฉินยาตอบ เขาก็พูดอีกว่า “ผมชอบทำตัวเด็กน้อย และผมก็จะทำตัวเด็กน้อยแค่กับคุณคนเดียว”
ฉินยากำโทรศัพท์ไว้แน่น จิตใจของเธอเหมือนโดนบางสิ่งบางอย่างแทงเข้าไป
คนขับรถแท็กซี่ถามว่า “คุณหญิง คุณจะไปที่ไหนครับ?”
“เสี่ยวยา คุณอยู่ที่ไหน?”
“ฉันกำลังนั่งอยู่บนรถข้างนอก”
ซูจ้านรู้สึกสงสัย “เมื่อกี้คุณพูดว่าจะไปทำงานไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไปนั่งบนรถได้?”
“ฉันกำลังออกไปพบกับลูกค้า ซูจ้าน ฉันยังมีงานต้องไปทำวางสายก่อนนะ”
“อืม คุณไปยุ่งเถอะ เสี่ยวยาถึงคุณจะไม่คิดถึงผม แต่ผมคิดถึงคุณนะ ดูแลตัวเองดีๆ สองสามวันนี้รอให้ท่านย่าออกจากโรงพยาบาลก่อน ผมจะไปหาคุณทันที”
“อืม” ฉินยาตอบรับเสียงต่ำ “ฉันวางสายก่อนนะ”
หลังจากพูดจบเธอก็วางสายทันที
เธอรู้สึกว่าตอนนี้หัวใจของเธอเหมือนโดนบางสิ่งบางอย่างรัดเอาไว้ มันรู้สึกทรมานจนหายใจไม่ออก
เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจ็บปวดหัวใจ หรือกำลังเจ็บปวดตำแหน่งไหน ก็คือเธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลำคอเกร็งไปหมด จมูกก็รู้สึกคัน แล้วอยู่ดีๆ เธอก็อยากจะร้องไห้
เธอปิดปากและจมูกเอาไว้ และสะอึกสะอื้นอยู่ในฝ่ามือ
คนขับรถที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะขับไปที่ไหนดี เค้าก็เลยถามด้วยเสียงเบาๆ อีกครั้ง “คุณหญิง คุณจะไปที่ไหนครับ?”
ฉินยาเพิ่งจะได้สติรู้ว่าตัวเองนั่งอยู่บนรถ เธอรีบสูดจมูก และบอกที่อยู่ของบ้านพักออกไป
ในเมื่อมาแล้ว เธอก็ควรไปเยี่ยมเด็กน้อยสองคนแล้วก็หลินซินเหยียนด้วย
คนขับรถออกรถ ก่อนจะถามว่า “คุณอกหักมาเหรอ?”
ฉินยารีบเก็บอารมณ์ความรู้สึก ก่อนจะถามว่า “คุณว่าฉันเหมือนคนอกหักตรงไหนเหรอ?”
คนขับรถหัวเราะ “คุณสวยมากเลยนะ ไม่แน่ใจว่าช่วงนี้เขากำลังฮิตเรื่องการทำศัลยกรรมหรือเปล่า ใบหน้าของคุณถึงได้ดูดีขนาดนี้”
“ทุกคนต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติน่ะ”
ฉินยาไม่ได้พูดอะไรอีก
ผ่านไปสักพักรถก็จอดลงตรงประตูบ้านพัก ฉินยาจ่ายเงินจากนั้นก็ลงจากรถ
คนขับรถมองจากนอกหน้าต่างไปดูอาคารที่ดูโดดเด่น ก่อนจะพูดพึมพำ “มีเงินไปศัลยกรรมจริงๆ ด้วย ถึงได้มีบ้านพักที่ดีขนาดนี้”
คนขับรถเก็บสายตาที่อิจฉาก่อนจะขับรถต่อไป
ฉินยาเดินไปหน้าบ้านก่อนจะกดกริ่ง ป้าหยูเป็นคนมาเปิดประตู และในบ้านก็มีแค่ป้าหยู ซางกยูไปโรงเรียน เด็กน้อยทั้งสองคนก็ไปเรียนหนังสือ ส่วนฉงฉีเฟิงและเฉินยู่เวินก็ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วพวกเขาไปที่ไหนกัน ป้าหยูเองก็ไม่รู้ อย่างไรพวกเขาก็คงไปรับลูกและกลับมาอย่างตรงเวลาแน่นอน
“คุณฉิน” ป้าหยูรีบหลีกทางให้เธอเข้ามา
ฉินยายิ้ม “ป้าหยูช่วงนี้สบายดีไหมคะ”
ป้าหยูก็ยิ้มและพูดว่า “ป้าก็เป็นแบบนี้แหละ เรื่องสุขภาพก็อย่างที่รู้ๆ กัน”
เมื่อเข้าไปในห้อง ป้าหยูก็ถามขึ้นมา “คุณอยากดื่มอะไรไหมคะ?”
ฉินยายิ้ม “น้ำเปล่าค่ะ”
ป้าหยูเทน้ำและยกมาให้เธอ ฉินยารับเอาไว้ เธอกำลังจากถามว่าหลินซินเหยียนอยู่บ้านไหม เธอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของป้าหยู “ครั้งนี้คุณนายไปต่างประเทศ 2 วันค่ะ ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไงบ้าง”
ฉินยาเงยหน้าขึ้นไปถามป้าหยู “ป้าว่ายังไงนะคะ?”
“ป้าบอกว่าคุณนายไปต่างประเทศค่ะ…คุณไม่รู้เหรอคะ?” ป้าหยูคิดว่าเธอรู้
หลินซินเหยียนไม่ได้โทรศัพท์มาหาฉินยาและบอกว่าจะไปต่างประเทศ ตอนนี้เธอไปต่างประเทศแล้ว ฉินยาคงต้องถามแน่ๆ ว่าเพราะอะไร
เธอเองก็ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินยาถามด้วยความกังวล เธอท้องโตขนาดนั้น ทำไมถึงได้ไปต่างประเทศตอนนี้?
“เหมือนจะเป็นเพราะเรื่องสุขภาพของคุณนายค่ะ ส่วนเรื่องรายละเอียดป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ป้าหยูพูด
ฉินยาหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะรีบโทรหาหลินซินเหยียนแต่ก็โทรไม่ติด เธอขมวดคิ้ว “ทำไมโทรไม่ติดนะ?”
“น่าจะเป็นเพราะอยู่ที่ต่างประเทศไหมคะ?” ป้าหยูพูดคาดการณ์
ฉินยาหยิบโทรศัพท์และรีบลุกขึ้น ก่อนที่เธอจะตัดสินใจไปหาเสิ่นเผยซวนเพื่อถามถึงเรื่องนี้
เธอไม่อยากให้ซูจ้านรู้ว่าเธอกลับมาแล้ว เธอจึงทำได้แค่ไปหาเสิ่นเผยซวน
ตกลงแล้วหลินซินเหยียนสุขภาพเป็นอะไรกันแน่ ถึงจำเป็นต้องไปต่างประเทศ? ก็อยากจะรู้มาก
เธอไปที่โถงทางเดินเพื่อเปิดประตู และในตอนนั้นก็มีคนกำลังจะเข้ามาพอดี
เมื่อเธอเห็นคนที่เข้ามา เธอก็ชะงักไป