บทที่ 47 เขินแล้ว
ท้ายที่สุด ลี่จุนถิงก็ปรึกษากับถวนจื่ออีกเล็กน้อย เลือกเฟ้นผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่นที่พวกเขาคิดว่ามีฝีมือโดดเด่นออกมา และทำสัญญากันที่สนามเลย
แม้จะไม่รู้ว่าคุณX ที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ แต่เมื่อเห็นเงื่อนไขที่คุ้มค่าขนาดนี้ ใครจะไม่สนใจหล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของถวนจื่อในวันนี้ทุกคนก็ต่างได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว เพราะครูฝึกจูลี่ไม่ได้เลือกถวนจื่อ นอกจากประหลาดใจแล้วทุกคนต่างเกิดความรู้สึกไม่พอใจในตัวเขา มาถึงตอนนี้มีที่ๆ ดีกว่าก็ยินดีที่จะไป
แม้ว่าทีมAYของครูฝึกจูลี่จะโด่งดังมาก และมีผลงานดี แต่เพราะเรื่องที่จูลี่ไม่เลือกถวนจื่อเมื่อครู่ ทำให้ทุกคนรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วจูลี่ก็ไม่นับว่าเป็นครูฝึกที่มีมาตรฐาน
แม้ว่าหากพูดถึงเรื่องการฝึกฝนแล้ว เขานับว่าเป็นโดดเด่นมากทีเดียว แต่เขากลับละทิ้งการคัดเรื่องความสามารถของทีม หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ทีมAY อย่างไรต้องมีจุดจบที่ไม่ดีเป็นแน่
“เจียงซิ่งหวีต่อไปนี้พวกเราก็จะได้เป็นทีมเดียวกันแล้ว ขอช่วยชี้แนะด้วย” ผู้เข้าร่วมทีมคนใหม่ต่างทยอยกันเดินมา ทักทายถวนจื่อ
เมื่อเห็นถวนจื่อได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแล้ว แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากชื่นชมในความสามารถของเขา แม้จะมีผู้เข้าแข่งขันอิจฉาเขาแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีกับถวนจื่อไปด้วย เรียกได้ว่าความสามารถของถวนจื่อต่างเป็นที่ยอมรับของคนจำนวนมาก
รอจนเมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างจนเสร็จสิ้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
“ไปเถอะ ไปกินข้าวกัน” ลี่จุนถิงเหลือบมองนาฬิกาแวบหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น
ได้ยินดังนั้น เจียงหยุนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้น นับว่าวันนี้ลี่จุนถิงทำเพื่อครอบครัวของเขามามากพอแล้ว ยังจะเลี้ยงข้าวพวกเข้าอีก จะไม่เป็นการรบกวนคนอื่นมากไปหรือ?
“เอ่อ… เรื่องกินข้าวไม่จำเป็นหรอก?เดี๋ยวฉันกับ ถวนจื่อกลับบ้านไปกินก็ได้” เจียงหยุนเอ๋อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงพยายามปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ลี่จุนถิงมองไปที่เขาแวบหนึ่ง ราวกับไม่ได้สนใจคำปฏิเสธของเธอ “ฉันหิวแล้ว อยากไปกินข้าวแล้ว ทำไมเหรอ?ฉันช่วยเยอะขนาดนี้แล้ว แค่ข้าวมื้อเดียวเลี้ยงไม่ได้เหรอ?”
“อ๋า?” เจียงหยุนเอ๋อเริ่มโบกมือลนลาน “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนี่”
เวลานั้น ถวนจื่อเป็นคนเริ่มจูงมือลี่จุนถิง มืออีกข้างก็ดึงมือเจียงหยุนเอ๋อเอาไว้ พลางเงยหน้าพูดกับเจียงหยุนเอ๋อ“คุณแม่ วันนี้ผมอยากกินข้าวกับคุณพ่อ”
เมื่อเห็นความตั้งใจของถวนจื่อ ใจเจียงหยุนเอ๋อก็อ่อนลงทันที เอ่ยตอบ “ได้เลย ถวนจื่ออยากได้อะไรก็เอาตามนั้นเลยจ้ะ”
เมื่อพวกเขาไปถึงร้านอาหาร เมื่อลี่จุนถิงได้เมนูอาหารก็ยื่นไปตรงหน้าถวนจื่อ พลางเอ่ยขึ้น “วันนี้เป็นวันฉลองที่ถวนจื่อได้รางวัลชนะเลิศ ถวนจื่ออยากกินอะไร สั่งได้เลยนะ”
ใบหน้าถวนจื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ยังเอ่ยด้วยความฉลาดเฉลียว “คุณแม่ คุณพ่อ อยากกินอะไรกันครับ?”
เจียงหยุนเอ๋อมองหน้าถวนจื่อ พลางเอ่ยด้วยความอ่อนโยน “ถวนจื่ออยากกินอะไร แม่ก็กินอันนั้นแหละ”
เมื่อกับข้าวมาพร้อมแล้ว แต่ละคนก็เริ่มกินพร้อมกัน
ลี่จุนถิงจู่ๆ ก็เอาขวดเหล้าจากที่ไหนไม่รู้มา แล้วรินให้ เจียงหยุนเอ๋อแก้วหนึ่ง ตอนแรกเจียงหยุนเอ๋อลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อคิดไปก็นับว่าวันนี้เป็นวันที่สมควรกับการเฉลิมฉลอง เธอก็ไม่คิดมากอะไรอีก ยกชนแก้วกับลี่จุนถิง
ในใจลี่จุนถิงแอบลอบยิ้ม ท่าทางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น ใบหน้าที่แข็งกระด้างมาโดยตลอด แม้แต่ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อม
“ถวนจื่อเธอคิดว่าครั้งนี้ชนะแล้ว ควรซื้อของขวัญอะไรให้คุณแม่ไหม?” มองไปยังถวนจื่อที่กำลังตั้งใจกินข้าวอยู่ เจียงหยุนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาขึ้นมา
ถวนจื่อมองไปยังเจียงหยุนเอ๋ออย่างไร้เดียงสา พลางเอ่ยขึ้น “แน่นอนครับ หยุนเอ๋ออยากได้ของขวัญอะไรดีครับ?”
“ไม่ต้องไม่ต้อง” เมื่อเห็นถวนจื่อคิดจริงจังกับคำพูดของตัวเองขึ้นมา เจียงหยุนเอ๋อก็รีบโบกมือปฏิเสธ “แม่แค่ล้อเล่นกับลูกเท่านั้นเอง”
ถวนจื่อเชิดปากขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา “คุณแม่ มีเงินรางวัลสองแสนเหรียญอยู่ สามารถรักษาคุณยายได้ไหมครับ?”
เมื่อเห็นถวนจื่อรู้เรื่องขนาดนี้ แม้ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยคุณยาย ทำให้เจียงหยุนเอ๋อพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา “ได้สิ ถวนจื่อเป็นเด็กดีขนาดนี้ คุณยายต้องอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน”
“อย่างนั้นก็ดีเลยครับ!” ถวนจื่อยิ้มออกมาด้วยความดีใจทันที “อาหารร้านนี้อร่อยจริงๆ คุณแม่ พวกเราซื้อไปให้คุณยายด้วยดีไหมครับ?”
เจียงหยุนเอ๋อส่ายศีรษะน้อยๆ “ถวนจื่อตอนนี้คุณยายยังกินอาหารอย่างนี้ไม่ได้ ลูกเองก็กินเยอะๆ นะ คนเก่ง”
ถวนจื่อพลันขบคิดด้วยความสงสัย “อาหารที่นี่อร่อยขนาดนี้ น่าเสียดายที่คุณยายกินไม่ได้ รอคุณยายหายป่วยแล้ว พวกเราพาคุณยายมากิน ดีไหมครับ?”
“ดีจ้ะ” เจียงหยุนเอ๋อรีบตอบตกลงทันที
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ลี่จุนถิงก็ไปส่งสองแม่ลูกเจียงหยุนเอ๋อและถวนจื่อ
“พวกเธอรีบไปกันเถอะ” ลี่จุนถิงเอ่ยกับเจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อพยักหน้าเบาๆ พลางจูงมือถวนจื่อเดินไปตามทางเดิน เมื่อเปิดประตูบ้านแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะเดินไปตรงหน้าต่าง มองไปเบื้องล่างเห็นรถจอดอยู่ครู่ใหญ่ จึงค่อยเคลื่อนตัวออกไป
“หยุนเอ๋อคุณแม่มองอะไรอยู่เหรอครับ?มองคุณพ่ออยู่ใช่ไหม?” ถวนจื่อจดจ้องมองมาด้วยตากลมโตคู่ใหญ่ เอ่ยถามด้วยความสงสัย ประกายตาฉายแววล้อเล่นซุกซน
เจียงหยุนเอ๋อรีบหันเหสายตาด้วยความเลิ่กลั่ก เอ่ยปากปฏิเสธทันที “ไม่ใช่นี่”
“หี่ๆๆ ใช่แน่ๆ หยุนเอ๋อเขินแล้วละสิ?” ถวนจื่อยังคงแกล้งต่อไป พลางหัวเราะขึ้นเสียงดัง
“เอาหล่ะ พอได้แล้ว!” เจียงหยุนเอ๋อเอ่ยขึ้นด้วยความขวยเขิน
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของเจียงหยุนเอ๋อก็ดังขึ้น ในสายขึ้นเป็นทางโรงพยาบาลโทรมา ในใจ เจียงหยุนเอ๋อพลันเกิดสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“เฮลโหล คุณหมอเหรอคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณแม่ดิฉันหรือคะ?” เจียงหยุนเอ๋อถามด้วยความรีบร้อน
เสียงของคุณหมอดังออกมาจากโทรศัพท์ “คืออย่างนี้ครับ คุณเจียง คุณนายเจียงไม่ทราบเป็นเพราะอะไร วันนี้ทำการฝังเข็มปกติ แต่ความดันกลับขึ้นสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการเฉียดอันตรายหลายครั้งครับ”
“อะไรนะ?” เจียงหยุนเอ๋อเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้
“เมื่อครู่ได้ส่งไปห้องไอซียู ตอนนี้สถานการณ์นิ่งขึ้นเล็กน้อยแล้วครับ แต่ว่า… สภาพการณ์แบบนี้นับว่าไม่ปกติเท่าไหร่ครับ เพราะอย่างนั้นผมหวังว่าคุณจะมาดูสถานการณ์ด้วยตัวเองนะครับ”
เจียงหยุนเอ๋อได้ยินดังนั้น รีบตอบตกลงทันที “ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อวางสายโทรศัพท์แล้ว เจียงหยุนเอ๋อเอ่ยกำชับถวนจื่อ “ถวนจื่อ คุณยายเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย แม่ต้องไปโรงพยาบาลก่อน ลูกอยู่บ้านเป็นเด็กดีนะ ถ้ามีคนมาเคาะประตู ห้ามเปิดออกเป็นอันขาด เข้าใจใช่ไหม?”
ขณะที่เจียงหยุนเอ๋อรีบรุดไปโรงพยาบาลนั่นเอง ซูม่านลีก็ตื่นขึ้น เจียงหยุนเอ๋อรีบวิ่งไปอยู่ข้างเตียง เอ่ยถามขึ้น “แม่ แม่เป็นอะไร?ทำไมถึงเกิดอาการอย่างนี้?”
ในตอนนั้นซูม่านลีดูซีดเซียวลงไปชัดเจน พลางนอนอยู่บนเตียงส่ายหน้าเบาๆ
น้ำตาเจียงหยุนเอ๋อกลั้นเอาไว้ไม่อยู่หยาดลงมา พลางยื่นมือออกไปแต่งผมให้กับซูม่านลี ในเวลานั้นเอง ซูม่านลีก็แย้มยิ้มขึ้น ค่อยๆ เผยอริมฝีปาก เอ่ยออกมาแต่ละคำ “เมื่อครู่… พ่อของลูกมา…”