บทที่ 201 ฐานะที่แท้จริงของคุณชายสามเย่ (1)
การที่เธอตั้งอกตั้งใจอธิบายขนาดนี้ก็เพื่อเอาใจใส่เขา เป็นเพราะเธอเป็นห่วงเขาจนลืมเสแสร้งเหรอ
“ยาขมมาก” เย่ซือเฉินหยิบยาขึ้นมา คิ้วขมวดเป็นปม เบะปากราวกับว่ายานั้นขมขึ้นมาหลายเท่า
เวินลั่วฉิงเบ้ปาก อายุเท่าไหร่เข้าไปแล้ว ยังบ่นว่ายาขมอยู่อีก ดัดจริตจริงเชียว
ทันใดนั้น เย่ซือเฉินก็เอนตัวมาพิงเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า : “เธอป้อนฉันสิ”
เวินลั่วฉิงอึ้งไปทันที ดวงตาเบิกโพลง มองไปที่เขาอย่างไม่น่าเชื่อ เขา เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ
ให้เธอป้อนเขาเหรอ แค่ยาเม็ดเดียวเนี่ยนะ เขาอยากให้เธอป้อนเขายังไงกัน ป้อนด้วยปากเหรอ
“นาย นายพักผ่อนเถอะ” เวินลั่วฉิงคิดได้แต่เรื่องนั้นจนเกือบจะกระโดดขึ้นมา ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่นะ
ดูท่าทางเธอแล้ว แววตาของเย่ซือเฉินยิ้มราวกับแผนที่วางไว้สมใจแล้ว จากนั้นก็ยื่นยาไปตรงหน้าเธอ : “ทำไมเหรอ ฉันก็แค่อยากให้เธอช่วยหยิบยาออกมาก็แค่นั้น ทำไมเธอต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย”
“เธอคิดอะไรอยู่เหรอ” เขาจงใจพูดลากเสียงยาว แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
เขาพบว่า กับบางเรื่องเธอฉลาดหลักแหลมมาก แต่พอเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกเธอกลับตามไม่ทัน
“…” เวินลั่วฉิงกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อกี้นี้เธอคิดมากเกินไปหรอกเหรอ
เวินลั่วฉิงรับกล่องยามา เปิดออก หยิบยาออกมาสองเม็ดตามที่เอกสารกำกับยาแจ้งไว้ จากนั้นก็ยื่นไปที่ด้านหน้าเขา
แต่เขากลับไม่ใช้มือรับยาไป ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติใบนั้นอยู่ ๆ ก็ยื่นเข้ามาใกล้ แล้วก็ใช้ปากงับยาที่มือเธอไปกิน
เขาทำแบบนี้ ปากเขาเลยโดนมือของเธอ ตอนที่ปากเขาโดนนิ้วมือเธอนั้น อุณหภูมิที่ปากเขาแผ่มายังนิ้วมือเธอ เวินลั่วฉิงจึงรู้สึกร้อนขึ้นมาทันที พอตั้งสติได้ก็รีบดึงมือกลับไป
เวินลั่วฉิงแกล้งทำเมินเฉยหันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่าง แต่หน้าเธอกลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย
แววตาเย่ซือเฉินแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เขาพบว่า เธอก็รู้จักเขินอายด้วย แถมตอนอายยังดูน่ารักอีกต่างหาก
เย่ซือเฉินไปทำงานต่างที่เพิ่งกลับมา หลังจากทานอาหารเที่ยงก็กลับไปที่บริษัท เวินลั่วฉิงบอกว่าจะกลับไป ครั้งนี้เย่ซือเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ได้กำชับให้คนขับรถไปส่งเธอด้วย
เวินลั่วฉิงอยากจะไปดูลูกทั้งสองคนหน่อย แต่สุดท้ายเธอก็อดใจไว้ ไม่ได้ไปเจอ
ตอนที่ขับผ่านห้างสรรพสินค้า เวินลั่วฉิงบอกให้คนขับรถจอดสักครู่ คราวก่อนเธอมาเดินห้างฯ นี้เล็งเสื้อผ้าของลูกทั้งสองไว้หลายชุด แต่ตอนนั้นเป็นเพราะเรื่องของซ่งหยุนจึงทำให้เธอไม่ทันได้ซื้อ ตอนนี้มีเวลาพอดี เลยอยากจะไปซื้อเสื้อผ้าพวกนั้น
“ฉิงฉิง ฉันกลับมาจากเมืองนอกแล้วนะ อยู่เมือง A ออกมาเจอกันหน่อยสิ” เวินลั่วฉิงเพิ่งจะเดินเข้าห้างฯ ก็ได้รับโทรศัพท์จากรุ่นพี่ผู้ชายสมัยเรียน
“รุ่นพี่ มีธุระอะไรเหรอคะ” เวินลั่วฉิงนึกตกใจ ครั้งก่อนมู่หรงดัวหยางบอกว่ารุ่นพี่กลับมาจากเมืองนอกแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไปปฏิบัติงานอีก ตอนนี้รุ่นพี่กลับมาอีกแล้วเหรอ
แล้วทำไมอยู่ ๆ ก็มาที่เมือง A ล่ะ อีกทั้งยังอยากรีบพบหน้าเธอ หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่มาที่นี่พอดี เลยถือโอกาสเจอเธอด้วยเลย” เสียงผู้ชายที่ปลายสายนั้นปนไปด้วยรอยยิ้ม
เวินลั่วฉิงแอบถอนหายใจ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้ว รุ่นพี่กลับมาจากเมืองนอก แล้วมาที่เมืองนี้พอดี แน่นอนว่าเธอก็อยากไปพบหน้ารุ่นพี่สักหน่อย หลายปีมานี้รุ่นพี่คอยดูแลเธอเป็นอย่างดี ดีต่อเธอเป็นอย่างมาก ตอนนี้รุ่นพี่เป็นเหมือนญาติสนิทเธอคนหนึ่ง
แต่เธอรู้ดีว่าเย่ซือเฉินระแวงเธอตลอดเวลา คอยจับผิดเธออยู่ตลอด เธอกังวลว่าถ้าไปเจอรุ่นพี่ตอนนี้จะมีเรื่องวุ่นวายตามมา เธอกลัวว่าจะทำให้รุ่นพี่เดือดร้อน
ที่สำคัญ ฐานะของรุ่นพี่นั้นต้องเก็บไว้เป็นความลับ ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ภายในประเทศ แต่ใครก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้ เธอไม่อยากเป็นสาเหตุให้รุ่นพี่ตกอยู่ในอันตราย
อีกด้านรับรู้ได้ว่าเธอกำลังลังเลใจ เลยลอบถอนหายใจออกมา
ยัยสาวน้อยคนนี้อ่อนประสบการณ์เรื่องอารมณ์ความรู้สึกตลอดเลยสินะ
ถ้ารู้อย่างนี้ เขาน่าจะบอกเธอว่ามีธุระ
เขาถอนหายใจเงียบ ๆ เขาไม่อยากจบบทสนทนาไปดื้อ ๆ แบบนี้ เลยบอกไปว่า : “ก็มีธุระนิดหน่อย”
“รุ่นพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เวินลั่วฉิงตาเป็นประกายเล็กน้อย รู้สึกตกตะลึงกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา สีหน้าดูจริงจังขึ้นมาทันที ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมา ถ้าหากรุ่นพี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอต้องไปหาแน่นอน
เรื่องที่รุ่นพี่เอ่ยถึงต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ ๆ เธอเป็นห่วงว่ารุ่นพี่อาจจะเจอเรื่องอะไรที่ลำบาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาพบหน้าเธอในสถานการณ์แบบนี้หรอก
ผู้ชายที่อยู่ปลายสายนั้นได้ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง ดูท่า ในความคิดเธอ เขาจะมาหาเธอก็ต่อเมื่อมีธุระสำคัญเท่านั้น นอกจากนั้นก็คงไม่ได้
หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเธอบ้างเลยเหรอ
เขารู้ดีว่าเธอค่อนข้างอ่อนหัดต่อเรื่องรัก ๆ ใคร ๆ เดิมทีเขาก็คิดว่าเขาสามารถรอต่อไปได้ รอเธอเข้าใจถึงความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเธอไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นกะทันหันอย่างนี้
ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันตามข้อตกลง แต่เขาก็อดปวดใจไม่ได้ เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าเธอจะ…
“ช่วงนี้เธอกับเย่ซือเฉินเป็นยังไงกันบ้าง” ผู้ชายที่อยู่ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
เวินลั่วฉิงขมวดคิ้ว ระหว่างเธอกับเย่ซือเฉินน่ะเหรอ ทำไมอยู่ ๆ รุ่นพี่ก็ถามถึงเรื่องระหว่างเธอกับเย่ซือเฉินขึ้นมานะ
“ทำไมเหรอคะ” เวินลั่วฉิงงุนงง แล้วถามกลับไป ถึงแม้เธอกับรุ่นพี่จะสนิทกันเหมือนญาติพี่น้อง แต่เรื่องระหว่างเธอกับเย่ซือเฉินนั้นเธอไม่อยากพูดอะไรมากนัก ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเองกันทั้งนั้น ทุกคนต่างมีความเป็นส่วนตัว เธอควรจะเคารพความเป็นส่วนตัวของเย่ซือเฉิน
เหมือนที่เธอเก็บความลับของทุกคนในองค์กร ไม่มีทางที่จะเอาความลับของคนใดคนหนึ่งออกมาเปิดเผยแน่นอน
ได้ยินน้ำเสียงของเธอ แววตาของชายคนนั้นยิ่งมืดมนลง แม้จะคุยโทรศัพท์กัน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าเธอต่อต้านเขา
ต่อต้านเหรอ เธอต่อต้านเขาเพื่อเย่ซือเฉินงั้นเหรอ
การที่เขารับรู้แบบนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก เธอกับเย่ซือเฉินรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขากับเธอรู้จักกันมานานหลายปี แต่เธอกลับปกป้องเย่ซือเฉินงั้นเหรอ
เขาแอบถอนหายใจ ปลอบประโลมตัวเองว่าเธออาจจะแค่ไม่อยากพูดก็เท่านั้น
ที่จริงแล้วเวินลั่วฉิงไม่ได้คิดจะต่อต้านเขา เพียงแต่เธอไม่อยากพูดอะไรมากก็แค่นั้น ไม่อยากเปิดเผยเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวกับเย่ซือเฉินให้คนอื่นรับรู้
“เย่ซือเฉินให้คนที่ประเทศ M หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอ” เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วพูดออกมา
“อืม ฉันรู้อยู่แล้ว” เรื่องนี้เวินลั่วฉิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะคนอย่างเย่ซือเฉินถ้าหากไม่สืบเรื่องราวของเธอสิ ถึงน่าแปลกใจ
เดิมทีเธอสงสัยว่าเย่ซือเฉินคือผู้ชายคนนั้นคนเดียวกันกับเมื่อห้าปีก่อน ฉะนั้นตอนแรกจึงกังวลว่าเย่ซือเฉินจะสืบรู้ถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อน กลัวจะรู้เรื่องลูกทั้งสอง เลยกลัวขึ้นมานิดหน่อย
แต่หลังจากที่เธอตรวจ DNA แล้ว ผลตรวจ DNA ยืนยันว่าเย่ซือเฉินไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลูกทั้งสองคน
ดังนั้น เธอเลยไม่ได้กังวลอะไรมากมายแล้ว
ยังไงซะเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กร คนทั่วไปก็สืบหาไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ประโยคถัดไปที่ผู้ชายคนนั้นพูดออกมากลับทำให้เวินลั่วฉิงนิ่งอึ้งไป