บทที่ 156 รางวัลจากคุณชายสามเย่
“รีบกลับมาที่บริษัทมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ?”ลิฟต์ปิดปุ๊บคุณชายสามเย่ก็เอ่ยปากพูดทันที ซึ่งเป็นนำเสียงที่ปกติ
หางคิ้วของเวินลั่วฉิงยกโค้งยิ่งขึ้น เธอยังไม่ได้ถามอะไรเขาเลย แต่เขากลับถามเธอขึ้นมา?
ติดตามคนอื่นแล้วยังมีท่าทีที่เป็นปกติอยู่ คาดว่านอกจากคุณชายสามเย่ คงไม่มีใครเป็นเช่นนี้อีกแล้ว
“คุณชายเย่กำลังตามฉันอยู่หรือค่ะ?” เวินลั่วฉิงจ้องมองดูเขาด้วยมุมปากที่ยิ้มแย้ม ในเมื่อเขามีท่าทีที่ปกติเช่นนี้ เธอก็พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน
“ผมจอดรถแล้วเข้าห้างสรรพสินค้าไปหาคุณ เห็นคุณกำลังซื้อเสื้อผ้าของเด็กๆอยู่” ดวงตาของเย่ซือเฉินจ้องมองเธอ แล้วตอบอย่างเรียบเฉยหนึ่งประโยค
คำพูดของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่ทุกถ้วนคำกลับแฝงความลึกลับไว้ และยิ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จจากการเป็นฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุกแทนแล้ว
เขาพูดว่าเขาเห็นเธอกำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็กอยู่ ทำไมเธอถึงต้องซื้อเสื้อผ้าเด็ก?ทำไมจู่ๆก็ไม่ซื้อแล้ว?สำหรับเวินลั่วฉิงแล้วสองจุดนี้จำเป็นต้องรักษาไว้เป็นความลับ
เวินลั่วฉิงตะลึงเล็กน้อย ดวงตากะพริบเบาๆ คุณชายสามเย่เป็นจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ ช่างเจ้าเล่ห์สิ้นดี!!
บางครั้งถึงเธอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาอาชญากรรมก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
ทว่าเมื่อฟังดูเขาพูดแล้ว เขาติดตามโดยมิได้มีเจตนาที่ร้ายแรงอะไร น่าจะไม่มีเป้าหมายอย่างอื่นเป็นพิเศษ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่พี่หงหลิงพูด
เวินลั่วฉิงจึงได้สบายใจขึ้น
“คุณซื้อเสื้อผ้าเด็ก?ให้ใคร?” เย่ซือเฉินยังคงจ้องมองเธออยู่ แววตาเต็มไปด้วยความค้นหา ราวกับอยากจะสืบสวนให้ถึงที่สุดอย่างเห็นได้ชัดเจน
เขาอยากรู้คำตอบนี้มาก ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขารู้สึกว่าคำตอบนี้มันสำคัญสำหรับเขามาก
เมื่อได้ยินคำถามของเขา เวินลั่วฉิงก็รู้สึกใจสั่น เสื้อผ้าเด็กก็ต้องซื้อให้ลูกของเธออยู่แล้ว ทว่าเธอไม่สามารถบอกเขาได้
บังเอิญที่เวลานี้ลิฟต์ได้เปิดออกพอดี
“ท่านประธานคะ ในที่สุดท่านก็มาได้เสียที รองประธานเวินกำลังโวยวายอยู่ ท่านรีบไปดูเถอะค่ะ” พอดีกับเลขาที่เดินผ่านมาเห็นเวินลั่วฉิงจึงได้เอ่ยปากพูดกับเธอ
ท่าทีของเลขา กลับเป็นการคุ้มกันเวินลั่วฉิงได้ไม่ใช่น้อย ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเวินลั่วฉิงรีบกลับมาก็เพื่อมาจัดการเรื่องของเวินจีหยัน
แววตาที่ลุ่มลึกของเย่ซือเฉินได้ซ่อนหายไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองเห็น
ตอนนี้เลขาถึงจะเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเวินลั่วฉิงนั้นเป็นคุณชายสามเย่ จึงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
คุณชายสามเย่ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้?อีกทั้งยังอยู่กับประธานคนใหม่ของพวกเขา?
“คนที่รับผิดชอบการร่วมงานกับบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปทำไมไม่ใช่ผม แต่เป็นผู้จัดการลี่ ด้วยเหตุผลอะไร?เวินลั่วฉิงล่ะ?ให้เธอมาชี้แจงกับผมเร็วๆ” เวินลั่วฉิงยังไม่ทันเดินเข้าไปที่ห้องทำงานก็ได้ยินเสียงตะคอกของเวินจีหยันแล้ว
“ถึงเวินลั่วฉิงจะเป็นประธานบริษัทเวินซื่อกรุ้ปก็ตาม แต่บริษัทเวินซื่อกรุ้ปก็ไม่ใช่ของเธอคนเดียว ทำไมเธอถึงมาลดอำนาจของพวกเราได้” เสียงคมแหลมของหลี่หยุนก็ได้ส่งออกมา
เวินลั่วฉิงหรี่ตา ดูเหมือนว่าเวินจีหยันจะช่วยหลี่หยุนออกมาได้แล้ว หลี่หยุนออกมาก็รีบตามเวินจีหยันมาที่บริษัทเพื่อที่จะแก่งแย่งชิงดี
“เวินลั่วฉิง คุณหมายความว่ายังไง?ทำไมคุณถึงไม่ให้ผมเข้าแทรกเรื่องความร่วมมือกับบริษัทตระกูลเย่กรุ้ป?”เวินลั่วฉิงเพิ่งถึงหน้าประตูยังไม่ทันได้เข้าไป
เวินจีหยันก็เห็นเธอ จึงได้เดินไปเผชิญหน้าเพื่อด่าว่าเธอสารพัด
เย่ซือเฉินที่ตามหลังเวินลั่วฉิงมา ดวงตาก็น่ากลัวขึ้นมาทันที กล้าตะคอกใส่ผู้หญิงของเขาต่อหน้าเขา รนหาที่ตายแท้ๆ!!
“นี่เป็นการตัดสินใจของบริษัทตระกูลเย่กรุ้ป รองประธานเวินมีปัญหาอะไรมิทราบ?”ไม่รอให้เวินลั่วฉิงเอ่ยปากพูด เย่ซือเฉินก็เดินมาอยู่ด้านหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ซึ่งทุกถ้วนคำที่เปล่งออกมาชวนให้คนฟังใจสั่นยิ่งนัก
“ประธานเย่?ทำไมประธานเย่ถึงมาที่บริษัทเวินซื่อกรุ้ปครับ?”เวินจีหยันตัวแข็งทื่อ จ้องมองเย่ซือเฉินด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ ถ้าเวลานี้ไม่ได้มาเห็นกับตา เขาจะไม่กล้าเชื่อเลยว่าเย่ซือเฉินจะมาที่บริษัทเวินซื่อกรุ้ปด้วยตัวเอง
หลี่หยุนเหมือนจะตกใจจนโง่ไปแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลย
“ความเคลื่อนไหวของผมจำเป็นต้องรายงานกับรองประธานเวินไหม?”เย่ซือเฉินชำเลืองมองเวินจีหยันแวบหนึ่ง น้ำเสียงนั้นยิ่งเยือกเย็นขึ้นมากว่าเดิม และยังได้แฝงความเยาะเย้ยไว้ในคำพูดอีกด้วย
“ไม่จำเป็นอย่างแน่นอนครับ ไม่ทราบว่าประธานเย่มาที่บริษัทเวินซื่อกรุ้ปมีอะไรจะชี้แนะครับ” หลังจากที่เวินจีหยันรู้สึกตัว ก็จ้องมองเย่ซือเฉินด้วยสีหน้าประจบสอพลอ
เย่ซือเฉินกลับไม่ได้มองเขาแม้แต่แวบเดียว เขาเดินเข้าห้องทำงานพร้อมกับเวินลั่วฉิงโดยตรง
เมื่อก่อนคุณปู่เวินเคยใช้ห้องทำงานส่วนตัวของเวินลั่วฉิงมาก่อน สไตล์การตกแต่งยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ดูเหมือนว่าคุณไม่คิดจะดำรงตำแหน่งประธานบริษัทไปนานๆนะ” เย่ซือเฉินกวาดสายตามองห้องทำงานหนึ่งรอบ จากนั้นก็กะพริบตาไปมา
ถึงแม้ว่าเย่ซือเฉินจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา แต่ก็สามารถคาดเดาความนึกคิดของเวินลั่วฉิงได้ในเวลาอันรวดเร็ว เวินลั่วฉิงไม่คิดจะเป็นประธานไปตลอด
เย่ซือเฉินไม่ได้ซักถามเรื่องเสื้อผ้าเด็กอีกต่อไป เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเธอคิดที่จะปิดบัง เขาถามก็ไม่มีประโยชน์
เวินลั่วฉิงกะพริบตา เธอพบว่าเสียดายมากที่เย่ซือเฉินไม่ไปเรียนด้านจติวิทยา
“ฉันไม่มีความรู้ในด้านธุรกิจอยู่แล้ว รอให้บริษัทเวินซื่อกรุ้ปผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปก่อน แล้วฉันจะมอบบริษัทคืนให้แก่คุณปู่เวิน?” เวินลั่วฉิงไม่ได้ปิดบังในเรื่องนี้ เธอจึงตอบอย่างรวดเร็ว
“ตั้งแต่ที่คุณเป็นประธานบริษัทเวินซื่อกรุ้ป ยี่รุ่ยก็ไม่ได้ลงมือกับบริษัทเวินซื่อกรุ้ปอีก และได้ยินว่าไป๋ยี่รุ่ยมาหาคุณติดกันหลายวันด้วย” เย่ซือเฉินสบตาเธอ เป็นแววตาที่ซ่อนอารมณ์ที่ไม่ปกติเอาไว้
“อืม” สีหน้าของเวินลั่วฉิงเป็นปกติไม่ได้ผิดแปลกไปจากเดิมเลย เพียงแต่ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมองเย่ซือเฉินก็ยิ้มออกมา “แต่ฉันไม่ได้พบเจอเขา คุณวางใจได้
ฉันรู้ว่าควรจะทำอย่างไร”
เวินลั่วฉิงจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ประจบอย่างยิ้มแย้ม “ ฉันเชื่อฟังมากเลยใช่ไหม?”
ท่าทางของเธอในเวลานี้เหมือนกับเด็กเล็กที่รอคอยของรางวัลอยู่
นอกจากเรื่องความรักแล้ว เวินลั่วฉิงมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีมาก และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้ประสบผลสำเร็จอีกด้วย
เธอไม่อยากให้ทั้งสองต้องเกิดความหดหู่ใจ ถึงแม้จะเป็นการแต่งงานด้วยข้อตกลง แต่ก็ควรจะปรองดองและมีความสุข ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ความสบายใจสำคัญที่สุด
เย่ซือเฉินคิดไม่ถึงว่าพอพูดไปพูดมา ภรรยาของเขาจู่ๆก็ล้อเล่นขึ้นมา หรือภรรยาของเขาคิดได้แล้ว?
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะดีมากๆเลย
นาทีต่อมา จู่ๆเขาก็ยื่นมือไปดึงเธอมาไว้ในอ้อนกอด ไม่รอให้เธอมีการตอบสนอง เขาก็ก้มหน้าจูบเธอทันที
เวินลั่วฉิงตกตะลึงตากะพริบ ตอนนี้เขาอยู่ใกล้เกินไปทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลย
“อืม เชื่อฟังมาก นี่เป็นของรางวัลที่มอบให้คุณ” เย่ซือเฉินเห็นท่าทีของเธอก็ทนไม่ไหวยิ้มออกมา
เวินลั่วฉิงกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก เขาจะให้รางวัลก็ไม่จำเป็นต้องจูบหรอกมั้ง?เขาน่าจะให้อะไรที่เป็นรูปธรรมที่มีประโยชน์หน่อยมิได้หรือ!!
เย่ซือเฉินเห็นท่าทีของเธอตอนนี้ จึงทนไม่ไหวอยากจะก้มหน้าจูบเธออีก