Chapter 59: หินวิญญาณ 8,000 ก้อน ก้มหน้ารับกรรม
“เลวระยำ!”
พอได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโส เซี่ยวอู่โยก็อยากจะเขวี้ยงชามที่เขากำลังถืออยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาหยุดอย่างกระทันหันในตอนที่นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นชามของเฉินเฉิน
“อาจารย์ ท่านจะเขวี้ยงมันก็ได้นะครับ ข้าไม่อะไรหรอก…” เฉินเฉินพูดอย่างระมัดระวังในขณะที่เขารออยู่ข้างอาจารย์ของเขา
ครู่ต่อมา เซี่ยวอู่โยวก็โยนชามให้เฉินเฉินก่อนที่จะหันไปมองรูปปั้นบรรพบุรุษที่อยู่ในตำหนัก
ตำหนักตกอยู่ในความเงียบในทันที และบรรยากาศก็ตึงเครียด
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดเซี่ยวอู่โยวก็พึมพำ “พระราชาองค์ใหม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์และสำนักอู๋ซินก็ไม่สนใจ 35 สำนักอื่นเลย ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง สำนักอู๋ซินอยากควบรวมและปกครอง 36 สำนักเพื่อก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมาเหมือนกับรัฐโจว”
ผู้อาวุโสสำนักภายนอกที่อยู่ตรงหน้าเขาปาดเหงื่อบนหน้าผากในตอนที่ได้ยินคำพูดนี้
มี 37 ขุมอำนาจในรัฐจินและสำนักอู๋ซินก็แข็งแกร่งที่สุดในนั้น ตามมาด้วยราชวงศ์ของรัฐจิน ในอดีต ราชวงศ์ของรัฐจินเคยปกครอง 35 สำนักอื่นและแทบจะไม่สามารถควบคุมสำนักอู๋ซินได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กษัตริย์องค์ก่อนได้จากไปแล้ว ส่วนกษัตริย์องค์ใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในสำนักอู๋ซินก็ขึ้นครองบัลลังก์
ความสมดุลได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์และความทรมานของ 35 สำนักคงจะดำเนินต่อไป
ถ้าแรงกดดันจากสำนักมารของรัฐโจวลดลงไปซักเล็กน้อย สำนักอู๋ซินคงจะออกทำลายซักสองสามสำนักเพื่อเตือนสำนักอื่นอย่างแน่นอน เพื่อที่จะบังคับให้ควบรวม 36 สำนัก
ถ้าทั้ง 35 สำนักร่วมมือกัน เรื่องคงจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่น่าเสียดายที่ 35 สำนักนั้นไม่มีความสามัคคีกันเลยและมีหลายสำนักที่ยอมจำนนต่อสำนักอู๋ซินและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว
“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะเอายังไงกับหวังเฟิงดีครับ?” ผู้อาวุโสสำนักภายนอกถามอย่างเจ็บปวดหลังจากที่เงียบไปพักนึง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ไม่มีใครอยากเป็นสำนักที่ถูกฆ่าเพื่อเตือนคนอื่น สำนักอื่นก็ไม่ยอมเหมือนกันและที่ไม่ยอมยิ่งกว่าก็คือสำนักเทียนหยุน ดังนั้น พวกเขาต้องไม่ปล่อยให้สำนักอู๋ซินมีหลักฐานที่ใช้อ้างกำจัดพวกเขาได้ในตอนนี้
“ท่านอาจารย์ ข้าจะออกเดินทางไปที่สำนักภายนอกนะครับ” เฉินเฉินพูดขึ้นมา
เซี่ยวอู่โยวขมวดคิ้วในทันที
“ข้ามีประสบการณ์ในการจัดการกับคนแบบนี้ครับท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวลนะครับ”
เฉินเฉินหัวเราะคิกคักในขณะที่เขาเดินออกไปจากตำหนัก
ในขณะที่มองแผ่นหลังของเฉินเฉิน เซี่ยวอู่โยวก็ไม่ได้ขัดขวางเขา แต่สีหน้าของเขาดูซับซ้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ในฐานะผู้สืบทอด… เจ้าห้ามทำอะไรห่ามๆนะ!” ผู้อาวุโสสำนักภายนอกตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง
จากนั้นเขาก็พยายามวิ่งไปหยุดเฉินเฉินแต่เขาก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้เดินก้าวที่สอง
เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างเย็นชา “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่ว่าสำนักเทียนหยุนของข้าจะอ่อนแอแค่ไหน พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นที่ปกป้องศิษย์คนเดียวก็ยังไม่ได้”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่ในทันที เหมือนกับว่าเขาทำการตัดสินใจบางอย่างแล้ว
…
ในระหว่างนั้น ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นที่จัตุรัสภายนอกแล้ว
หวังเฟิงยืนอยู่กลางจัตุรัส และกำลังมองศิษย์ที่อยู่รอบๆด้วยท่าทีไม่น่าไว้ใจ ไม่มีพวกเขาคนไหนกล้าสบตากับเขาเลย
“ซุนเทียนกัง เจ้าชอบพล่ามอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรอว่าเจ้าเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักภายใน? ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าต่อสู้กับข้าหล่ะ?”
หวังเฟิงชี้นิ้วไปที่ซุนเทียนกังที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน และเยาะเย้ยเขาเสียงดังลั่น
“ซุนเทียนกัง ถ้าเจ้าไม่ก้าวออกมาตอนนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด หรือนับจากนี้ไปเจ้าจะเรียกตัวเองว่าไอ้อ่อนก็ได้นะ!”
หวังเฟิงยั่วยุซุนเทียนกังอย่างดูถูกแต่ซุนเทียนกังก็แค่หลับตาของเขาอยู่เงียบๆ อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดจากเส้นเลือดที่กำลังปูดขึ้นตรงคอของเขาว่าเขากำลังโมโหอย่างมาก
“จ้าวเสี่ยวหยา รีบมาขอโทษข้าที่ทำร้ายข้าเมื่อวานนี้สิไม่อย่างนั้นข้าจะรายงานกลับไปที่สำนักอู๋ซินในทันทีและบอกพวกเขาว่าสำนักเทียนหยุนไม่เคารพสำนักอู๋ซิน เจ้าอย่าลืมนะว่า ในตอนที่ซุนเทียนกังเคยแตะต้องตัวข้าก่อนหน้านี้ สำนักเทียนหยุนต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยหินวิญญาณถึง 5,000 ก้อน! ที่ข้าให้โอกาสเจ้าขอโทษก็แค่เพราะเจ้าเป็นผู้หญิงที่สวยหรอก!”
จ้าวเสี่ยวหยาเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุดในตอนที่ได้ฟังคำพูดของหวังเฟิง มันเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เข้ามาตอแยเธอก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังบังคับให้เธอขอโทษ แล้วเธอจะทนรับการโกหกนี้ได้ยังไง?
“จ้าวเสี่ยวหยา ตกลงเจ้าจะมาขอโทษไหม?”
หวังเฟิงกำลังหมดความอดทน เขาเอาเหรียญติดต่อออกมาจากกระเป๋าของเขา และจากนั้นก็วาดอะไรบางอย่าง
พวกศิษย์ที่อยู่รอบๆมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังจะฟ้องสำนักอู๋ซิน
เมื่อเห็นแบบนี้ จ้าวเสี่ยวหยาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันขอโทษ “ข้าผิดเอง ขอโทษด้วย!”
เธอเติบโตในสำนักเทียนหยุน และสำนักเทียนหยุนก็เป็นบ้านของเธอ ถ้าทุกคนในสำนักเทียนหยุนต้องทรมานเพราะเธอ เธอก็คงจะไม่มีวันตายตาหลับได้
“ต้องอย่างนั้นสิ” หวังเฟิงเก็บเหรียญสื่อสารอย่างอิ่มเอมใจในขณะที่เขาหันไปหามู่หลงหยุนหลานอีกครั้ง
เขายังไม่ลืมว่าเธอเคยตบเขา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ชี้ไปที่มู่หลงหยุนหลานแล้วพูด “มู่หลง เจ้าจงก้าวออกมาต่อสู้กับข้าซะ! แสดงให้ข้าเห็นหน่อยซิว่าสำนักเทียนหยุนทำอะไรได้บ้าง!”
ในตอนที่พวกเขาได้ยินคำประกาศของหวังเฟิง สายตาของศิษย์ทุกคนก็เต็มไปด้วยความดูถูก ในฐานะเซียนที่ฝึกฝนตนเองมาหลายปีและพัฒนาไปถึงระดับฝึกพลังปราณขั้นที่ 6 แล้วนั้น หวังเฟิงได้ท้าศิษย์ใหม่ของสำนักภายนอกจริงๆ เขาน่าจะเป็นคนๆเดียวในพื้นที่ของสำนักเทียนหยุนที่หน้าด้านพอที่จะท้าสู้กับศิษย์ใหม่
‘หวังเฟิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ… ที่สำนักอู๋ซินส่งเขามาที่นี่ก็เพื่อป่วนสำนักเทียนหยุนแน่ๆ!’
หลังจากที่ถูกเรียก สีหน้าของมู่หลงหยุนหลานก็ซีดเผือด แม้กระทั่งศิษย์พี่หญิงที่มีอำนาจมากมายอย่างเสี่ยวหยาก็ยังต้องก้มหัวให้หวังเฟิง แล้วศิษย์ใหม่ของสำนักอย่างเธอจะต้องทำอะไรหล่ะ?
ถ้าเธอไปถูกหวังเฟิงซ้อมต่อหน้าสาธารณะชน แล้วในอนาคตเธอจะกล้าเชิดหน้าในสำนักเทียนหยุนได้ยังไงกัน?
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนี้หลังจากที่ก้าวสู่หนทางแห่งเซียนและกลายเป็นเซียนในสายตาของมนุษย์
ณ ตอนนี้หัวใจของมู่หลงหยุนหลานเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความโกรธ ในขณะที่น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาในดวงตาของเธอ
“ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง อย่าทำให้ศิษย์น้องมู่หลงต้องลำบากใจนะ!” หนึ่งในศิษย์ของสำนักภายนอกไม่สามารถทนได้อีกในขณะที่เขาเริ่มก้าวตรงมาที่กลางจัตุรัส
“เห้อ เจ้าอยากจะเป็นฮีโร่ช่วยเหลือหญิงสาวบริสุทธิ์จากความเจ็บปวดหรอ? เอาสิข้าจะเต็มเติมความปรารถนาของเจ้าให้เอง” หวังเฟิงพูดด้วยความดูถูก
เขาอยู่ระดับฝึกพลังปราณขั้นที่หกและแม้แต่ในสำนักภายนอก เขาก็ไม่ค่อยมีคู่ต่อสู้ ศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอยู่แค่ระดับฝึกพลังปราณขั้นต้นเท่านั้นและไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแท้จริง
ดังนั้น พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มต่อสู้กันในเวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม หวังเฟิงดื่มด่ำอยู่กับความชั่วร้ายของสุราและโลกีย์มาหลายปี และระดับการฝึกตนของเขาก็ค่อนข้างอ่อนแอแม้ว่าจะอยู่ขั้นที่หกก็ตาม ดังนั้น เขาจึงเริ่มด้อยกว่าในระหว่างการต่อสู้
เมื่อเห็นฉากการต่อสู้นี้ พวกศิษย์ที่อยู่รอบๆก็ยิ่งดูถูกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้าทำแบบนั้น จ่ายหินวิญญาณมา 5,000 ก้อนซะ!”
ในตอนนี้เอง หวังเฟิงก็ตะโกนด้วยความโกรธ
พอได้ยินคำว่าหินวิญญาณ 5,000 ก้อน ใบหน้าของศิษย์ภายนอกคนนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ศิษย์ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นศิษย์สำนักภายนอกที่ได้รับหินวิญญาณปีละไม่กี่ร้อยก้อนเท่านั้น ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำร้ายหวังเฟิง สำนักเทียนหยุนจะต้องชดเชยให้เขาด้วยหินวิญญาณอย่างน้อย 5,000 ก้อน ซึ่งทำให้ความกลัวก่อตัวขึ้นมาในตัวเขาอย่างกระทันหัน
เมื่อเห็นแบบนี้ หวังเฟิงก็ประกาศออกมาดังลั่น “ถ้าเคลื่อนไหวเข้ามาหาข้าอีก จะเพิ่มเป็นหินวิญญาณ 8,000 ก้อน แถมเจ้าจะต้องก้มหน้ารับกำด้วย!”
ณ จุดนี้เอง หวังเฟิงได้ละทิ้งการป้องกันอย่างสมบูรณ์และกำลังจะโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของเขา เขาเชื่อว่าศิษย์ภายนอกที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่กล้าแตะต้องเขาแล้ว
ซุนเทียนกัง จ้าวเสี่ยวหยาและศิษย์ภายในสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยการชดเชยหินวิญญาณให้เขาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ถ้าศิษย์ภายนอกที่ไม่ได้มีตัวตนยิ่งใหญ่แตะต้องเขา พวกเขาก็อาจจะถูกสำนักอู๋ซินสอบปากคำและจากนั้นก็จ่ายด้วยชีวิตของพวกเขา
อย่างที่คิดเอาไว้ ศิษย์คนนี้มองไปข้างหน้าและเริ่มรู้สึกว่าการต่อต้านของเขากำลังอ่อนแอลง ในท้ายที่สุดนั้น หวังเฟิงก็ฉวยโอกาสนี้ซัดเขากระเด็นออกไปหลายสิบเมตร ทำให้เขากระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงไปกับพื้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเฟิงก็ดึงมือกลับมาแล้วยืนเอามือไขว้หลัง เหมือนกับเป็นจอมยุทธ์ผู้เดียวดาย จากนั้นเขาก็มองมู่หลงหยุนหลาน
“ศิษย์น้อง เข้ามาประมือกับข้าสิ ข้าออมมือให้ผู้หญิงตลอดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นข้าจะไม่ทำอะไรร้ายแรงกับเจ้า วางใจได้เลย แต่ว่า ในบางครั้งชายหญิงก็อาจจะมีแตะต้องตัวกันบ้างในระหว่างการประมือ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถือสาหรอกนะ ศิษย์น้อง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในขณะที่พูด หวังเฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้แล้วเขาก็แสดงความหื่นกามออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เหล่าศิษย์ก็เริ่มถลึงตามองหวังเฟิงอย่างเดือดดาล แต่พวกเขาไม่กล้าพูดขึ้นมา และมีบางส่วนที่ดูสับสนด้วย
ที่พวกเขาเข้าร่วมสำนักเทียนหยุนทั้งหมดก็เพราะพวกเขาอยากฝึกวรยุทธ์และกลายเป็นตัวตนที่คนอื่นยกย่องชื่นชม
แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องมาถูกรังแกเหมือนกับมดปลวกด้วยหล่ะ?
ถ้าการอยู่ในสำนักเทียนหยุนต้องโดนแบบนี้ กลับไปที่โลกมนุษย์แล้วใช้ชีวิตอย่างสบายๆไม่ดีกว่าหรอ?
ความคิดพวกนี้กำลังวนเวียนอยู่ในหัวของมู่หลงหยุนหลานในตอนนี้ ตอนที่เธอยังอยู่บ้านของตัวเองนั้น พ่อของเธอเป็นเจ้าเมืองและเธอก็เป็นศูนย์กลางของความสนใจ เจ้าหน้าที่ในเมืองและคนที่มีฐานะส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะทำไม่ดีกับเธอเลย
ความแตกต่างคนละขั้วระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ทำให้เธอเริ่มสงสัยชีวิตของตัวเอง
“ศิษย์น้อง เจ้าจะก้าวขึ้นมาไหม? หรือว่าเจ้ากำลังดูถูกข้ากับสำนักอู๋ซินอยู่?”
ในขณะที่พูด หวังเฟิงก็หยิบเหรียญสื่อสารออกมาอีกครั้ง ทำให้สีหน้าของเหล่าศิษย์ที่อยู่ ณ ที่นี้หดหู่
“ข้า… ข้า…” มู่หลงหยุนหลานรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งในขณะที่น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ ณ ตอนนี้ เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว
ในขณะที่บรรยากาศในจัตุรัสน่าหดหู่อย่างถึงที่สุด เสียงความไม่พอใจก็ดังมาจากที่ไกลๆ และทำลายความเงียบนี้
“ใครกัน? ใครที่มันกล้ามารังแกเหล่าคนที่อยู่ในการคุ้มครองของข้า?”
ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 59: หินวิญญาณ 8,000 ก้อน ก้มหน้ารับกรรม
Posted by ? Views, Released on September 26, 2021
, I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!”
เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที
“ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!”
เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย
ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา
แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว!
เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ!
การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ!
‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง
“มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!”
หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา
เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน?
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า
เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน
ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข
เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน
เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’
“อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง”
นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้
“ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ”
อะไรนะ?!
เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา
เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง
‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม
ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา
“ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่”
เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม
หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย
‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา
เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน?
นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้!
ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา
“รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ”
เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้
ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน…
“เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!”
เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที
ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน
Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since.
Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.”
Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”