หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อขอลาหยุดกับทางหมู่ตึก เพื่อที่จะเดินทางออกนอกประตูใหญ่ หลังจากที่ออกมาได้ พวกเขาก็มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของหมู่ตึกในทันที
เกี่ยวกับการออกนอกหมู่ตึกนั้น เหล่าลูกศิษย์ที่ปรารถนาจะออกไปสู่ภายนอก จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตกับผู้อาวุโสประจำหมู่ตึกก่อน อีกทั้งไม่สามารถออกไปได้นานนัก ฉะนั้นหลงเฉินและถังหว่านเอ๋อจึงขอลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น
“หลงเฉิน เจ้ากำลังจะพาข้าไปที่ใดกัน?” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นในขณะที่ติดตามหลงเฉินอยู่ทางด้านหลัง
“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องที่สุขสันต์กัน” หลงเฉินยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วตอบกลับไป
“หลงเฉิน เจ้าหยุดหยอกเย้าข้าสักทีได้หรือไม่ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างเหลืออด
“เหอะเหอะ อย่าเพิ่งหัวเสียไปเลย ที่ข้าให้เจ้าตามมาด้วยนั้นก็เพื่อจะให้ช่วยเหลือบางอย่าง ทว่าก่อนที่จะไปทำเรื่องนั้น ข้าจะต้องไปตามหาเสี่ยวเสว่ยก่อน” หลงเฉินกล่าว
“เสี่ยวเสว่ย? หมาป่าหิมะแดงเพลิงตัวนั้นน่ะหรือ? เจ้ายังไม่ได้ให้คนของตระกูลพามันกลับไปอีกอย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นมาด้วยอาการตื่นตกใจ
หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างข่มขื่นแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าเดินทางมาเพียงลำพัง ไม่มีคนของตระกูล”
เมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนั้นของหลงเฉิน ถังหว่านเอ๋อจึงรู้สึกผิดขึ้นมาและไม่คิดที่จะถามประเด็นนั้นต่อ “แล้วเสี่ยวเสว่ยอยู่ที่ใดกัน?”
หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “สถานที่นี่เป็นจุดนัดหมายของพวกเรา…..เจ้าดูที่พื้นสิ นี่เป็นรอยเท้าของเสี่ยวเสว่ย ถ้าเช่นนั้นมันก็คงอยู่ใกล้ๆ นี้”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็กู่ร้องขึ้นมาอย่างยาวนาน เสียงนั้นดังมากพอที่จะเข้าไปกระทบโสตประสาทของผู้คนที่อยู่ ในระยะหลายร้อยลี้ได้ ทว่าเมื่อส่งเสียงออกไปราวหนึ่งก้านธูปไหม้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวตอบรับแต่อย่างใด
“เสี่ยวเสว่ยอาจจะออกไปหากิน” หลงเฉินคาดเดาแล้วกล่าวขึ้นมา
“แล้วเราต้องทำอย่างไรต่อไป? ต้องรอมันหรือไม่?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง ข้าจะแขวนอาภรณ์ของข้าเอาไว้บนต้นไม้ หากมันเห็นหรือดมกลิ่นก็คงพอจะทราบแล้วว่าข้าได้มาตามหามันแล้ว จากนั้นมันก็จะรอข้าอยู่ตรงนี้เอง” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออกมาแขวนไว้บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ประสาทการรับกลิ่นของเสี่ยวเสว่ยนั้นเรียกได้ว่าเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่ามันต้องสามารถพบเห็นเสื้อตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย เพียงเท่านี้มันก็จะรับรู้ได้แล้วว่าหลงเฉินได้มาถึงที่นี่แล้ว
ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “แล้วต่อไปจะเดินทางไปที่ใด?”
“เหอะเหอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องที่สุขสันต์อย่างไรเล่า รับรองว่าเจ้าต้องชอบมากแน่ๆ” หลงเฉินหัวเราะร่า พลันก็วิ่งตะบึงออกไปในทันที
“บัดซบ ก็แค่บอกมาก็สิ้นเรื่องแล้ว” ถังหว่านเอ๋อด่าทอขึ้นมา แล้วออกวิ่งติดตามหลงเฉินไป
พวกเขาทั้งสองคนออกวิ่งต่อไปทางทิศเหนืออย่างไม่หยุดหย่อนกว่าสามพันลี้เห็นจะได้ จากนั้นก็ได้มาถึงยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าสูงอย่างลิบลับ ด้านบนสุดของยอดเขามีเมฆสีดำปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งยังมีสายฟ้าแลบเปรี๊ยะปร๊ะอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้วดวงตาคู่งามก็เบิกกว้างขึ้นมา “หลงเฉิน อย่าบอกนะว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อจะให้ฟ้าผ่าอย่างนั้นหรือ?”
“หึหึ ฉลาดมาก เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในช่วงเวลาที่เดินทางกลับมาจากดินแดนรกร้างศิลาวาย เขาได้เดินทางผ่านภูเขาสูงลูกนี้ สายตาอันแหลมคมก็ได้พบเข้ากับความแปลกประหลาดบางอย่างที่อยู่บนยอดเขาสูงนั้น ทั้งเมฆดำที่ปกคลุมไปทั่ว อีกทั้งยังมีสายฟ้าฟาดลงมาอยู่ตอลดเวลา
ภูเขาสูงลูกนี้กินอาณาบริเวณไปไกลกว่าหลายสิบลี้ ไม่อาจพบต้นหญ้าหรือสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่ชนิดเดียว ฉะนั้นสถานที่แห่งนี้คงต้องเป็นจุดที่มีไว้เพื่อรับอัสนีบาตเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาเคยฝึกใช้พลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังอยู่ช่วงหนึ่ง ก็พบว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพลังเหล่านั้นเอาไว้ได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งเส้นลมปราณก็ยังสามารถกักเก็บพลังแห่งอัสนีบาตเอาไว้ด้วยเช่นกัน
หากร่างกายของเขาสามารถกักเก็บพลังแห่งอัสนีบาตที่แข็งแกร่งมากกว่านั้นได้อีกก็จะมีขุมพลังที่เปรียบเสมือนพลังจากสัตว์เพลิง สามารถที่จะกระตุ้นพลังแห่งอัสนีบาตออกมาใช้ได้
และที่สำคัญที่สุดในตอนนี้เขาเองก็มีระดับการฝึกยุทธ์ถึงขั้นที่สิบเอ็ดแล้ว หากเป็นไปตามประสบการณ์การรวมพลังในครั้งที่ผ่านมา เมื่อได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สิบสามเมื่อใด เขาก็จะต้องรับทัณฑ์จากสวรรค์อีกเป็นแน่
ทัณฑ์จากสวรรค์เมื่อครั้งก่อนก็เกือบจะทำให้เขาตายลงไปในทันทีแล้ว หากไม่ได้รับคำแนะนำจากยอดฝีมือจากดินแดนหลิงเจี่ย เขาก็คงไม่อาจข้ามพ้นประสบการณ์ที่โหดร้ายเช่นนั้นไปได้อย่างแน่นอน
เพียงทัณฑ์จากสวรรค์ขั้นแรกก็น่าหวาดกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว ฉะนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงขึ้นต่อไป ขั้นแรกเป็นเพียงเจาะจงถึงจิตสำนึกของเขา ทว่านั่นก็เกือบทำให้เขาเกือบจะถูกย่างจนไหม้เกรียมไปแล้ว หากขั้นต่อไปเป็นการเจาะจงไปที่ร่างกาย เช่นนั้นเขาก็ต้องถูกทำลายจนกลายเป็นผุยผงไปในพริบตาเดียว
หลังจากที่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่สิบเอ็ดได้เมื่อครั้งก่อนทำให้เขาหวนนึกถึงทัณฑ์จากสวรรค์ขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจต้านทานพลังของทัณฑ์จากสวรรค์อันน่าหวาดกลัวได้
ทัณฑ์จากสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือคนใดจะสามารถเทียบพลังได้ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นสำนึกทั้งหมดของวิถีสวรรค์ ทว่าหลงเฉินนั้นไม่มีทางที่ตะยอมรับวิถีแห่งสวรรค์ได้ ฉะนั้นก็ต้องต้านทานต่อให้ต้องแหลกลานจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปก็ตาม
ในเมื่อเขามีพลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังแล้ว ฉะนั้นร่างกายของเขาก็คงพอที่จะรับมือกับพลังอัสนีบาตได้บ้างแน่นอน อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอกับทัณฑ์จากสวรรค์เป็นครั้งที่สอง เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเสี่ยงดูเท่านั้น
หรือหากไม่อาจดูดซับพลังแห่งอัสนีบาตกลางอากาศมาได้ ก็จะต้องหยิบยืมพลังแห่งอัสนีบาตมาคุ้มกันตัวเองให้ได้ เพราะทัณฑ์จากสวรรค์ในภายหลังย่อมทวีความรุนแรงขึ้น หากเขาสามารถเพิ่มการต้านทานไปได้เรื่อยๆ แน่นอนว่าย่อมต้องมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น
ทันใดนั้นหลงเฉินก็หยิบว่าวขนาดใหญ่ที่ทำมาจากกระดูกและหนังของสัตว์มายาออกมาจากแหวนมิติ “เจ้าสามารถปล่อยวายุส่งให้ว่าวผืนนี้ลอยขึ้นไปได้หรือไม่?” หลงเฉินเอ่ยถาม
“หากเป็นเพียงว่าวก็เคยทำได้มาก่อน ทว่าหากมีคนผูกติดไปด้วยเช่นนี้ยังไม่เคยลอง หลงเฉิน เจ้าคิดจริงจังอย่างนั้นหรือ” ถังหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีพลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่ากลับไม่อาจที่จะปลดปล่อยพลังแห่งอัสนีบาตออกมาได้ตามความต้องการของตัวเอง ฉะนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องกักเก็บพลังแห่งอัสนีบาตเอาไว้เป็นจำนวนมากเพื่อเอาออกมาใช้
นี่จึงเป็นวิธีที่บ้าคลั่งที่สุด แม้แต่ถังหว่านเอ๋อตักเตือนออกไปก็ราวกับว่าหลงเฉินนั้นไม่ได้ฟังนางเลยจึงอดไม่ได้ที่จะถามไถ่ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจังและตระเตรียมความมั่นใจมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว นางจึงไม่อาจขัดได้อีกต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรหลงเฉินก็มักจะทำแต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจได้อยู่เสมอ
จากนั้นหลงเฉินก็ดึงไหมวิหคออกมามัดติดกับตัวว่าว พลันก็ลองดึงทดสอบความแข็งแรงอยู่หลายครั้งเพื่อให้วางใจได้ว่าจะสามารถฝากชีวิตน้อยๆ ของตัวเองกับมันได้ ถึงแม้ว่าเชือกเส้นนั้นจะมีความยาวมากกว่าพันเซียะ และมีความหนาเพียงหนึ่งหัวแม่มือ ทว่ากลับแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง ไม่ขาดอย่างง่ายดายแน่นอน
แล้วหลงเฉินก็ผูกปลายเชือกอีกข้างหนึ่งกับศิลาก้อนใหญ่ ก่อนจะหันไปกล่าวกับถังหว่านเอ๋อว่า “เมื่อข้าปีนขึ้นไปอยู่บนตัวว่าวแล้ว เจ้าค่อยส่งข้าให้ลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าและคอยสังเกตการณ์เอาไว้ให้ดี หากเมื่อใดที่เห็นว่าอัสนีบาตกำลังจะโจมตีใส่ร่างกายของข้า เจ้าก็รีบผ่อนพลังลงทันที
ถึงแม้ว่าไหมวิหคจะไม่สามารถล่อสายฟ้าฟาดได้ ทว่าเจ้าก็ระวังตัวเอาไว้ด้วย อย่าให้ตัวเองบาดเจ็บเป็นอันขาด หากข้าสลบไปหรือส่งเสียงร้องให้ช่วยเหลือ เจ้าก็รีบปล่อยข้าลงมาก็พอ”
ถังหว่านเอ๋อเหม่อมองไปยังใบหน้าอันเคร่งขรึมของหลงเฉินด้วยอาการตื่นตกใจ “เรื่องเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว อย่าได้ทำแบบนี้เลย ข้าบอกตามตรงเลยนะว่าข้ากลัวมาก”
หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “วางใจเถิด ข้าไม่กลัว เจ้าก็ต้องไม่กลัว เพราะสิ่งนี้สำคัญต่อข้ามาก ได้โปรดช่วยข้าเถิด”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้อนวอนของหลงเฉิน ถังหว่านเอ๋อก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ นางรู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้อยู่กับหลงเฉิน นับวันนางก็ยิ่งบ้าบิ่นมากขึ้นไปทุกที
“ข้าจะลากว่าววิ่งออกไปทางนั้น รอจนสายลมโบกพัดมันขึ้นไปเล็กน้อยแล้วข้าก็จะกระโดดขึ้นไป หลังจากนั้นก็มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว อย่าได้เกร็งหรือหวาดหวั่นจนเกินไป คิดเสียว่ากำลังเล่นด้วยกันอยู่” หลงเฉินกล่าวปลอบโยนเมื่อเห็นว่าถังหว่านเอ๋อกำลังร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
‘การละเล่นต้องเสี่ยงตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หากพลาดขึ้นมานั่นหมายถึงชีวิตเลยนะ’
หลงเฉินยกว่าวขนาดใหญ่ขึ้นแล้ววิ่งลงทางลาดเขาไป เมื่อวิ่งออกไปได้ราวร้อยเซียะก็ถูกสายลมหอบหนึ่งพัดพาขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นเขาก็คว้าไปที่โครงกระดูกสัตว์มายาที่ขึงเป็นตัวว่าวแล้วพลิกตัวขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว พลันก็ใช้เชือกวิหคผูกติดกับเอวเอาไว้อย่างแน่นหนา
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินพลิกตัวขึ้นไปอยู่บนว่าวได้แล้ว ถังหว่านเอ๋อก็ไหลเวียนพลังไปรั้งเชือก มืออันขาวผ่องควบคุมเชือกให้เหินเวหาขึ้นไปได้อย่างไร้ที่ติ
หลงเฉินหันลงมายกนิ้วโป้งให้ถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวชื่นชมว่า “เก่งมาก”
“ระวัง……”
ถังหว่านเอ๋อแตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุดเมื่อเห็นประกายแสงสายหนึ่งผ่าตรงเข้ามาที่หลงเฉินอย่างฉับพลัน
“เปรี้ยง”
อาภรณ์บนร่างของหลงเฉินถูกเผาไหม้จนสลายออกเป็นชิ้นๆ ทว่าเขากลับเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดีโดยการสวมชุดหนังงูเหลือมเขาทองเอาไว้ด้านใน
หลงเฉินเองก็คาดไม่ถึงว่าจะถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ได้เร็วถึงเพียงนี้ เพราะเขาเพิ่งจะลอยขึ้นมาได้เพียงห้าสิบกว่าเซียะเท่านั้น หลังจากที่ถูกผ่าแสกกลางศีรษะ ว่าวสายนั้นก็สั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง ยังดีที่หลงเฉินได้ผูกเชือกติดกับเอวเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงจะร่วงลงไป
เมื่ออ้าปากกว้างก็มีควันเขม่าสีเทาลอยคลุ้งออกมา เส้นผมของเขาชี้ไปยังฟากฟ้าเบื้องบน ตลอดทั่วทั้งร่างคล้ายกับมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่นับไม่ถ้วน พลันก็รีบดูดซับพลังแห่งอัสนีบาตเข้าสู่ภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว
ทว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่หลงเฉินคิด เมื่อได้ดูดซับพลังแห่งอัสนีบาตรเหล่านั้นเข้าไป มันกลับปะทะกันภายในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีเขาคิดว่ามันจะไปรวมกับขุมพลังดั่งเดิมที่มีอยู่อย่างง่ายดาย
“หลงเฉิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ถังหว่านเอ๋อตกใจขึ้นมายกใหญ่เมื่อเห็นหลงเฉินเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนตัวว่าว
“ข้ายังอยู่ เจ้ารักษาพลังสภาวะเช่นนี้เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ข้ากำลังปรับสภาพร่างกายอยู่”
ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็เริ่มหลอมรวมพลังแห่งอัสนีบาตในทันที การหลอมรวมในตอนนี้คล้ายกับว่าพลังแห่งอัสนีบาตดั้งเดิมที่ได้จากเหร่ยเชียนซังมานั้นเป็นน้ำ ส่วนพลังแห่งอัสนีบาตที่เพิ่งจะดูดซับเข้าไปนี้เป็นน้ำมัน ทั้งสองสิ่งนี้จึงไม่อาจเข้ากันได้เลย
หลังจากที่หลอมรวมอยู่หลายสิบครั้งก็พบแต่ความล้มเหลว หลงเฉินจึงได้แต่กัดฟันแน่น แล้วหาวิธีการต่อไป เมื่อได้ลองหลอมรวมอีกครั้งหนึ่งก็พบว่ามันโจมตีเข้ามาที่พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
“มารดาเถิด”
ในเมื่อไม่อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันหรือเชื่อมต่อกันได้ หลงเฉินจึงคิดจะใช้วิธีที่บ้าบิ่นอย่างถึงที่สุดออกมา นั่นก็คือการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณโจมตีเข้าใส่พลังแห่งอัสนีบาตไม่ยั้งเช่นกัน การโจมตีของทั้งสองสิ่งเป็นไปอย่างรุนแรง พลังแห่งอัสนีบาตเองก็ต่อต้านพลังแห่งจิตวิญญาณเอาไว้อย่างไม่ยอมเลิกรา
หลงเฉินกลิ้งไปมาอยู่บนว่าวอย่างวุ่นวายเมื่อเปลี่ยนให้พลังแห่งอัสนีบาตที่รับเข้ามาโจมตีพลังแห่งอัสนีบาตที่ได้มาจากเหร่ยเชียนซังโดยตรง และทันใดนั้นเองก็สามารถหลอมพลังแห่งอัสนีบาตเข้าด้วยกันอย่างง่ายดาย
พลังแห่งอัสนีบาตที่รับเข้ามาจากฟ้าดินไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายของหลงเฉิน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พลังอัสนีบาตแต่เดิมของเขา ทว่าเมื่อเข้ามาอยู่ภายในร่างกายของหลงเฉินได้แล้วก็ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องขึ้นมาในทันที หลงเฉินจึงสามารถควบคุมมันได้อย่างอิสระ
จากนั้นหลงเฉินก็ตะโกนบอกถังหว่านเอ๋อว่า “เริ่มส่งข้าขึ้นไปได้แล้ว มาดูกันว่าสายฟ้าเหล่านั้นจะดุร้ายสักเพียงใดกัน”