บทที่ 609 อยู่ในมือ
จวี๋ซิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์
รถเฟอร์รารีสีเงินคันหนึ่งส่งเสียงคำรามมาจอดอยู่ที่หน้าประตู
ชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายแบรนด์ชั้นนำ สวมแว่นกันแดดราคาแพง จัดชายเสื้อแล้วก้าวเท้าลงมาจากรถ
เพิ่งเดินผ่านประตูบริษัท ก็มีศิลปินและพนักงานไม่น้อยทักทายตลอดทาง
“ผู้อำนวยการเหอสวัสดีครับ/ค่ะ!”
“ผู้อำนวยการเหอตอบตกลงฉันก่อนได้ไหมคะ”
สำหรับดาราแล้ว สามารถจินตนาการได้เลยว่าเบื้องหลังความสำคัญของทีมสไตล์ลิส มีดารามากมายมีทีมสไตล์ลิสที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ทำให้พวกเขามีอำนาจเหมือนเสือติดปีก
ตอนนี้เหอจวินเฉิงเป็นสไตล์ลิสที่ฮอตมากในวงการ คว้ารางวัลใหญ่สไตลล์ลิสแห่งปีในงาน SN แฟชั่นเฟสติวัลครั้งที่ผ่านมา ได้รับฉายาในวงการแฟชั่นว่าเป็น ‘สไตล์ลิสมือทอง’ เฉินเมิ่งฉีก็ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ผู้นำแฟชั่น’ แค่เสื้อผ้าที่เธอใส่ ก็จะกลายเป็นที่นิยมทันที เป็นที่ปลื้มปริ่มของร้านเสื้อผ้า เพิ่งเปิดตัวก็รับงานพรีเซนเตอร์ดีๆ ไม่น้อยเลย
เหอจวินเฉิงถือกุญแจรถเฟอร์รารี หลังได้รับคำชื่นชมจากทุกคนแล้ว ก็โดยสารลิฟท์ส่วนตัวขึ้นไปชั้นบนสุดของตึก
ในห้องเต้นที่ชั้นบนสุดของตึก
เหอจวินเฉิงเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กำลังซ้อมเต้นอยู่อย่างเงียบๆ แล้วกอดหญิงสาวจากด้านหลัง “ที่รัก…”
เฉินเมิ่งฉีอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มอ่อนหวานแล้วแกล้งทำเป็นโกรธ “อยู่ที่บริษัทนะ ระวังหน่อย”
มือของเหอจวินเฉิงอดไม่ไหวลูบคลำไปตามตัวหญิงสาว “ไม่อยู่ที่บริษัทก็ไม่ต้องระวังแล้วใช่ไหม หืม พวกเราไม่ได้…มานานแล้วนะ…”
เฉินเมิ่งฉีหายใจหอบเล็กน้อย “อย่าซนสิ รออาทิตย์นี้”
สายตาเหอจวินเฉิงเป็นประกายทันที “ได้ ผมจะรอคุณที่เดิมนะ”
เหอจวินเฉิงพูดจบก็นั่งลงบนโซฟา จุดบุหรี่ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้ว ความคืบหน้าของโครงการหัวกวงดูท่าไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร”
“เกิดอะไรขึ้นคะ” เฉินเมิ่งฉีถามทันที
“ผมได้ยินมาว่าครั้งนี้ตระกูลเยี่ยก็ร่วมประมูลด้วย…” เหอจวินเฉิงพูด
“อะไรนะ”
พูดถึงตระกูลเยี่ย สีหน้าเฉินเมิ่งฉีดูไม่ค่อยดีขึ้นมาทันที
พ่อเธอเป็นคนรับใช้ตระกูลเยี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอหลีกเลี่ยงมาตลอด
ดีที่มองแค่ผลประโยชน์ สองปีมานี้จวี๋ซิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ยิ่งพัฒนารุดหน้าขึ้น ท่าทีของคนพวกนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป
เฉินเมิ่งฉีกัดฟัน จากนั้นในแววตามีประกายขึ้นมา “แล้วยังไง ขอแค่รู้ราคาประมูลของบ้านเยี่ย โครงการหัวกวงก็อยู่ในมือแล้ว!”
เหอจวินเฉิงพูด “ความลับแบบนี้จะมีทางรู้ง่ายๆ ได้ยังไง หรือว่าพวกคุณมีคนสอดแนมอยู่ในตระกูลเยี่ยกรุ๊ป”
เฉินเมิ่งฉีพูดเสียงเบา “คุณก็บอกแล้วว่าเป็นความลับ ถึงแม้จะมีคนสอดแนม ก็ไม่สามารถเข้าถึงเอกสารลับพวกนี้ได้ แต่ว่า คุณลืมไปแล้วเหรอ ตอนนี้ใครในตระกูลเยี่ยอยู่บริษัทเรา”
“คุณหมายถึง… เยี่ยมู่ฝาน? นายนั่นเอาแต่กินเที่ยวเล่นไปวันๆ นอกจากจะแต่งตัวเป็นแล้ว ก็เป็นแมงดาไร้ประโยชน์ เขาจะทำอะไรได้” เหอจวินเฉิงแสดงสีหน้าดูถูก
“ถึงแม้ครอบครัวเยี่ยมู่ฝานจะโดนไล่ออกมา แต่ยังไงเขาก็เคยเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ย ถ้าให้เขาแอบเข้าไปสืบข่าวข้างใน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เหรอ” เฉินเมิ่งฉียิ้มอ่อน
เหอจวินเฉิงทำสีหน้าไม่ค่อยแน่ใจพูดต่อ “เยี่ยมู่ฝานจะไปทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้เหรอ ขโมยความลับทางธุรกิจ นี่ผิดกฎหมาย…”
เฉินเมิ่งฉีลูบเล็บที่ตัดแต่งอย่างประณีตของตัวเอง พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “แล้วยังไง แค่ฉันเอ่ยปาก เขาต้องไปแน่นอน!”
………………………………………………………………
บทที่ 610 ไม่เคยให้เขาแตะต้อง
เหอจวินเฉิงโอบเอวเฉินเมิ่งฉี “หึ คุณนี่เป็นปีศาจตัวน้อย สามารถทำให้เยี่ยมู่ฝานไอ้โง่นั่นหลงจนโงหัวไม่ขึ้น แน่นอนคุณพูดอะไร เขาก็ทำตาม!”
ได้ยินคำพูด มุมปากเฉินเมิ่งฉีฉีกขึ้นเล็กน้อย แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ เยี่ยมู่ฝานนั่นต้องจงรักภักดีกับเธออยู่แล้ว
เธอเชื่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองให้เขาไปตาย เยี่ยมู่ฝานก็จะทำตามโดยไม่ลังเลเลย
หึๆ ไม่รู้ว่านังชั้นต่ำเยี่ยหวันหวั่นนั่นเห็นพี่ชายตัวเองโดนเธอปั่นจนหัวหมุน ในใจจะรู้สึกยังไง
“หึๆ นายเยี่ยมู่ฝานนั่นไม่รู้จักส่องกระจกดูตัวเองบ้างเลย ยังคิดว่าคุณรักเขามากมาตลอด!” เหอจวินเฉิงยิ้มเย็นชา
ยังไม่ทันที่เฉินเมิ่งฉีจะอ้าปากพูด เหอจวินเฉินก็ซบลงไปที่หน้าอกเธอ ตามมาด้วยเสียงเฉินเมิ่งฉีร้องครวญคราง ใบหน้าแดงระเรื่อ
“แล้วเยี่ยมู่ฝานนั่นหลงใหลคุณหัวปักหัวปำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าคุณ… ให้เขาได้ลิ้มรสของหวานแล้วนะ?” เหอจวินเฉิงพูดสิ่งที่เขาคิด
“พูด… พูดบ้าอะไร…” เฉินเมิ่งฉีงอน “ฉันจะไป… จะไปชอบ… คนขี้แพ้อย่างเยี่ยมู่ฝานได้ยังไง แม้แต่มือฉัน… ยังไม่เคยให้เขาได้แตะเลย…”
“จริงเหรอ” ระหว่างพูด มือขวาของเหอจวินเฉิงก็สอดเข้าไปใต้เสื้อเฉินเมิ่งฉี
“แน่นอน! ทุกวันเห็นหน้าเขา… ฉันจะอ้วกอยู่แล้ว… ฉันทำเพื่อคุณหรอก… ฝีมือและพรสวรรค์ด้านแฟชั่นของเขา… ไม่เลวจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ ทั้งหมดเป็นของคุณ…” เฉินเมิ่งฉีพูดไป ตัวก็บิดโน้มเข้าใกล้อ้อมกอดของเหอจวินเฉิง
เหอจวินเฉินแสดงสีหน้าดูถูก “เยี่ยมู่ฝานนั่นมันเศษขยะ ได้ทำงานให้ผม ถือว่าเป็นบุญที่เขาสั่งสมมาหลายชั่วชีวิต จะแก้แค้นเขา ผมเลยทำได้แค่ปรนนิบัติหญิงที่เขารักที่สุดให้สุขสบาย…”
“คนบ้า…” เฉินเมิ่งฉีโอบคอเหอจวินเฉิง
…….
กลางดึก
ในที่สุดเยี่ยมู่ฝานก็เลิกงาน กำลังจะลงไปชั้นล่าง ตอนที่เดินผ่านพื้นที่ออฟฟิศ พบว่าไฟในห้องทำงานเฉินเมิ่งฉียังสว่างอยู่
เยี่ยมู่ฝานเดินเข้าไป เคาะประตู “เมิ่งฉี ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่กลับบ้าน?”
เฉินเมิ่งฉีสีหน้าเต็มไปด้วยอ่อนล้า “มีเรื่องนิดหน่อยต้องจัดการให้เสร็จ…”
“นี่คือ?” เยี่ยมู่ฝานมองไปที่กองเอกสารบนโต๊ะเฉินเมิ่งฉี “โครงการหัวกวง?”
“ใช่แล้ว พี่ก็รู้ เงินลงทุนโครงการนี้สำคัญกับพวกเราตระกูลเฉินมาก ถ้าครั้งนี้ผิดพลาด เกรงว่าจะไม่มีโอกาสดีแบบนี้อีกแล้ว”
“ผมว่ากำลังของหลายบริษัทที่ลงประมูลครั้งนี้ เทียบกันแล้ว ตระกูลเฉินได้ครองโครงการนี้แน่ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” เยี่ยมู่ฝานพูด
เฉินเมิ่งฉีทำหน้าสงสัยเล็กน้อย “หัวอวี่ ซิ่งต๋า ตระกูลฟางหลายบริษัทนี้สู้ตระกูลเฉินไม่ได้จริง แต่ว่าตอนนี้คู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราคือตระกูลเยี่ยกรุ๊ป…”
สายตาเยี่ยมู่ฝานมีแววประหลาดใจเล็กน้อย “อะไรนะ ตระกูลเยี่ยก็เข้าร่วมด้วยเหรอ”
“ใช่แล้ว ฉันก็เพิ่งได้ข่าวมา ตอนนี้ความสามารถของพวกเราสองฝ่ายที่เสนอรายการอื่นๆ ก็น่าจะพอกัน เหลือแค่ราคานี่แหละ ถ้าสามารถคำนวณราคาประมูลของฝ่ายตรงข้ามได้…”
เฉินเมิ่งฉีพูดไปก็ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูด “แต่ว่า ราคาของอีกฝ่ายจะไปคำนวณได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหน เพื่อโครงการนี้ พวกเราตระกูลเฉินลงทุนลงแรงไปมากมาย กลัวแค่ว่าจะไม่ชนะตระกูลเยี่ย…”
เยี่ยมู่ฝานมองดูขอบตาที่คล้ำมากของเฉินเมิงฉี รู้สึกสงสาร “ไม่ต้องกังวล ผมจะช่วยคุณไปสืบสถานการณ์ดู”
“พี่มู่ฝาน ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไร ถึงแม้ด้วยความสามารถของฉันจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็หวังว่าจะสามารถทำสุดกำลังเพื่อช่วยคุณพ่อบ้าง…” เฉินเมิ่งฉีพูดไป ก็จะลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานไปหยิบเอกสาร
………………………………………………………………