บทที่ 589 ฉันต้องการแค่คุณ
ไม่รอให้เยี่ยหวันหวั่นคิดเสร็จ ซือเยี่ยหานพูดเรื่องพวกนี้จบก็หยิบกล่องไม้อีกกล่องขึ้นมา หลังเปิดฝาออก ข้างในมีแหวนวงหนึ่งวางอยู่
แหวนวงนี้ดูล้าสมัย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มองไปแล้วดูเก่าโบราณมาก มีลายแกะสลักที่เธอมองไม่ออก
ซือเยี่ยหานลูบแหวนวงนั้นเบาๆ และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร เขาไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน
เยี่ยหวันหวั่นยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนเขา ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
ถึงอย่างไรชาติที่แล้วเขาก็ไม่เคยเอาของพวกนี้ออกมาเลย
ชาติที่แล้วมีครั้งหนึ่งเหมือนซือเยี่ยหานคิดจะพาเธอมาใต้ห้องหลังคา แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเฉินเมิ่งฉีไปฟังข่าวซุบซิบมาจากที่ไหน บอกว่าในห้องใต้หลังคามีแต่เครื่องทรมานน่ากลัว เป็นที่ที่ซือเยี่ยหานเอาไว้ใช้ทรมานคน ทำให้เธอกลัวห้องใต้หลังคาเป็นพิเศษ ไม่เคยกล้าขึ้นมา
ครั้งนั้นตอนที่ซือเยี่นหานจะพาเธอขึ้นมา ปรากฏว่าไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว แน่นอนว่าต้องไม่สำเร็จ ทั้งยังทะเลาะกันยกใหญ่ ตอนนั้นเธอคิดไปว่าซือเยี่ยหานจะทรมานเธอ…
แต่คิดไม่ถึงว่าในห้องใต้หลังคากลับไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย
ครั้งนั้นเมื่อชาติก่อน ซือเยี่ยหานพาเธอมา ก็คิดจะให้ของกับเธอเหมือนกันเหรอ?
ซือเยี่ยหานเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่ดำขลับยิ่งกว่าฟ้ากลางคืนนอกหน้าต่างมองมาที่เธอ “อำนาจที่อยู่เบื้องหลังแหวนวงนี้ เธอไม่มีทางควบคุมได้ จำไว้ รอจนตอนที่เธอมีความสามารถพอถึงจะรับช่วงต่อได้ ช่วงนี้ฉันจะพยายามสอนบางอย่างกับเธอให้มากที่สุด…”
ซือเยี่ยหานพูดจบก็ยกมือเธอขึ้นมา วางแหวนไว้บนฝ่ามือเธอ
ในอดีตและปัจจุบัน ซือเยี่ยหานไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พูดหลายสิ่งหลายอย่างในรวดเดียว
แต่ว่า เยี่ยหวันหวั่นยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล…
นี่เป็นคำพูดฝากฝังทั้งนั้น…
เป็นเพราะอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ เลยส่งมอบของพวกนี้ให้กับเธอก่อนหรือ?
เยี่ยหวันหวั่นจ้องหยกครึ่งซีกและแหวนในมือ รู้สึกเพียงว่าตรงกลางฝ่ามือร้อนผ่าวขึ้นมา หัวใจก็เต้นตุบตับจนไม่สามารถควบคุมได้
“รักษาไว้ให้ดี” ซือเยี่ยหานกำชับ สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก ราวกับว่าคำพูดตอนนี้แสนจะธรรมดา
เยี่ยหวันหวั่นกำมือ จากนั้นค่อยๆ คลายออก
จากนั้นเธอมองไปทางซือเยี่ยหาน พูดด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย “ฉันไม่ต้องการ”
ได้ยินเยี่ยหวันหวั่นปฏิเสธ คิ้วของซือเยี่ยหานขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาขึ้นมา
เยี่ยหวันหวั่นเอาแหวนและหยกแขวนวางกลับไปบนโต๊ะข้างหน้าเขา พูดด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “เชิญคุณเก็บกลับไป ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้”
ไม่คิดจะรับของของเขาเหรอ…
สีหน้าซือเยี่ยหานเคร่งขรึมขึ้นทันที แววตามืดทะมึนเล็กน้อย
นอกหน้าต่าง แสงจันทร์ค่อยๆ ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเมฆมืดทึบ ในห้องใต้หลังคา อากาศที่อบอุ่นค่อยๆ เย็นเยือกเป็นน้ำแข็งทีละน้อย
ซือเยี่ยหานนั่งเหยียดหลังตรงอยู่ตรงนั้น มองยังหยกแขวนและแหวนที่โดนเยี่ยหวันหวั่นส่งกลับมาและวางอยู่บนโต๊ะอย่างโดดเดี่ยว…
ในเวลาเดียวกันนี้ สองมือของเยี่ยหวันหวั่นดันโต๊ะหนังสือไว้ พลันโน้มตัวเข้าไป จูบลงบนริมฝีปากปากบางที่แข็งเกร็งของชายหนุ่ม…
“ฉันไม่ต้องการของพวกนี้ ฉัน…ต้องการแค่คุณ…”
จูบของหญิงสาวมาอย่างกะทันหัน รูม่านตาของซือเยี่ยหานหดตัวลงทันใด มีคลื่นอารมณ์ถาโถมเข้ามาเป็นระยะในดวงตา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ราวกับนึกไม่ถึงว่าเยี่ยหวันหวั่นจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
สายตาเยี่ยหวันหวั่นมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความจริงจังผิดปกติ เอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “ฉันต้องการแค่คุณ มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี!”
………………………………………………………………
บทที่ 590 สายตามุ่งมั่น
เหมือนซือเยี่ยหานไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ ใบหน้าเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความตะลึงและมึนงง
เวลานี้วินาทีนี้ สายตาของซือเยี่ยหานทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนผ่านช่วงเวลาที่คุ้นเคยมาอย่างน่าประหลาด หัวใจในหน้าอกเต้นรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่
ก่อนที่สมองจะตอบสนอง คำพูดก็ออกจากปากแล้ว “ฉันให้สัญญาแล้วว่าจะทำให้คุณดีขึ้น ก็จะต้องทำให้ได้! คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าจะปกป้องฉันทั้งชีวิต ฉันอยากให้คุณปกป้องฉันด้วยตัวเอง ไม่ได้ต้องการของเย็นชาไร้ชีวิตพวกนี้”
ระหว่างที่เยี่ยหวันหวั่นพูดคำเหล่านี้ สายตาก็เปลี่ยนจากสงสัยเป็นมุ่งมั่นขึ้นมาทีละน้อย…
เธอยอมรับ เงามืดในชาติที่แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกำจัดทิ้ง แต่ว่า ในเมื่อเกิดใหม่มาแล้ว เธอจะพยายามละทิ้งเรื่องในอดีตทั้งหมด เริ่มต้นดูแลคนรอบข้างใหม่ ไม่อย่างนั้นกลับมามีชีวิตใหม่ชาตินี้จะมีประโยชน์อะไร
ฉันต้องการแค่คุณ…
ฉันต้องการแค่คุณ มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี…
คำพูดของหญิงสาวทำให้ซือเยี่ยหานที่อยู่ในไฟนรกกลับมายังโลกมนุษย์ได้ จิตใจที่เย็นเยือกราวกับจุ่มลงไปท่ามกลางกระแสน้ำอุ่น
“ได้”
เขามองไปยังดวงตาที่เป็นประกายแวววาวคู่นั้น และเหมือนมองผ่านเธอกลับไปยังอดีตอันไกลโพ้น นัยน์ตาเหมือนมีคลื่นใต้ทะเลลึก
……
กลางดึก ทั้งสองคนนอนหลับพักผ่อนเงียบๆ
ภายในห้องที่เงียบสงบ จู่ๆ มือถือสำหรับติดต่องานของเยี่ยหวันหวั่นก็ดังขึ้นมา
ด้วยกลัวว่าจะปลุกซือเยี่ยหานตื่น เยี่ยหวัยหวั่นขมวดคิ้วมองหน้าจอ จากนั้นรีบปิดเสียงริงโทนแล้วรับสาย กระแอมเล็กน้อยเพื่อปรับให้เสียงทุ้มต่ำ “ฮัลโหล? กงซวี่?”
กลางดึกแบบนี้กงซวี่โทรมาหาเธอทำไม หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ทำไมโทรมาหาฉันตอนนี้ เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า” เยี่ยหวันหวั่นรีบถาม
อีกฟากของโทรศัพท์มีเสียงหนุ่มน้อยพูดลากยาวว่า “พี่เยี่ย ผมเบื่อน่ะ…”
เยี่ยหวันหวั่นเงียบไปหลายวินาที “โทรมาแค่นี้?” โทรมาหาเธอตอนดึกดื่น?
“อืม… พี่เยี่ย พี่อยู่กับแฟนหรือเปล่า… คือว่า… ผมโทรมารบกวนพี่ใช่ไหม” กงซวี่ถามด้วยความระมัดระวัง
มุมปากเยี่ยหวันหวั่นกระตุก ยอมรับไปเลยแล้วกัน “รู้แล้วยังพูดไร้สาระอีก?”
“รู้แล้วๆ” น้ำเสียงกงซวี่ตัดพ้อ “แต่ผมเบื่อจริงๆ นี่นา! พี่เยี่ย เมื่อไรพี่จะหางานให้ผม ผมว่างไม่มีอะไรทำ…”
เยี่ยหวันหวั่นลูบหน้าผาก “ที่ให้ไปเรียนคลาสการแสดงน่ะเรียนจบแล้วเหรอ”
“ยังไม่จบ…” กงซวี่รู้สึกผิด จากนั้นพูดต่ออย่างมีน้ำหนักและจริงจัง “พี่เยี่ย พี่เป็นผู้จัดการแบบนี้ไม่ได้นะ! พี่ลองคำนวณดู ช่วงนี้ไม่หางานให้ผมพี่สูญเสียรายได้ไปเท่าไร ผมรู้สึกเสียดายแทนพี่ พี่รู้ไหม”
“ขอบใจ” มุมปากเยี่ยหวันหวั่นเหยียดขึ้นเล็กน้อย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“ก็ได้ๆ เชิญพี่เยี่ยต่อเลย ผมไม่รบกวนพี่แล้ว…แล้วที่พี่รับปากว่าจะไปงานกับผมอย่าลืมมาล่ะ!” กงซวี่ใช้น้ำเสียงออดอ้อน “ถึงตอนนั้นเรียกพี่ลั่วเฉินมาด้วยก็ได้ ดีเหมือนกันจะได้รู้จักคนมากขึ้น เขาเก็บตัวเกินไป”
ลั่วเฉินเก็บตัวเกินไปจริงๆ ส่วนกงซวี่ก็สดใสเกินไป…
ถ้าสองคนนี้ทำตัวพอดีๆ หน่อยจะดีแค่ไหน?
เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจอีกรอบ “ได้ รู้แล้ว”
เยี่ยหวันหวั่นกำลังจะวางสาย กงซวี่ก็แอบส่งเสียงขึ้นมาอีก “เฮ้ พี่เยี่ยเดี๋ยวก่อน พี่จะพาแฟนพี่มาด้วยกันหรือเปล่า”
เยี่ยหวันหวั่นตอบ “ช่างเถอะ…”
กงซวี่พูด “ทำไมล่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นบอก “เธอน่าจะไม่มีเวลา” กลัวพวกเขาจะตกใจน่ะสิ
…………………………………..