บทที่ 493 ถ้าหากผมตาย
“เพราะฉะนั้น ผมจะรับผิดชอบเอง”
หลังจากซือเยี่ยหานพูดจบ ที่ประชุมที่เงียบอยู่หลายวินาทีก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นไปทั่ว
ความหมายของซือเยี่ยหานคือ…เห็นด้วยกับคำพูดของผู้หญิงคนนี้ ไม่ผ่าตัดแล้วอย่างนั้นเหรอ?
ฉับพลันนั้น สีหน้าของผู้อาวุโสทุกคนเปลี่ยนเป็นร้อนใจ…
“หัวหน้าตระกูล…นี่…ไม่ได้นะ! ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“เหลวไหลเกินไปแล้ว! เชื่อคำพูดของหมอซุน แต่กลับไปเชื่อคำพูดของผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้น่ะเหรอ?”
“หัวหน้าตระกูล ร่างกายของคุณเกี่ยวโยงถึงความเป็นความตายของตระกูล จะทำเป็นเล่นแบบนี้ได้ยังไง!”
สีหน้าของซือหมิงหรงเปลี่ยนเป็นดำคล้ำกว่าปกติทันที เดิมทีเห็นแก่หน้าหัวหน้าตระกูลกับคุณหญิงใหญ่ เขาถึงได้ให้เกียรติผู้หญิงคนนี้ ยอมให้เข้าร่วมการประชุมของตระกูล แต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ชักจะเหลวไหลเกินไปแล้ว
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของหัวหน้าตระกูล ซือหมิงหรงอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงคว้าไม้เท้าลุกขึ้นยืน “หัวหน้าตระกูล…”
ผลลัพธ์คือ ซือหมิงหรงไม่ทันได้พูดสิ่งใด สายตาของซือเยี่ยหานก็ตัดบทเขาเสียก่อน “หลังจากสามเดือน ถ้าการฟื้นฟูล้มเหลวก็ให้จัดการเรื่องผ่าตัด ถ้าหากผมตาย…”
ตาย…
ทุกคนมองซือเยี่ยหานด้วยความหวาดหวั่น
ใบหน้าหล่อเหลาปานเทวดาของซือเยี่ยหานเรียบเฉย พูดต่อไปว่า “เรื่องตระกูลซือทั้งหมด ให้จัดการตามพินัยกรรมของผม”
ได้ยินคำว่า ‘พินัยกรรม’ คำนี้ ใบหน้าของคุณหญิงใหญ่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง สีหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด เดิมทีเธอคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พูดออกไป
แม้ว่าเธอจะไม่ชอบใจกับการคิดเองเออเองของเยี่ยหวันหวั่น แต่คำพูดของเยี่ยหวันหวั่นกลับทำให้หัวใจเธอหวั่นไหว
หากบำรุงรักษาร่างกายของเจ้าเก้าจนหายดีได้ มีชีวิตอยู่ยืนยาวเหมือนคนทั่วไปคงจะดีไม่น้อย
เธอจะฝืนใจให้เจ้าเก้าทนทรมานกับอาการป่วยและการผ่าตัดในหลายปีนั้นได้อย่างไร?
แต่ว่าหากล้มเหลว…เจ้าเก้าอาจจะตายได้ทุกเมื่อ…
อารมณ์ของเยี่ยหวันหวั่นพลันวูบไหว คาดไม่ถึงว่าซือเยี่ยหานถึงขนาดเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว…
เห็นหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้ว คงไม่มีทางเปลี่ยนได้อีก สายตาที่ทุกคนมองเยี่ยหวันหวั่นล้วนอยากจะสับเธอเป็นชิ้นๆ
เฝิงอี้ผิงลุกขึ้นจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหัวใจแตกสลาย ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ฉันบอกตั้งนานแล้วว่า สักวันหัวหน้าตระกูลจะต้องตายด้วยน้ำมือผู้หญิงคนนี้! ถ้าหากรั่วซีได้เป็นนายหญิง จะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง…”
“หัวหน้าตระกูลดื้อแพ่งเชื่อคำผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้พวกเราจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”
…
เห็นปฏิกิริยาตอบรับของผู้อาวุโสทั้งหลายแล้ว ขณะที่ซือหมิงหลี่เดินผ่านเยี่ยหวันหวั่น แววตาเต็มไปด้วยความดีใจที่ได้เห็นคนอื่นเดือดร้อน
เฮอะๆ นังโง่ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าคัดค้านความคิดเห็นของผู้อาวุโสทุกคน หยุดยั้งการผ่าตัดของซือเยี่ยหาน ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาซะเลย
ถ้าหากซือเยี่ยหานเป็นอะไรไป เธอเป็นคนแรกที่จะซวย แต่ก็เบาแรงเขาไปเหมือนกัน
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ซือเยี่ยหานที่ฉลาดมาตลอดชีวิต สุดท้ายจะมาจบในกำมือนารี
ดูท่า แผนของพวกเขา ใกล้จะเริ่มได้แล้ว…
คิดอย่างนี้แล้ว ต้องขอบคุณเธอจริงๆ…
สุดทางเดินที่ไร้ผู้คน
ใบหน้าสวี่ฉางคุนเต็มไปด้วยความกังวลใจ “เรื่องวันนี้ คุณหนูเยี่ยวู่วามเกินไป…”
สีหน้าของสวี่อี้มีแต่ความกังวลอย่างหนัก “ตั้งแต่คุณหนูเยี่ยมาช่วยดูแลร่างกายของคุณชายเก้า อาการและสภาพร่างกายของคุณชายเก้าเริ่มดีขึ้นจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูเยี่ย อาการคุณชายเก้าคงจะแย่กว่าตอนนี้ซะอีก!”
“ถ้างั้น คุณหนูเยี่ยมั่นใจหรือเปล่า?” สวี่ฉางคุนซักไซ้ต่อ
สวี่อี้ส่ายศีรษะ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
เพียงแต่เขารู้สึกได้ว่า เธอไม่ได้ทำแบบนี้เพราะความวู่วาม
สวี่ฉางคุนพูดอย่างร้อนใจ “เฮ้อ…แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันดี…”
……………………………………………………………………..
บทที่ 494 เธออยากได้อะไร ฉันให้หมดทุกอย่าง
กลุ่มเมฆที่ขอบฟ้าเคลื่อนตัว สายฟ้าแลบหลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง พายุฝนกำลังจะมา
คืนนั้น ซือเยี่ยหานไข้ขึ้นสูง
ตอนแรกเป็นเพียงแค่หวัดเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไข้กลับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง บรรดาคนรับใช้ทั้งจิ่นหยวนยุ่งจนมือไม้พัลวัน หมอประจำตัวทั้งหมดก็คอยคำสั่งอยู่ด้านนอก กลัวว่าหัวหน้าตระกูลจะเป็นอะไรไป
บัดนี้ร่างกายของซือเยี่ยหานเปราะบางราวกับกระจก อาการป่วยเล็กน้อยใดๆ ล้วนเป็นไฟเผาผลาญทุกสิ่งได้
บนเตียงสีเทาอ่อนในห้องนอน ลมหายใจของซือเยี่ยหานถี่กระชั้น ใบหน้าแดงเพราะอาการป่วย
เยี่ยหวันหวั่นคอยใช้ผ้าขนหนูกับน้ำแข็งแห้งเพื่อลดอุณหภูมิ ให้เขา และใช้แอลกอฮอล์เช็ดตัวเขา
เพิ่งจะยกมือขึ้นหลังจากวางผ้าขนหนูลงไป มือของชายหนุ่มพลันยื่นมาคว้าข้อมือเธอไว้
เพราะใช้แรงมากเกินไป ข้อมือของเยี่ยหวันหวั่นพลันส่งกระแสความเจ็บปวด เหมือนกระดูกแทบจะถูกหักออก
เยี่ยหวันหวั่นขมวดคิ้ว ใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างตบหลังชายหนุ่มเบาๆ
คิ้วขมวดแน่นของชายหนุ่มถึงได้ค่อยๆ คลายออก เพียงแต่มือที่คว้าข้อมือเธอไว้ไม่ยอมคลายออกเลย…
เยี่ยหวันหวั่นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง จ้องมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ด้วยสายตาสับสน
อยู่ข้างกายซือเยี่ยหานมานานขนาดนี้ ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองเข้าใจผู้ชายคนนี้มากพอแล้ว ทว่าบางทีกลับรู้สึกว่า เธอไม่เคยเข้าใจเขาเลย
เยี่ยหวันหวั่นใช้นิ้วมือของเธอจรดริมฝีปากบางซีดขาว ค่อยๆ ลากลงมาที่ตำแหน่งหัวใจ พึมพำเหม่อลอย “ซือเยี่ยหาน…ทำไม…ทำไมถึงเชื่อฉัน?”
เยี่ยหวันหวั่นจ้องมองใบหน้าหล่อล่มเมืองของเขา หัวเราะขมขื่นพลางถอนหายใจ “คุณไม่กลัวเลยหรือว่า…ฉันจะอยากได้ชีวิตคุณขึ้นมาจริงๆ?”
คิ้วของซือเยี่ยหานขมวดเล็กน้อย ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตาลุ่มลึกราวบ่อน้ำราวกับถูกเมฆหมอกปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ขณะที่ดวงตาคู่นั้นมองเธอ ราวกับทั้งโลกที่เงียบสงัดนี้มีเพียงเธอผู้เดียว “เธออยากได้อะไร… ฉันให้หมดทุกอย่าง…”
หัวใจของเยี่ยหวันหวั่นเหมือนถูกกรงเล็บขนาดใหญ่จับไว้ กัดริมฝีปาก จ้องมองชายหนุ่มที่เพ้อเพราะพิษไข้ “ฉันไม่อยากได้ของแบบนี้หรอกนะ! คุณต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี ห้ามตาย…ได้ยินไหม?”
ชายหนุ่มหลับตาลงเพราะความเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากพึมพำเสียงเบา “อื้อ…”
เยี่ยหวันหวั่นกระชับมือแน่น “คนโกหก”
เขาตอบอย่างรวดเร็วทุกครั้ง เขาตั้งใจรับปากอย่างจริงจังบ้างหรือเปล่านะ?
…
เช้าวันถัดมา
พายุฝนสงบลงแล้ง อากาศเปลี่ยนเป็นเย็นๆ
ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมา เยี่ยหวันหวั่นพบว่าตัวเองหลับอยู่ที่ขอบเตียงของซือเยี่ยหานตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เธอสวมเพียงชุดนอนเนื้อบาง แต่ว่า กลับไม่รู้สึกหนาวอย่างประหลาด
พอหันมองรอบตัว เหมือนว่าที่พื้นพรมจะมีขนสีเงินตกอยู่หลายเส้น…
ต้าไป๋มาที่นี่เหรอ?
เวลานี้เอง เยี่ยหวันหวั่นรู้สึกถึงการขยับเล็กน้อยจากข้างกาย จึงรีบหันกลับมามองดูที่เตียง
ซือเยี่ยหานขยับนิ้วมือ คล้ายว่ากำลังจะตื่น
เยี่ยหวันหวั่นรีบยื่นมืออังหน้าผากซือเยี่ยหาน
ผ่านไปหลายวินาที สีหน้ากังวลใจของเยี่ยหวันหวั่น ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง “ยังดี…ไข้ลดลงแล้ว…”
เพิ่งจะโล่งอกไป ก็สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเสมือนท้องฟ้าหลังฝน สดใสและเย็นสบาย
“คุณตื่นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นไงบ้าง?” เยี่ยหวันหวั่นมองชายหนุ่มบนเตียง
ซือเยี่ยหานไม่ตอบอะไร เอาแต่มองมองเธอไม่ละสายตาไปไหน ราวกับยังตื่นไม่เต็มตา
เยี่ยหวันหวั่นจ้องเขา “ที่รับปากฉันเมื่อคืนนี้ ยังจำได้อยู่ไหม?”
“อะไรเหรอ?” ซือเยี่ยหานตอบเสียงแหบแห้ง
ใบหน้าเยี่ยหวันหวั่นพลันงอง้ำ รู้อยู่แล้วเชียว คำโกหกทั้งนั้นจริงๆ ด้วย…
ขณะที่เยี่ยหวันหวั่นกำลังหงุดหงิดอยู่นั้นเอง มือหนาข้างหนึ่งก็ประคองหน้าเธอเอาไว้ “จำได้สิ ฉันไม่ตายหรอก”
………………………………………