บทที่ 311 แสดงละครคลาสสิกอีกครั้ง
เมื่อลั่วเฉินเดินออกมาจากห้องแต่งหน้า สายตาทุกคนพลันเป็นประกาย
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะผมที่ยาวเกินไป ทำให้ลั่วเฉินดูมืดมนไปหมด เวลานี้ตัดเส้นผมสีดำให้สั้นลง ผมด้านหน้าก็ผ่านการจัดแต่ง เผยหน้าผากเอิบอิ่มแวววาวและดวงตาที่สวยมากคู่หนึ่ง
ไม่เหมือนพวกนั้นที่ตังใจกรีดออกมา พอล้างเครื่องสำอางแล้วก็กลายเป็นตาโตสองชั้นที่จืดชืดไร้วิญญาณอย่างชัดเจน ดวงตาของลั่วเฉินมีลักษณะเป็นวงรีเรียวยาวคล้ายหงส์ มีกลิ่นไอของความโบราณ รัศมีความโค้งของตาสองชั้นเรียบลื่นเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากบางอมชมพูเหมือนดอกซากุระ แค่เห็นก็กระตุ้นให้คนอยากจะเข้าไปจุมพิต ผิวนุ่มเนียนละเอียดจนไม่มีรูขุมขน
การแต่งกายของลั่วเฉินเป็นไปตามที่เยี่ยหวันหวั่นสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้หรูหรามากมาย ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตคลาสสิกธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง สิ่งตกแต่งเดียวที่มีคือลายปักรูปดาวห้าแฉกที่ปกเสื้อ ท่อนล่างเป็นกางเกงสีดำ
การแต่งหน้าแต่งตัวนี้สะอาดสะอ้านเรียบง่าย เพราะบุคลิกของลั่วเฉินเอง ชวนทำให้รู้สึกเย็นชาและห่างเหิน เหมือนกับเงาในความทรงจำอันงดงามสมัยเด็กที่ได้แค่มองแต่ไม่อาจสัมผัส
มิน่าละตลอดสามปีที่ผ่านมาโจวเหวินปินถึงได้ไม่ยอมลืมเสียที นิสัยของลั่วเฉินสะอาดเกินไป สำหรับวงการบันเทิงแล้วนั้น นิสัยและท่าทางแบบนี้หาได้ยากมากๆ
คงเป็นเพราะไม่ได้แต่งตัวอย่างจริงจังแบบนี้มานานแล้ว ลั่วเฉินถึงได้รู้สึกกระดากกับสายตาที่จ้องมองมาของทีมงานและเยี่ยหวันหวั่น
“พี่เยี่ย พี่ว่าเป็นยังไงบ้าง? ใช้ได้ไหม?” ช่างแต่งหน้าเอ่ยถาม
“ใช้ได้” เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า
“ที่สำคัญคือลั่วเฉินมีทุนเดิมดีอยู่แล้ว ผิวก็นุ่มอย่างน่าเหลือเชื่อ ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรกับเขาเลย” ถึงแม้คำพูดของช่างแต่งหน้าจะดูประจบเอาใจ แต่ก็จริงใจมาก
เธอแต่งหน้ามานานหลายปี มองแวบเดียวก็ดูออกแล้วว่าใครเคยผ่านมีดหมอมาก่อน ใครที่ไม่เคยผ่านมีดหมอ และใบหน้านี้ของลั่วเฉิน เธอมั่นใจว่าธรรมชาติสรรสร้างล้วนๆ
พูดด้วยใจเป็นกลาง อันที่จริงสายตาของเยี่ยไป๋ไม่เลวเลย หากดูแค่หน้าอย่างเดียว ใบหน้านี้ของลั่วเฉินมีไม่กี่คนเทียบได้ ทั้งกวงเย่าเกรงว่าจะมีแค่กงซวี่ที่พอจะเทียบเขาได้
เวลานี้เอง ช่างภาพจัดแสงไปด้วยพร้อมกับเดินเข้ามาถาม “พี่เยี่ย ไม่รู้ว่าหัวข้อการถ่ายวันนี้คืออะไรเหรอครับ?”
“อัดคลิปวีดีโอสั้นๆ ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยตอบ
เดิมทีช่างภาพคิดว่าจะถ่ายภาพโปรโมทให้ลั่วเฉิน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการถ่ายวีดีโอ จึงอดแปลกใจไม่ได้ “ถ่ายวีดีโอ? เนื้อหาคืออะไรเหรอครับ?”
ลั่วเฉินที่อยู่เงียบๆ ด้านข้างก็เหลือบมองด้วยความสงสัย
เยี่ยหวันหวั่นกดเปิดบทพูดท่อนหนึ่งในโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งไปตรงหน้าลั่วเฉิน “ยังจำบทพูดท่อนนี้ได้อยู่ไหม?”
ลั่วเฉินรับโทรศัพท์มาดูเพียงแวบเดียว ท่าทางพลันเปล่งประกายขึ้นมา…
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบทพูดในฉากหนึ่งของ “มังกรผงาด”…
จำได้สิ…
เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร…
บทพูดทุกบทในมังกรผงาด เข้าล้วนจำได้อย่างแม่นยำไม่ตกหล่นไปสักคำเดียว…
เขาชอบการแสดงจริงๆ ชอบที่จะแสดงความรู้สึกต่างๆ ในชีวิตของบทละคร
ครั้งที่แสดง “มังกรผงาด” เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด ตลอดสามปีหลังจากนั้นเขามักจะฝันถึงแต่ละภาพฉากในการแสดง ภาพเงาของคมมีดดาบ การต่อสู้กับอยุติธรรมบ่อยๆ
นั่นเป็นความทรงจำล้ำค่าเพียงหนึ่งเดียวตั้งแต่ที่เขาเข้าวงการมา
“จำได้ครับ…” ลั่วเฉินตอบอย่างเลื่อนลอย
“วันนี้พวกเราจะถ่ายท่อนนี้”
ลั่วเฉินได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันวูบไหว จะให้เขาแสดงท่อนนี้อีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?
เยี่ยหวันหวั่นไม่ชักช้า เอนกายพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็เริ่มเลยเถอะ ให้เวลานายปรับอารมณ์สามนาที”
ลั่วเฉินอึ้งไปเล็กน้อยถึงได้สติกลับมา รีบไปเริ่มเตรียมตัว ช่างภาพก็รีบจัดการเซตติ้งให้เรียบร้อย
……………………………………………
บทที่ 312 ไม่มีศรัทธาเลยสักนิด
แสงไฟถ่ายภาพพร้อมประจำที่ ลั่วเฉินก็ยืนอยู่ในเฟรมกล้อง
เยี่ยหวั่นหวันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม รอคอยอยู่อย่างเงียบๆ
เวลาเตรียมตัวสามนาทีผ่านไปเร็วมาก
เยี่ยหวั่นหวัน “ได้เวลาแล้ว”
มีแววตื่นตระหนกแวบผ่านเข้ามาในสายตาของลั่วเฉิน เขาพูดอย่างรีบเร่ง “เกิดมากลายเป็นบาป… ได้มาเกิด…เกิด…”
น่าจะเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยกับกล้อง ประโยคที่ลั่วเฉินพูดเมื่อกี้เลยติดขัดอยู่
เยี่ยหวั่นหวันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เอาใหม่”
ลั่วเฉินกำหมัดอยู่ข้างตัว สูดหายใจลึก เริ่มใหม่อีกครั้ง
“เกิดมากลายเป็นบาป… ได้มาเกิดกลายเป็นบาป… ผมกับทุกคน…”
กำลังจะท่องต่อ เยี่ยหวั่นหวันก็ขัดเขาขึ้นมา “สีหน้าแข็งเกินไป ฉันให้เธอแสดงใหม่ ไม่ใช่ให้ท่องบทใหม่”
ลั่วเฉินหน้าซีดขึ้นมา หลับตาแล้วปรับอารมณ์ จากนั้นพูดอีกครั้ง
“เกิดมา…”
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ เพิ่งพูดไปได้สองคำ เขาก็หยุดชะงัก
เลือดบนใบหน้าลั่วเฉินหดหายหมดแล้ว “ขอโทษครับ!”
สีหน้าเยี่ยหวั่นหวันไม่แสดงอารมณ์อะไร “เอาใหม่อีกครั้ง”
เพียงแต่ ครั้งที่สี่ ลั่วเฉินก็ยังหาความรู้สึกไม่ได้
ต่อมาเป็นเสียงเยี่ยหวั่นหวันตะโกนคัทไม่หยุด ลั่วเฉินถ่ายใหม่ติดต่อกันสิบกว่าครั้งก็ยังไม่ผ่าน
ครั้งที่ยี่สิบ เผชิญหน้ากับการแสดงที่ย่ำแย่ครั้งแล้วครั้งเล่าของลั่วเฉิน เยี่ยหวั่นหวันหยุดนิ้วที่เคาะบนที่เท้าแขนเก้าอี้ สีหน้าที่เกียจคร้านเวลานี้ไม่มีความอ่อนโยนเหลืออยู่แล้ว
เหมือนรับรู้ได้ว่าผู้จัดการคนนี้อารมณ์เสียสุดขีด บรรยากาศในสตูดิโอกดดันถึงขีดสุด ทุกคนต่างไม่กล้าออกเสียง
เวลานี้ลั่วเฉินที่อยู่ท่ามกลางสายตาเป็นจุดสนใจของทุกคนนั้นเหงื่อออกท่วมตัวแล้ว นิ้วมือจิกกำเป็นหมัดแน่น
เขาทำไม่ได้…
เขาทำไม่ได้อย่างที่คิดจริงๆ…
เขาที่เคยมั่นใจเวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง แต่ตอนนี้ทันทีที่เขาหันหน้าเข้ากล้องและสายตาของคนรอบข้าง ทั่วทั้งตัวก็แข็งทื่อและหนาวเหน็บขึ้นมาทันที
เยี่ยหวั่นหวันก็พบว่าท่าทีของลั่วเฉินนั้นผิดปกติ
ไม่เพียงแต่หนีกล้อง กระทั่งตัวเขาเองก็หลีกหนีด้วย
ลั่วเฉินเมื่อก่อนนั้นมีออร่าเหลือล้น ตอนอยู่ต่อหน้ากล้องนั้นมั่นใจที่สุด ราวกับว่าที่ตรงนั้นคือที่ของเขา โลกของเขา แต่ตอนนี้ สำหรับเขาแล้วกล้องนั้นเหมือนกรงขัง ทั่วทั้งตัวเขาเหมือนถูกมัดด้วยพันธนาการที่มองไม่เห็น
นอกจากนี้ เธอยังมองออกว่าลั่วเฉินรังเกียจใบหน้านี้ของตัวเองมาก มักจะเลี่ยงกล้องโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้จะพอเดาเรื่องพวกนี้ได้อยู่บ้าง แต่สภาพของลั่วเฉิน ย่ำแย่กว่าที่เธอคิดไว้เยอะเลย…
เสียง “ปัง—“ ดังขึ้นมา เยี่ยหวั่นหวันโยนกองเอกสารในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง พูดเสียงเย็นชา “ใบหน้านี้คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ เป็นสิ่งทุกคนใฝ่ฝันแต่ที่ติดตัวเธอมาโดยไม่ต้องร้องขอ เป็นพรสวรรค์ติดตัวมาเลย! เธอหลีกเลี่ยงมัน รังเกียจที่มันนำโชคร้ายมาให้เธอ? ฉันบอกเธอให้ โศกนาฏกรรมทั้งหมดของเธอไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ แต่เป็นเพราะเธอมันอ่อนแอไร้ความสามารถ!
เมิ่งเหลียงเพิ่งอายุสิบแปดก็ได้เป็นราชาหนัง เพราะแม่ป่วยหนัก เลยหายไปหกปี อายุยี่สิบสี่กลับมาอีกครั้ง ก็ยังคงได้เป็นราชาหนังอันดับสอง หลี่จงอี้แสดงเป็นนักแสดงสมทบชายมาสามสิบปีแล้ว อายุ 53 ค่อยได้เล่นเป็นพระเอกแล้วก็ดังเปรี้ยงปร้าง เฉียวเข่อซินตั้งแต่เข้าวงการมาก็โดนกลั่นแกล้งจนถึงตอนนี้ แต่กลับดังเอาๆ ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมา จนปีนี้เธอได้รับการเสนอชื่อเป็นราชินีหนังของจินหลาน ส่วนเธอก็แค่พลาดช่วงเวลาไปสามปีและไม่ได้รับความยุติธรรม เลยคิดว่าชีวิตนี้ได้จบสิ้นลงตรงนี้แล้ว?”
พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าเยี่ยหวั่นหวันเย็นชาสุดขีด “อยู่ในสถานที่อย่างวงการบันเทิงนี้ ถ้าอยากจะอยู่บนสุดสูงสุด ในอนาคตเธอยังต้องผ่านเรื่องกดดันที่ทนไม่ไหวน่ากลัวกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า ถ้าเธอยังอยู่แค่ระดับนี้ ขอโทษด้วย ฉันชวนให้เธอรีบออกไปจากวงการบันเทิงยิ่งดี ฉันจะไม่มาเสียเวลาอยู่กับศิลปินที่ไม่มีศรัทธาเลยสักนิด!”
…………………………………………..