[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก – ตอนที่ 138 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 26) / ตอนที่ 139 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 27)

ตอนที่ 138 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 26)

 

 

กงฉือติดตามหน่วยกู้ภัยขึ้นเขามาด้วย เขาคืออัลฟ่าผู้แข็งแกร่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเต็มใจทำเรื่องที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้

 

 

เขาเป็นนักศึกษาเอกธรณีวิทยา คุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยติดตามหน่วยกู้ภัยขึ้นเขามาด้วย

 

 

คนที่ขึ้นมาบนเขาส่วนใหญ่เสียชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งผู้รอดชีวิต ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นมาลาดตระเวนค้นหา

 

 

เส้นทางบนภูเขาเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เขาข้อเท้าแพลงขณะกู้ชีพจนติดตามต่อไปไม่ไหว จึงตกลงกับหน่วยกู้ภัยว่าไว้รอพวกเขาลงมาก่อนค่อยรับตัวเขาไป เพียงแต่ลมฟ้าอากาศยากจะคาดการณ์ ใครจะรู้ว่าต้องเผชิญพายุหิมะอีกระลอก เส้นทางก่อนหน้านี้ถูกกลบมิดหมดแล้ว พวกเขาจะตามหาเขาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

ตันหวายเดินเข้าไปใกล้เขา แตะข้อเท้าของกงฉือที่บวมเป่งเป็นลูกขนุนอย่างเบามือ เรียกให้กงฉือส่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วงออกมา

 

 

“เจ็บเหรอ?” ตันหวายถาม

 

 

อันที่จริงนี่เป็นคำถามไร้สาระ จะไม่เจ็บได้อย่างไร แช่แข็งอยู่ท่ามกลางหิมะจนเท้าบวมขนาดนี้ต้องทรมานสักแค่ไหนกัน

 

 

“ไม่เจ็บจริงๆ ครับ” กงฉือคลี่ยิ้ม “ผมลุกขึ้นยืนได้สบายมาก แค่รู้สึกขี้เกียจก็เลยไม่อยากลุก ถ้าคุณเป็นห่วงเดี๋ยวผมยืนให้ดูก็ได้”

 

 

พูดจบกงฉือก็เอามือยันพื้น ตั้งใจจะลุกขึ้นยืนให้เขาดูจริงๆ

 

 

ตันหวายหอบหายใจแรงขึ้น กดไหล่ของกงฉือเอาไว้แล้วดันร่างเขาลงไป ก่อนจะก้มลงประกบจูบอย่างดุดัน

 

 

กงฉือพลันอึ้งตะลึง หลับตาลงจูบตอบอย่างเร่าร้อน เลื่อนมือไปตรึงท้ายทอยของตันหวายพลางออกแรงกดเบาๆ ช่วงชิงความได้เปรียบของตนกลับคืนมา

 

 

จูบครั้งนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ถึงแม้พวกเขาจะเคยจูบดูดดื่มเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ เปี่ยมล้นไปด้วยความรักทะนุถนอมด้วยชีวิต

 

 

ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง พวกเขาอาจต้องพรากจากกันเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ นานา ดังนั้นทุกรอยจูบจึงล้วนประณีตบรรจง เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้

 

 

เมื่อจูบนี้เสร็จสิ้นลง ตันหวายก็ซบอยู่ในอ้อมกอดของกงฉือพลางหอบหายใจแฮก กล่าวว่า “ตอนพวกเรากลับไป คุณค่อยตีตราผมก็แล้วกัน”

 

 

กงฉือนิ่งอึ้งไป มือที่จับหัวไหล่ของตันหวายออกแรงบีบเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ตกลง”

 

 

สถานการณ์ที่นี่ไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขาพะเน้าพะนอกันนานนัก อันที่จริงเมื่อเห็นว่ากงฉือยังมีชีวิตอยู่ตันหวายก็พอใจแล้ว ตอนนี้เขาคิดเพียงแค่ว่าจะพากงฉือออกไปจากนรกขุมนี้อย่างไร

 

 

ตันหวาย “ระบบ ขอซื้ออุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันอีกอันหนึ่ง”

 

 

(ท่านเจ้าของร่าง ขอแจ้งให้ท่านทราบว่าอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันท่านสามารถใช้ได้คนเดียว)

 

 

ตันหวายตะลึงจนอ้าปากค้าง “อย่างอื่นล่ะ?”

 

 

(ท่านเจ้าของร่าง ประกาศภารกิจลับ นำทางกงฉือลงจากภูเขา สารภาพกับเขาว่าท่านรักเขาด้วยใจจริง)

 

 

ตันหวายขมวดคิ้ว ทำไมจู่ๆ ถึงประกาศภารกิจลับในเวลาแบบนี้ แถมยังต้องบอกให้กงฉือรู้ว่าตนรักเขาด้วยใจจริง กงฉือไม่รู้ว่าตนรักเขาอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาโดยตลอด

 

 

“คุณพูดกับใครอยู่หรือ?” กงฉือถาม เนื่องจากลุกขึ้นยืนไม่ไหวและตันหวายหันหน้าคนละทางกับเขา เขาจึงเอาแต่รู้สึกเหมือนว่าตันหวายกำลังพูดคุยกับคนอื่น

 

 

ตันหวายส่ายศีรษะ ก่อนจะหันหลังย่อตัวลงให้กงฉือ “ขึ้นมาสิ”

 

 

“ทำอะไรครับ?” กงฉือมองแผ่นหลังบอบบางตรงหน้าอย่างตะลึงงัน

 

 

“ผมจะแบกคุณลงไป”

 

 

“พูดเป็นเล่นไปได้” กงฉือขมวดคิ้ว “คุณจะแบกผมไหวได้อย่างไร ผมเป็นอัลฟ่านะ”

 

 

ตันหวายไม่เหลียวหลังมามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “นักเรียนกง คุณกำลังดูถูกโอเมก้าอยู่หรือไง?”

 

 

“เปล่าครับ” กงฉือจนปัญญา “ผมแค่ทนเห็นโอเมก้าของผมตกระกำลำบากขนาดนี้ไม่ได้ ถึงกับต้องแบกผมลงไปเอง”

 

 

เขาพูดว่าโอเมก้าของผม ช่างปลอบประโลมจิตใจของตันหวายได้ชะงัดนัก ตันหวายจึงเอ่ยอย่างค่อนข้างอารมณ์ดีว่า “ขึ้นมาเถอะนักเรียนกง ผมรอให้คุณลงเขาไปตีตราผมอยู่นะ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 139 เจ้าของร่างคือยอดชาเขียวแห่งจักรวาล (abo 27)

 

 

ตันหวายมักจะแสดงความเข้มแข็งในแบบที่โอเมก้าไม่มีอยู่เสมอ นอกจากช่วงระยะพิเศษที่อ่อนแอจนทำให้กงฉือปวดใจ ช่วงเวลาที่เหลือเมื่อกงฉืออยู่ต่อหน้าเขากลับดูเหมือนเพื่อนตัวน้อยที่ต้องคอยเอาอกเอาใจเสียมากกว่า

 

 

กงฉือเกาะอยู่บนหลังของตันหวาย พยายามจะทำตัวให้เบาที่สุด ฉะนั้นจึงคล้อยตามการเคลื่อนไหวของตันหวายอย่างว่าง่ายโดยไม่กระดุกกระดิก

 

 

เจ้าของร่างเดิมชอบออกกำลังกาย สมรรถภาพร่างกายจึงค่อนข้างแข็งแรง แม้ขณะที่แบกกงฉือจะเหนื่อยล้า แต่โชคดีที่ยังพออดทนไหว

 

 

“ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าภูเขาฉางเสวี่ยใหญ่มากจริงๆ”

 

 

ตันหวายกะพริบตาปริบ ไม่ได้โต้ตอบอะไร กล่าวเพียงว่า “นอนพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวตื่นมาพวกเราก็ออกไปได้แล้ว”

 

 

ตันหวายไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด กงฉือบอกพิกัดตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ตอนนี้อย่างคร่าวๆ กับเขาแล้ว ไม่สูงเท่าไหร่นัก หากไม่โชคร้ายถึงขนาดต้องเผชิญพายุหิมะหรือหิมะถล่มอีกหน พวกเขาก็คงจะฝ่าออกไปได้

 

 

กงฉือรับรู้ข้อนี้เช่นกัน เขาเกาะอยู่บนหลังตันหวายอย่างสบายใจ เดิมทีอยากจะชวนตันหวายคุยมากกว่านี้ แต่กลับเผลอม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

ภูเขาหิมะหนาวเย็นจริงๆ มันสามารถทำให้คนมากมายต้องฝังกระดูกไว้ที่นี่ ทำให้คนคนหนึ่งต้องแข็งตายทั้งเป็น

 

 

ตอนที่กงฉือสะลึมสะลือเบิกตาขึ้นก็มองเห็นแต่เพียงสีขาว ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวว่าอยู่ในห้องพักผู้ป่วย

 

 

ศาสตราจารย์นั่งอยู่ข้างๆ กงฉือ หมุนมวนบุหรี่ที่ไม่ได้จุดไฟในมือเล่นอย่างอารมณ์ดี

 

 

พอเห็นกงฉือตื่นแล้ว ศาสตราจารย์ก็วางมือที่ถือบุหรี่ไว้ด้านข้าง เอ่ยขึ้นเบาๆ “ตื่นแล้วหรือ?”

 

 

กงฉือเม้มริมฝีปาก พยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง “ฮั่วหมิงเยว่อยู่ที่ไหนครับ?”

 

 

“แกหมายถึงโอเมก้าที่แบกแกกลับมา?” ศาสตราจารย์ยิ้มกริ่มกล่าว “เขาเป็นโอเมก้าของแกหรือ?”

 

 

ตันหวายไม่เอ่ยตอบ ก่อนจะฉวยเอามวนบุหรี่จากมือศาสตราจารย์เหวี่ยงทิ้งลงในถังขยะ

 

 

“ไอ้เด็กเปรตนี่!” ศาสตราจารย์เป่าหนวดถลึงตาใส่เขา “ฉันไม่สูบแกยังจะแย่งบุหรี่ฉันไปอีก!”

 

 

กงฉือเอามือนวดหว่างคิ้ว ถามอย่างมีน้ำอดน้ำทน “ฮั่วหมิงเยว่ไปไหนแล้วครับ?”

 

 

ศาสตราจารย์หัวเราะหึๆ ก่อนผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยันไม้เท้าเดินกะโผลกกะเผลกออกไปข้างนอก

 

 

“อาจารย์!” ตันหวายตื่นตกใจ รีบก้าวลงมาจากเตียงแล้ววิ่งไล่ตามศาสตราจารย์ จนกระทั่งประคองแขนเขาไว้ได้จึงค่อยผ่อนลมหายใจ ขมวดคิ้วกล่าว “อาจารย์ขายังไม่หายดี ทำไมถึงเดินเหินอีกล่ะครับ”

 

 

ศาสตราจารย์โบกมือไปมา กล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ฉันแข้งขายังไม่หายดี แต่ก็ต้องออกกำลังเสียบ้าง แกว่าถ้าฉันไม่ออกกำลังจะไม่พิการไปก่อนหรือไง?”

 

 

กงฉือพยักหน้าโดยไม่กล่าวตอบ แต่กลับประคองศาสตราจารย์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น

 

 

ภายในโถงทางเดินของโรงพยาบาลมีผู้คนขวักไขว่ ทว่ากลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ผู้คนข้างในนี้ดูท่าทางเร่งรีบ หน้าตาไม่ฉายแววห่อเ**่ยวก็ฉายแววกังวล และมีอีกหลายคนที่สีหน้าเบื่อหน่ายอย่างสุดซึ้ง

 

 

“จริงสิ แกอยากหาเจ้าโอเมก้าน้อยที่แบกแกกลับมาไม่ใช่หรือ” ศาสตราจารย์ชี้ไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างกงฉือ ยิ้มกล่าว “หน่วยกู้ภัยเจอตัวพวกแกระหว่างทาง เจ้าโอเมก้าน้อยอาการทรุดหนักไปแล้ว โชคดีว่าเจอตัวพวกแกทันเวลา ไม่อย่างนั้นแกกับเจ้าโอเมก้าน้อยนั่นคงไม่รอดแล้ว”

 

 

“เขาชื่อฮั่วหมิงเยว่ครับ” กงฉือเอ่ยขึ้นทันควัน

 

 

“ฮั่วหมิงเยว่?” ศาสตราจารย์หัวเราะ “ชื่อนี้ฟังคุ้นหูดีแท้”

 

 

กงฉือตอบรับเสียงแผ่วเบาโดยไม่กล่าวอะไร

 

 

กงฉือพาศาสตราจารย์มาส่งถึงห้องโถงรับรอง พอทักทายรุ่นพี่ทุกคนเสร็จแล้วก็รีบกระวีกระวาดย้อนกลับไปทันที

 

 

“อ้าว เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอไอ้น้อง จะรีบไปทำอะไรกันเล่า?”

 

 

กงฉือชะงักไปชั่วครู่ ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง

 

 

ศาสตราจารย์ยิ้มพลางโบกมือไปมา “พวกแกอย่าแหย่เขานักเลย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาคงได้อดแต่งเมียเข้าจริงๆ”

 

 

_________

 

 

ห้องพักผู้ป่วยเป็นห้องแยกส่วนตัว ข้างในกว้างขวางแต่มีเพียงแค่เตียงเดียว ตันหวายนอนเอามือกุมหัวอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้นจ้องมองเพดานห้อง กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่ากงฉือตื่นแล้วหรือยัง?”

 

 

ระบบหัวเราะเหอะๆ (ท่านไปดูเองเสียก็สิ้นเรื่องไม่ใช่หรือ?)

 

 

“คุณคิดว่าผมไม่อยากไปดูหรือไง?” ตันหวายเบ้ปาก “ผมเพิ่งเห็นอาจารย์ของเขาไปเยี่ยมไข้เขาเมื่อกี้นี้ ในเมื่อผู้ใหญ่เข้าไปแล้ว ผมเลยไม่เข้าไปยุ่มย่ามดีกว่า”

 

 

(ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ท่านรู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อยกับเขาด้วย?)

 

 

“ไสหัวไปซะ!” ตันหวายฮึดฮัด คิดว่าระบบของตนหากไม่ชวนทะเลาะสักวันคงจะลงแดงตายจริงๆ

 

 

กงฉือยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าประตูห้อง ไม่รู้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามักจะเห็นว่าฮั่วหมิงเยว่พูดพึมพำกับตัวเอง ราวกับมีใครคุยตอบโต้กับเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ชิ้นส่วนความฝันมากมายนับไม่ถ้วนผุดวาบขึ้นในหัว แต่ทำอย่างไรกงฉือก็นึกไม่ออกว่าเคยมีภาพตอนเขาพึมพำกับตัวเองหรือเปล่า

 

 

เมื่อครุ่นคิดดูแล้วพบว่าตนเองคิดไม่ออก กงฉือก็ไม่ได้ดันทุรัง ก่อนจะเคาะประตูเดินเข้าไปในห้อง

 

 

ตันหวายปิดปากเงียบทันควัน พอเห็นว่าเป็นกงฉือก็พลันดีอกดีใจ ดีดตัวลุกพรวดลงจากเตียง สาวเท้าเดินไปอยู่ตรงหน้ากงฉือพลางจับมือเขาไว้ กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ตื่นแล้วเหรอ ผมว่าจะไปเยี่ยมคุณอยู่พอดีเลย”

 

 

กงฉือกระดกมุมปาก ข่มใจตัวเองไม่ให้ยิ้มกว้างจนปากฉีกถึงใบหู แสร้งวางมาดนิ่งขรึมตอบว่า “อืม”

 

 

ตันหวายกลอกตาทีหนึ่ง คิดว่าเพื่อนตัวน้อยของตนแสดงละครเก่งเสียจริง เห็นชัดๆ อยู่ว่ายิ้มจนแก้มแทบปริแล้ว กลับยังแกล้งตีหน้าขรึมอย่างนั้นอยู่อีก

 

 

ตันหวายบีบแก้มของกงฉือ เงยหน้าขึ้นหอมแก้มเขาทีหนึ่งแล้วยิ้มกริ่มถาม “เจ้าหนู เมื่อไหร่คุณจะตีตราผมสักทีล่ะ?”

 

 

พอสิ้นเสียงกล่าว ตันหวายก็เห็นเจ้าหนูน้อยแสนนิ่งขรึมของเขาหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันใด

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

ตันหวาย นักศึกษาคณะศิลปะที่ประสบอุบัติเหตุรถชนเพราะช่วยชีวิต ไป๋เยว่ รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบให้พ้นจากอันตรายจนตัวเองตายแทน วิญญาณจึงทะลุมิติมาอยู่ในระบบ H3883 ซึ่งบีบให้เขาต้องออกเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อสวมร่างผู้อื่น และทำภารกิจเพื่อสะสางความแค้นและทำความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิมให้เป็นจริง ในชาติแรกมาเขาทะลุมิติมาอยู่ร่างบุตรชายอัครเสนาบดี ชาติที่สองเป็นเรื่องระหว่างภูติกระต่ายและภูติจิ้งจอก ชาติที่สาม ตันหวายมาอยู่ในร่างดาราหนุ่มแห่งโลกโอเมก้าเวิร์ส และในชาติสุดท้ายต้องมาย้ายอยู่ในร่างประมุขสำนักเซียนที่ต้องทำภารกิจคลายปมในใจของศิษย์น้อย หากทำสำเร็จ เขาก็จะฟื้นคืนชีพกลับไปโลกเดิมได้ แต่หากไม่สำเร็จ เขาจะต้องกลายเป็นระบบแทนและติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!

Options

not work with dark mode
Reset