ตอนที่ 72 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (41)
<เล่ห์ขุนพล> ใช้เวลาถ่ายทำประมาณครึ่งปี เริ่นตงหลิวจึงหมักน้ำส้มสายชู[1]ได้ประมาณสองโอ่งใหญ่แล้ว
ในงานเลี้ยงปิดกล้อง ตันหวายกินไม่เยอะเท่าไหร่ และไม่ให้เริ่นตงหลิวกินมากนัก เพราะเขาตั้งใจจะเอาน้ำส้มสายชูที่เริ่นตงหลิวหมักบ่มไว้เนิ่นนานมาจิ้มกินกับเกี๊ยวให้หนำใจ
ตอนที่ออกมาจากโรงแรมเพิ่งจะหนึ่งทุ่ม ตันหวายลากเริ่นคงหลิวให้พาไปซุปเปอร์มาร์เกตฝั่งตรงข้ามกับคอนโด
“คุณทำกับข้าวเป็นด้วย?” เริ่นตงหลิวมองตันหวายเลือกผักสดอย่างประหลาดใจ สายตาเต็มไปด้วยแววเหลือเชื่อ
“ไม่เป็น” ตันหวายอุ้มหัวไชเท้าพลางตอบอย่างเด็ดขาดชัดเจน “แต่ผมห่อเกี๋ยวเป็นนะ”
อันที่จริงเขาไม่สนใจเรื่องการทำอาหาร ภายหลังได้มารู้จักกับไป๋เยว่ ได้ยินว่าไป๋เยวี่ยชอบกินเกี๊ยวเป็นพิเศษ เขาก็เลยไปลงเรียนบ้าง
ต่อจากนั้นมา เขารู้สึกว่าการห่อเกี๋ยวมันสนุกดี ทุกครั้งที่ไม่อยากสั่งอาหารจากข้างนอกก็มักจะห่อเกี๊ยวเอง คนทั้งหอพักพวกเขาล้วนได้เกี๊ยวที่เขาห่อกินประทังชีวิตกันทั้งนั้น
เริ่นตงหลิวกลับไม่ได้ผิดหวังเพราะเขาทำอย่างอื่นไม่เป็น ถึงอย่างไร ตันหวายห่อเกี๊ยวได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างไม่คาดฝันแล้ว
ทั้งคู่เลือกซื้อผักสดกลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว ตันหวายก็ห่อเกี๊ยวไปพลางคุยเล่นกับเริ่นตงหลิวไปพลาง
เริ่นตงหลิวห่อเกี๊ยวไม่เป็น และช่วยอะไรไม่ได้มากนัก จึงได้แต่คุยแก้เบื่อเป็นเพื่อนตันหวาย
ตันหวายห่อเกี๊ยวตัวเล็กน่ารักชิ้นแล้วชิ้นเล่าจนเสร็จ ตั้งใจพับเป็นรูปรวงข้าวสาลีจิ๋วโดยเฉพาะ
ยกหม้อขึ้นมาต้มน้ำ ขณะที่ตันหวายกำลังจะหันตัวก็ถูกกอดเอวเอาไว้จากด้านหลัง
สูดหายใจเข้าปอดแรงๆ ตรงซอกคอของตันหวาย เริ่นตงหลิวกระซิบกล่าว “เมื่อวานผมฝันร้ายทั้งคืน ฝันเห็นคุณหายตัวไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีแม้กระทั่งคำบอกลากับผม”
ตันหวายมือสั่นระริก ถูกเริ่นตงหลิวกอดไว้ในอ้อมแขนโดยไม่พูดจา กล่าวกันในบางความหมาย ความฝันของเริ่นตงหลิวอาจจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาบรรลุภารกิจแล้วอันตรธานหายไป
เขาไม่รู้ว่าเริ่นตงหลิวจะติดตามตนไปยังอีกโลกเหมือนกับจวินเฉิงหรือเปล่า และไม่รู้ด้วยว่าเขาจะใช้ชีวิตนี้จนหมดลมหายใจแล้วค่อยตามไปหาเขา หรือว่าไปพร้อมกันกับเขา หวังว่าจะเป็นอย่างหลังนะ ตันหวายคิด อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะเขาหายไปจากชีวิต
ข้างใบหูเป็นเสียงลมหายใจที่หนักหน่วงขึ้นทุกที น้ำยังไม่ทันต้มเดือด ตันหวายจึงเอื้อมไปตบมือของเริ่นตงหลิวเบาๆ เป็นเชิงให้เขาปล่อยตนออกก่อน
ตันหวาย “ในมือผมมีแต่แป้ง ขอผมไปห้องน้ำหน่อยได้ไหม?”
เริ่นตงหลิวตอบอืมคำหนึ่ง ก่อนปล่อยมือออกอย่างช้าๆ
ตันหวายเดินเข้าไปในห้องน้ำ มองดูตนเองในกระจกอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ใบหน้าข้างในนั้นแลดูงดงาม แต่อาจเป็นเพราะความคล้ายคลึงกัน ข้างในนั้นถึงกับสามารถมองเห็นเงาของใบหน้าตนเอง
ตันหวายพลันฉุกคิด อันที่จริงการอยู่กับเริ่นตงหลิวไปตลอดชีวิตเช่นนี้ มันก็คงจะดีมากเหมือนกัน
“ระบบ” ตันหวายเอ่ยถาม “กำหนดเวลาภารกิจคือตราบเท่าที่ยังมีชีวิต ถ้าอย่างนั้นผมถ่วงเวลาไปอีกสักสองสามปีได้หรือเปล่า?”
(ท่านเจ้าของร่าง) ระบบจนปัญญา (คุณควรรู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่นับวันยิ่งลดน้อยถอยลง ยิ่งถ่วงเวลานานเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น คุณไม่อยากกลับโลกของคุณหรือ? ที่นั่นยังมีใครอีกหลายคนรอคุณอยู่นะ)
ตันหวายตะลึงงัน อดยิ้มเจื่อนออกมาไม่ได้ จริงสิ เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย โลกของเขายังมีคนอีกหลายคนรอเขาอยู่
(ท่านเจ้าของร่าง เราหวังว่าพวกท่านจะบรรลุภารกิจกลับไปโดยปลอดภัย)
นี่เป็นครั้งแรกที่ตันหวายได้ยินคำพูดที่จริงจังขนาดนี้จากระบบ
ตันหวาย “ผมเข้าใจแล้ว”
ระบบผ่อนลมหายใจ เข้าใจก็ดีแล้ว โลกไม่ว่าสำหรับเจ้าของร่างหรือระบบก็ล้วนเป็นเพียงผู้ผ่านมาเยือน ในเมื่อเป้าหมายของการเข้าสู่ระบบคือฟื้นคืนชีพ ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะเดินตรงไปยังเป้าหมาย ไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยเรื่องใดทั้งนั้น
ตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากหลิวหลิว ตันหวายกำลังนอนลูบพุงอยู่บนโซฟา ส่วนเริ่นตงหลิวกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัว คนหนึ่งทำอาหาร อีกคนหนึ่งล้างจาน ช่างเข้ากันได้ดียิ่งนัก
เมื่อตอนค่ำกินเยอะไปหน่อย ตอนตันหวายรับสายจึงยังคงเรออยู่
“เอ่อะ~มีเรื่อง~เอ่อะอะไร? ”
หลิวหลิวได้ยินเสียงเรอจากทางนี้ก็แทบจะเข่าทรุด นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว เขายังมีอารมณ์ไปกินที่นั่นอีกหรือ?
หลิวหลิวเปิดประเด็นด้วยประโยคเดียว “พ่อเจ้าประคุณ นายรู้หรือเปล่าว่าถูกแอบถ่ายน่ะ!”
——
[1] หมายถึงความหึงหวง
ตอนที่ 73 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (42)
ตันหวายย่อมไม่รู้ว่าตนเองถูกแอบถ่าย หากเขารู้ว่าตนเองถูกแอบถ่าย ก็คงไม่นั่งกินเกี๊ยวสบายใจเฉิบอย่างนี้
เหลือบมองไปทางห้องครัวแวบหนึ่ง ตันหวายค่อยๆ ยืดตัวนั่งตรง กล่าวเสียงขรึมว่า “เล่ามาให้หมด”
“เล่าไม่หมดหรอก เดี๋ยวฉันส่งรูปไปให้นาย นายเข้าวีแชทไปดูเองเถอะ อย่าเข้าเวยป๋อเด็ดขาด!” หลิวหลิวกำชับอย่างไม่ไว้ใจ “ไม่ต้องเครียดล่ะ”
ตันหวายส่งเสียงอืมแล้ววางสายโทรศัพท์
โทรศัพท์มือถือสั่นต่อเนื่องกันหลายครั้ง ตันหวายรู้ว่าเป็นข่าวที่หลิวหลิวส่งมาให้กับเขา
มือขวาลูบฝาหลังของมือถืออย่างแผ่วเบา ตันหวายสูดหายใจลึก ก่อนจะกดเปิดวีแชท
สายตาจับจ้องอยู่ที่รูปภาพหลายรูปในห้องแชทของวีแชท ตันหวายผ่อนลมหายใจ หัวใจพลันสงบนิ่งลงอย่างบอกไม่ถูก
ในรูปภาพมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน กำลังจูงมือกับผู้ชายตัวสูงใหญ่อีกคนเดินซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่ไม่ต้องอธิบายให้มากความ พยานรู้เห็นต่างก็ดูกันออก หากขืนดึงดันบอกว่าเป็นความสัมพันธ์พี่น้อง นั่นเท่ากับมองสาธารณชนเป็นคนโง่โดยถ้วนหน้า
เริ่นตงหลิวล้างมือเสร็จออกมาก็มองเห็นตันหวายนั่งเหม่ออยู่บนโซฟา จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปโอบเขาไว้ในอ้อมแขน ยิ้มกล่าว “ใจลอยไปถึงไหนกัน?”
กลิ่นเปปเปอร์มินต์จางๆ โชยมาปะทะใบหน้า ตันหวายกะพริบตาปริบ พลิกมือโอบเริ่นตงหลิวกลับบ้าง กลายเป็นท่าโอบกันและกันที่ดูงี่เง่าเป็นอย่างยิ่ง
เริ่นตงหลิวกระตุกมุมปาก รู้ว่าตอนนี้ภรรยาของตนถูกแนวคิด ‘ชายเป็นใหญ่’ เข้าครอบงำอีกแล้ว
“เริ่นตงหลิว?”
“หืม” เริ่นตงหลิวยิ้ม ก้มลงหอมกลุ่มผมนุ่มของตันหวายทีหนึ่ง “ที่รักเป็นอะไรไปครับ?”
“พวกเราเปิดตัวกันเถอะ” ตันหวายเอ่ยขึ้นกะทันหัน
เริ่นตงหลิวชะงักไป ก้มลงมองมือถือที่ตันหวายกำเอาไว้ในมือราวกับสังหรณ์ใจบางอย่าง
เริ่นตงหลิว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ว่าพลางเอื้อมไปหยิบมือถือของตันหวาย
ตันหวายไม่ได้ห้ามปรามเขา หลับตาลงเอบซบกับร่างของเริ่นตงหลิวอย่างเหนื่อยล้า
เวลานี้เขารู้สึกค่อนข้างสับสนจริงๆ เขามาที่นี่เพื่อช่วยให้เยี่ยชิวบรรลุความปรารถนาไม่ใช่หรือ? เขาต้องหาแฟนหนุ่มที่เหนือกว่าสุยยางสิบเท่า และต้องได้เป็นราชาแห่งวงการภาพยนตร์ แต่ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงยุ่งอีรุงตังนังไปหมด?
เริ่นตงหลิวเลื่อนดูจอมือถือของตันหวาย สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ พอเปิดเวยป๋อ หัวข้อ ‘เยี่ยชิวชอบผู้ชาย’ ก็ติดอันดับหนึ่งคำค้นหายอดฮิตเรียบร้อยแล้ว
ถือโอกาสเปิดดูข่าวสารจากหลายๆ แอคเคาท์ใหญ่ เริ่นตงหลิวพบว่ารูปภาพในนี้ล้วนมีจุดเด่นอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเห็นแต่ใบหน้าของตันหวาย ใบหน้าของเขาไม่ได้ถูกถ่ายไว้เพราะว่าติดมุมกล้อง
ปาปารัสซี่ธรรมดาคนหนึ่ง ทำไมถึงได้ปล่อยข่าวความรักระหว่างนักแสดงหนุ่มชื่อดังกับผู้กำกับที่จะกลายเป็นกระแสร้อนแรงอย่างแน่นอนให้หลุดมือไป จงใจตัดภาพเขาออก พูดได้อย่างเดียวว่ามีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และคนผู้นั้นเป็นใครไม่ต้องบอกก็รู้
วางโทรศัพท์มือถือลง เริ่นตงหลิวสบตากับตันหวาย กล่าวอย่างใจเย็นว่า “คุณอยากเปิดเผยไหม? ถ้าหากคุณอยาก ผมจะเปิดเผยเดี๋ยวนี้เลย”
ตันหวายจ้องมองเขาไม่พูดไม่จา ราวกับตกอยู่ในสภาวะขัดแย้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“แต่คุณต้องคิดให้ดี” เริ่นตงหลิวชะงักครู่หนึ่ง “คุณต้องทนรับคำสบประมาทต่อต้านมากมาย อาจถูกกดดันจากพวกนักลงทุนกับสปอนเซอร์ทั้งหลายด้วย”
ตันหวายช้อนตามอง “แล้วผมจะยังเล่นหนังได้ไหม?”
เริ่นตงหลิวกอดเขาไว้ในอ้อมแขน ประทับจูบลงบนริมฝีปากของเขา “ได้สิ ตราบใดที่ผมยังอยู่ คุณจะมีหนังให้เล่นตลอดไป”
ตันหวายหัวเราะโดยไม่ออกเสียงพลางส่ายศีรษะ
“ช่างมันไปเถอะ” ตันหวายวาดแขนคล้องรอบลำคอของเขาไว้ “ไม่หาเรื่องกวนใจคุณแล้วดีกว่า ผมก็แค่เสียอารมณ์ คุณเอาใจผมหน่อยได้หรือเปล่า?”
น้ำเสียงของตันหวายแจ่มใสแบบเด็กหนุ่ม ทว่าเริ่นตงหลิวเอาแต่ได้ยินแววออดอ้อนที่แฝงอยู่ในนั้น
“คุณอยากให้ผมเอาใจยังไง?” เริ่นตงหลิวอุ้มตัวเขาขึ้นมา ลูกกระเดือกกลิ้งขลุกโดยไม่ตั้งใจ
ตันหวายหลิ่วตา รอยยิ้มผุดพรายอย่างได้ใจ ก่อนเอื้อมมือไปจับคางเริ่นตงหลิวเชยขึ้น พินิจพิจารณาเขาด้วยสายตาไม่หวังดี “ให้ผมขึ้นข้างบนสักครั้งนะ?”
พูดด้วยน้ำใสใจจริง แต่ก่อนเขาไม่เคยสนเรื่องรุกรับอะไรพวกนี้เลยจริงๆ นะ! แต่ใครใช้ให้เริ่นตงหลิวเล่นไม่ซื่อแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือแบบนี้ล่ะ! ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ทนอีกแล้ว
เริ่นตงหลิวกวาดมองใบหน้าแดงระเรื่อของตันหวาย ก่อนตอบอืมออกมาเบาๆ