ตอนที่ 64 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (33)
สำหรับคำถามของตันหวาย เริ่นตงหลิวไม่ได้กล่าวตอบ
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? จะเป็นใครได้อีกล่ะ แน่นอนว่าต้องเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่พ่อเฒ่าสติเลอะเลือนของเขาหามาให้เขาน่ะสิ
ผู้หญิงประเภทคล้ายๆ กันเขาเจอมาไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว ล้วนแต่เป็นลูกคุณหนูที่มักบังเอิญพบเขาตามสถานที่ต่างๆ ทว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจกับคนพวกนี้ ตัวเขาเองสามารถรับมือได้สบาย
อันที่จริงตันหวายทายได้ใกล้เคียงทีเดียว เห็นเริ่นตงหลิวไม่มีความคิดอยากจะบอก ตันหวายก็รู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
เริ่นตงหลิวลูบผมเขาพลางกล่าวเสียงเบา “ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว ผมจะพูดให้กระจ่าง”
ตันหวายขานรับคำหนึ่ง อารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากอย่างเห็นได้ชัด
เริ่นตงหลิวพาตันหวายขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ก่อนเริ่นตงหลิวจะกล่าวกำชับอย่างไม่วางใจ “เดี๋ยวเดินตามอยู่ข้างหลังผมนะ พวกเขาพูดอะไรคุณก็ไม่ต้องใส่ใจ ได้ยินหรือเปล่า?”
ตันหวายเลิกคิ้ว ไม่ตอบตกลงหรือไม่ตกลง
ตอนแรกนึกว่าชั้นดาดฟ้าจะมีอุปสรรคใหญ่หลวงอะไรรอคอยพวกเขาอยู่ ตันหวายให้กำลังใจตัวเองมาตลอดทาง จนกระทั่งลิฟต์เปิดออกที่ชั้นบนสุด ตันหวายก็มองเห็นซีหร่านที่แทบจะคุกเข่าอยู่นอกประตูอย่างน่าเวทนา ถึงค่อยรู้ซึ้งว่าการกระทำของตนเมื่อครู่มันงี่เง่าขนาดไหน!
ลู่ซีหร่านหันหลังมามองพวกเขาพลางกะพริบตาปริบ ก่อนจะยืดตัวตรงด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง หวังจะกู้คืนศักดิ์ศรีเกือบจะไม่มีเหลือของตนกลับมา
เริ่นตงหลิวเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่านายอย่ามาทำตัวน่าขายหน้าที่นี่
ถลึงตาใส่เริ่นตงหลิวอย่างเดือดดาล ลู่ซีหร่านกระแอมในลำคอ แล้วร้องตะโกนไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท “เมียจ๋า พี่พาพี่สะใภ้กลับมาแล้ว!!!”
เมียจ๋า?
ตันหวายตกตะลึง หันหน้าไปซักถามเริ่นตงหลิว “เขาแต่งงานแล้ว? เขาไม่ได้เป็น…”
ตันหวายพูดไม่จบ เพราะว่าภรรยาเขาเองก็ดูสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก เขามีลางสังหรณ์ว่าหากเขาพูดต่อไป ย่อมไม่เกิดผลดีอะไรอย่างแน่นอน
กลอนประตูส่งเสียงลั่นเปิด ผู้หญิงหน้าตาเหมือนเริ่นตงหลิวสักห้าส่วนคนหนึ่งโผออกมาจากข้างใน
มองดูแล้วหญิงสาวน่าจะสูงประมาณร้อยห้าสิบร้อยหกสิบ บนตัวสวมชุดราตรีสั้นกรอมเข่า จะหน้าบึ้งหรือหน้ายิ้มล้วนดูมีสง่าราศี
เริ่นหร่านวิ่งเข้ามาพินิจมองตันหวายตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “หล่อจังเลย! หล่อกว่าในทีวีซะอีกแน่ะ!”
ตันหวายกระอักกระอ่วน เอามือลูบจมูกพลางหัวเราะ ไม่ได้กล่าวอะไร
เริ่นตงหลิวเห็นว่าเป็นเริ่นหร่านสีหน้าก็ผ่อนคลายลง สายตามองไปยังประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิทด้านใน เอ่ยขึ้นเสียงเย็นว่า “ฝากเธอบอกเขาที ให้เขาเพลาๆ ลูกไม้แบบนี้ลงบ้าง”
เสียงขว้างปาข้าวของอย่างกราดเกรี้ยวพลันดังลั่นมาจากห้องข้างใน
เริ่นหร่านแลบลิ้นล้อเลียน หน้าตามีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “เรื่องที่พี่ก่อไว้ในห้องโถงรู้ถึงหูเขาหมดแล้ว โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแทบตาย”
เริ่นตงหลิวไม่แสดงความเห็นอะไร เหลือบมองลู่ซีหร่านแล้วกล่าว “เธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ทีหลังแผลงฤทธิ์ให้น้อยหน่อย นอกจากเขาใครจะทนเธอไหว”
ตันหวายถลึงตา มองไปทางเริ่นตงหลิวอย่างไม่พอใจ สาวน้อยน่ารักขนาดนี้นายกลับดุว่าเธอแผลงฤทธิ์ได้ไงกัน!
เริ่นตงหลิวเมินท่าทางไม่พอใจของตันหวาย ก่อนจะลากเขาออกมาจากโรงแรม
หลังจากเรื่องนี้ ตันหวายก็พอจะเดาออกได้ใกล้เคียงถึงนัยยะแท้จริงของงานเลี้ยง เขาก็ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงมีคนเชิญดาราหางแถวตกกระป๋องอย่างเขาไปงานเลี้ยงแบบนี้ ที่แท้พวกเศรษฐีขี้เมาไม่ได้สนใจเหล้าเสียด้วยซ้ำ
คาดว่าเป็นเพราะพ่อของเริ่นตงหลิวเพิ่งจะรู้ว่าลูกชายของตนเบี่ยงเบนไปแล้ว ดังนั้นจึงคิดบีบบังคับหาคู่หมั้นให้กับเขา
ตันหวายครุ่นคิดสักครู่ หนึ่งล้านกับภรรยาของตน ภรรยาย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นห้าล้านล่ะก็นะ…จุ๊ๆ ช่างเถอะ ยังไงภรรยาก็สำคัญกว่าอยู่ดี
ตันหวายขึ้นนั่งรถของเริ่นตงหลิว รู้สึกเหมือนตนลืมอะไรไปสักอย่าง ยังไม่ทันนึกขึ้นมาได้ วีแชทก็ส่งเสียงแจ้งเตือน
[อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรีเพิ่งเพิ่มคุณเป็นเพื่อน]
ตันหวายงงๆ ไอ้นี่ใคร? อัจฉริยะคนแรกแห่งโลกดนตรีไรของมัน!
เปิดดูภาพโปรไฟล์ของคนคนนี้ พอเห็นรูปถ่ายสติ๊กเกอร์เซลฟี่แบบสวมแว่นตาดำเก๊กหล่อ ตันหวายก็หมดคำพูด เขาคิดว่าลู่ซีหร่านโคตรจะขี้อ่อยเลยจริงๆ
เมื่อกดปุ่มเพิ่มเพื่อน อีกฝั่งก็ส่งข้อความมาทันที
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรี : [ฮ่าๆ ขอโทษทีนะ ก่อนหน้านี้ผมบล็อกคุณไป ผมนึกว่าเป็นแฟนคลับคู่จิ้นซะอีก (หน้าเขินอาย)]
พอตันหวายนึกถึงข้อความที่ตนเคยส่งไปครั้งนั้น ก็พลันนึกอยากแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด
ตอนที่ 65 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (34)
พอภรรยาของตนมาด้อมๆ มองๆ มือถือก็เกิดอาการหน้าแดงกะทันหัน เริ่นตงหลิวสนอกสนใจน่าดูทีเดียว
เริ่นตงหลิวบังคับพวงมาลัย แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจถามว่า “คุยกับใครอยู่?”
“หา?” ตันหวายส่ายหน้าทั้งปลายหูแดงเถือกอย่างเขินอาย กล่าวอ้อมแอ้มไม่เต็มปากว่า “ไม่…ไม่มีใครหรอก”
เริ่นตงหลิวเม้มริมฝีปาก ตอบว่าอืมคำหนึ่ง ไม่ได้ถามต่ออีก
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรี : [ผมคิดไม่ถึงจริงๆ คุณเล่นซะเขาเบี่ยงหลุดโค้งไปเลย!]
รูปหล่ออันดับหนึ่งในโลกา : [แต่ก่อนเขาก็เบี่ยงอยู่แล้ว]
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรี : [เอาเถอะ คุณว่าไงก็ถูกหมดแหละ ลำบากคุณแล้ว เจอรุกเฒ่า[1]โหดดุขนาดนี้]
ตันหวายมุมปากกระตุก หลังจากอ่านจนแน่ใจว่าอักษรสองตัวบนจอมือถือคือคำว่า ‘รุกเฒ่า’ ก็แทบอยากจะคว้าหัวลู่ซีหร่านมาเปิดกะโหลกชะโงกดูสมอง
รูปหล่ออันดับหนึ่งในโลกา : [คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย? ผมเป็นรุกต่างหาก!]
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรี : […เวรละ จริงเหรอ? สุดยอดครับลูกพี่! ถ้างั้นปัญหาอยู่ตรงนี้ ทำไมคุณถึงให้เริ่นตงหลิวโอบแขนกอดเอว ไม่ใช่กอดเขาเองล่ะ?]
อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งโลกดนตรี : [คุณทำตัวเป็นเด็กขี้อายอย่างนี้ให้มันได้อะไร คุณยังมีหน้ามาบอกว่าคุณเป็นรุกอีกเหรอ?]
ตันหวายที่ถือโทรศัพท์อยู่นิ่งเงียบไป เขาคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน พบว่าดูเหมือนเรื่องจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ตนไม่ถูกเริ่นตงหลิวกอดก็ถูกเริ่นตงหลิวโอบ ราวกับไม่มีสำนึกของความเป็นรุกเลยแม้แต่น้อย
เริ่นตงหลิวพาตันหวายตรงกลับมาถึงคอนโดของตน ก่อนเลี้ยวรถจอดในลานจอดรถใต้ตึก เริ่นตงหลิวเปิดประตูรถออกมา รอคอยเด็กหนุ่มติดเน็ตให้ลงจากรถ
เด็กหนุ่มติดเน็ตไม่ได้ตอบลู่ซีหร่านอีก พอปิดมือถือก้าวออกมาจากรถแล้ว ก็เริ่มจ้องเริ่นตงหลิวเขม็งด้วยสายตาร้อนระอุ
“เป็นอะไรไป?” เริ่นตงหลิวล็อกประตูรถ พลางจะเข้าไปโอบเอวตันหวายเหมือนปกติ
ตันหวายดุจเผชิญหน้าศัตรู รีบหลบหลีกก่อนที่มือของเริ่นตงหลิวจะแตะต้องตัวเขา
เริ่นตงหลิวตะลึงงัน เม้มริมฝีปากอย่างผิดหวังเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “เข้าไปกันเถอะ”
“ได้เลย” ตันหวายผงกหัว เอื้อมมือไปรวบเอวของเริ่นตงหลิวอย่างเงียบๆ
เริ่นตงหลิวพลันแข็งทื่อ มองมาทางตันหวายอย่างตกอกตกใจ ตันหวายเตี้ยกว่าเขาครึ่งหัว เอวก็บางกว่าเขาเช่นกัน การกระทำแบบนี้มองอย่างไรก็ดูแปลกพิกล
น่าเสียดายที่ผู้กระทำไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใด ทั้งยังคิดว่าตอนนี้ตนมีความเป็นรุกเต็มเปี่ยม ตันหวายสะบัดผมพลางยิ้มร้าย “ไปกันเถอะเมียจ๋า สามีจะประคองคุณเข้าไปเอง”
เริ่นตงหลิว “…”
แย่แล้ว ดูเหมือนภรรยาของตนจะเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับตำแหน่งของตัวเอง ช่างเถอะ ท่าทางคิดเองเออเองของเขา มันช่างดูน่ารักไม่หยอกทีเดียว!
วันต่อมาตันหวายมาถึงสตูดิโอพร้อมกับเริ่นตงหลิว นั่งโฟล์คสวาเกนโหลดต่ำคันนั้นอีกเช่นเคย เริ่นตงหลิวผู้มีฐานะเป็นเศรษฐีรุ่นสองเห็นชัดว่าสามารถพึ่งพาเงินทองได้ ทว่ายังคงพึ่งพาพรสวรรค์ไปซื้อโฟล์คสวาเกน!
หลิวหลิวฉุดตันหวายเข้ามาหา พลางยิ้มประจบประแจงให้กับเริ่นตงหลิว บอกว่าพวกเรามีธุระจะขอยืมตัวสักครู่ แล้วจึงลากตันหวายวิ่งตะบึงไปทางห้องน้ำ
ตันหวายสีหน้าหวาดผวา ชักข้อมือตนเองออกมาจากในมือของหลิวหลิว ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณเป็นเด็กประถมหรือไง? เข้าห้องน้ำต้องเอาเพื่อนมาด้วย?”
“ฉันไม่ได้จะพานายมาเข้าห้องน้ำ!”
ตันหวายหวาดผวาหนักกว่าเก่า รีบเอามือกอดอกด้วยสีหน้าหวาดระแวงพลางกล่าว “ทำอย่างอื่นยิ่งไม่ได้ใหญ่ ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ!”
หลิวหลิวอกอีแป้นจะแตก “ข้าเป็นชายแท้โว้ย! เอ็งฟังข้าพูดให้จบก่อนได้ไหม!”
“อ้อ ชายแท้เหรอ” ตันหวายค่อยเบาใจลงหน่อย ก่อนปล่อยมือลง แกล้งทำท่าตั้งใจฟังด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่ามาสิ คุณอยากพูดอะไร?”
หลิวหลิวหน้าตาเคร่งขรึม ถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งหมูในบ้านตนดันลอบดุนกินหัวผักกาดบ้านคนอื่น “พวกนายอยู่กินด้วยกันเชียวหรือ?”
หา? อะไรอยู่กิน? อยู่กินอะไร? เขาเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา นายอย่ามายุยงเสี้ยมสอนฉันนะ!
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ กล่าวอย่างใสซื่อว่า “ก็ใช่น่ะสิ ทำไมอ่ะ?”
ตกใจแทบตายเลยป่ะล่ะ!
——
[1] ในที่นี้พ้องเสียงกับคำว่าเหล่ากง (老公) ที่หมายถึงสามี