ตันหวายพุ่งตัวออกไปโดยไม่ทันคิดพลางร้องตะโกน “หยุดนะ!”
เสียนเฟยหรี่ตา พอเห็นตันหวายก็ยิ่งบันดาลโทสะ สั่งการนางกำนัลรอบกายทันที “มัวแต่ยืนบื้อทำอะไร? ยังไม่รีบเอาแมวบัดซบตัวนี้ไปทุบให้ตายอีก!”
นางกำนัลถือก้อนอิฐด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะเหวี่ยงทุบไปทางแมวที่โผเข้าใส่เสียนเฟยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“พ่อ[ปิ๊บๆ]ตายเถอะนางหลิวกุ้ยฮวา!” ตันหวายฉุนเฉียวทันใด พุ่งเข้าไปคว้าลูกแมวขึ้นมาอุ้มไว้
ก้อนอิฐทุบโดนมือของตันหวายแล้วกระดอนลงกับพื้น เสียงตกกระทบพื้นดังหนักหน่วง ก้อนอิฐแตกออกเป็นชิ้นใหญ่ แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าคนที่ขว้างก้อนอิฐต้องใช้แรงเยอะขนาดไหน
ช่างเหมาะเจาะเหลือเกิน ตอนที่ขว้างก้อนอิฐมาเอาปลายแหลมพุ่งเข้าพอดี กระแทกมือของตันหวายอย่างจังจนช้ำเป็นรอยจ้ำ ทั้งยังถลอกเป็นแผล
เชี่ย!
ตันหวายอุ้มลูกแมวไม่มัวสนใจมือของตน ดวงตาจ้องมองตรงไปยังเสียนเฟย ไฟโทสะลุกโชติช่วงอยู่ภายใน
เสียนเฟยถูกคำพูดของตันหวายยั่วยุจนเดือดดาล นางเกิดในตระกูลขุนพล ทั้งตระกูลล้วนมีแต่ลูกผู้ชายอกสามศอก ย่อมจะตั้งชื่อสละสลวยกันไม่เป็น พอได้ยินว่าชื่อหยาบนั้นเลี้ยงง่าย ก็เลยตั้งชื่อให้นางว่าหลิวกุ้ยฮวา ยามเสียนเฟยเพิ่งเข้าวังหลวงก็มักจะถูกล้อเลียนเพราะชื่อนี้ ภายหลังนางได้เป็นใหญ่ จึงไม่มีใครกล้าเรียกนางเช่นนี้อีก
เสียนเฟยถลึงตามองตันหวายอย่างโกรธแค้นพลางกล่าวว่า “ข้านึกว่าใคร ที่แท้ก็เจ้าเอง จริงสิ นอกจากเจ้าแล้ว ใครจะเลี้ยงเดรัจฉานพรรค์นี้กัน”
“เจ้าพูดให้มันดีๆ หน่อย” ตันหวายถูกเสียนเฟยยั่วโมโหจนเส้นเลือดปูดนูน “ไม่ใช่หนึ่งคำก็เดรัจฉานสองคำก็เดรัจฉาน”
พูดตามตรง ดูจากเรื่องระยำตำบอนที่เสียนเฟยเคยทำกับเจ้าของร่างเดิมก่อนหน้านี้ ตันหวายแค่ตบหน้านางสักฉาดก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าเสียนเฟยไม่เคยตบตันฝูเซิงมาก่อน แต่ตันหวายคิดเอาเองว่าตนเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ตบตีผู้หญิงนั้นหยาบช้าเกินไป ฉะนั้นจึงไม่ได้ลงมือ
เสียนเฟย “เดรัจฉานอัปลักษณ์พรรค์นี้ยังไม่ยอมให้เรียก? ก็ให้พวกต่ำตมเช่นเจ้าเลี้ยงตัวโง่เง่าพรรค์นี้ไปเถอะ”
ตันหวายขำพรวดออกมา เขาลูบแมวในอ้อมแขน หัวเราะเสียงเบากล่าวว่า “พวกต่ำตมรึ ฮ่ะๆ เรื่องพวกนั้นที่เจ้าทำ นึกว่าคนอื่นเขาไม่รู้จริงๆ หรือ? มือเปื้อนเลือดผู้คนมากมายเพียงนั้น เจ้ายังจะหลับลงอีก”
เสียนเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ตันฝูเซิงเจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน! เจ้าอยากตายนักรึ! ทหารรีบมาจัดการ…”
“เสียนเฟยคิดทำสิ่งใด เพียงบอกเราก็ได้แล้วมิใช่หรือ?”
เสียนเฟยชะงักงัน ราวกับถูกตรึงไว้กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เหอจินหมิงยิ้มเย็น “ตัวที่คนต่ำตมเลี้ยงได้ เราจำได้ว่าเคยเลี้ยงเดรัจฉานตัวนี้อยู่หลายวัน ที่แท้เราในสายจาของเสียเฟย ก็เป็นแค่คนต่ำตมสินะ”
เสียนเฟยรีบหมุนตัวคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงสั่นว่า “ฝ่าบาททรงรับฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนเพคะ”
______
ตันหวายอุ้มแมวพลางยอบกายลงอย่างกระฟัดกระเฟียด ลากอ่างไม้ที่ตระเตรียมไว้อย่างดีมาใบหนึ่งแล้ววางแมวลงไป
“แผนล่มไม่เป็นท่า” ตันหวายอาบน้ำให้แมวไปพลางกล่าวไปพลางว่า ”หลิวกุ้ยฮวามีทั้งตระกูลหลิวหนุนหลัง เห็นท่าทีของเหอจินหมิงวันนี้ก็รู้แล้วว่าคงทำอะไรนางไม่ได้”
จับขาแมวข้างหนึ่งออกมาล้างถูให้สะอาด ตันหวายลูบผิวเนื้อของลูกแมวด้วยอารมณ์หดหู่ “ผมไม่มีทางทวงบัญชีแค้นได้แต่แรกแล้ว จะให้ผมทำเรื่องเกินเหตุกว่านี้ผมก็ทำไม่ลงอยู่ดี ภารกิจลับนี่ไม่สำเร็จหรอก”
“หลิวกุ้ยฮวาอาจนิสัยเสียไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำลายชีวิตใคร เมื่อกี้ผมพูดว่าเธอมือเปื้อนเลือดผู้คน ก็แค่เพราะว่าเห็นเหอจินหมิงเดินมาเท่านั้นเอง เธอก็เหมือนพวกลูกคุณหนูที่ไอคิวอีคิวต่ำนั่นแหละ ชอบรังแกคนอื่นให้ตัวเองได้รับความสนใจ” ตันหวายอุ้มแมวออกมาจากในอ่าง หาเศษผ้ามาเช็ดตัวให้มัน
“ระบบ พูดอะไรบ้างสิ”
(ขอแสดงความยินดีท่านเจ้าของร่างปฏิบัติภารกิจลับสำเร็จ ได้รับดาวนำโชคจำนวนหนึ่งชิ้น ท่านเจ้าของโปรดพยายามต่อไป!)
!!!
“สำเร็จแล้ว?” ตันหวายสติแตก แมวในอ้อมแขนเกือบจะอุ้มไว้ไม่อยู่ “สำเร็จกันง่ายๆ อย่างนี้เลย? ค่าความประทับใจที่ผมลงทุนลงแรงประจบประแจงเพิ่งจะแตะถึงแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้คุณมาบอกผมว่า ผมสำเร็จภารกิจลับแล้ว!?”
(เรื่องเป็นดังนี้ท่านเจ้าของร่าง ตันฝูเซิงยามอยู่ในวังต้องกล้ำกลืนฝืนทนถูกคนใส่ร้ายป้ายสีมายาวนาน แต่เขายังคงมีจิตใจดี…)
ตันหวาย “…” ยังปกติดีหรือเปล่า? ถูกกระทำจนกลายเป็นแบบนี้แล้วยังจะทำตัวเป็นพ่อพระอีก มิน่าเล่าถึงได้มีสภาพอย่างนี้น่ะ!
(เสียนเฟยเป็นเพียงตัวแทนของคนส่วนใหญ่ที่ชอบรังแกเขา สิ่งที่เขาต้องการเห็น เพียงแค่ตนเองไม่ถูกคนอื่นรังแกก็พอใจแล้ว)
เอาเถอะ นายเป็นระบบ นายพูดอะไรก็ถูกหมด เขาเป็นเจ้าของร่างเดิม เขาอยากจะทำอะไรก็ได้หมด
ส่วนตัวเรา…ตันหวายคิดอย่างปวดใจ ตัวเราก็เป็นแค่คนน่ารักที่หาทางฟื้นคืนชีพเท่านั้นแหละ