ตอนที่ 44 ระงับอารมณ์
ชุยหังกดปิดโทรศัพท์ลง เขาไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวหลิวเฮ่อกลับมาแล้วเด็กคนนั้นบอกว่ามีโทรศัพท์โทรมาจากเมืองเอ้อแล้ว เขาจะโทรมาไหม แล้วถ้าเขาโทรมาจริงๆ เขาจะพูดอธิบายกับตนว่ายังไง
ตอนนี้เขาไม่อยากจะฟังอะไรทั้งนั้น แค่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว
มิน่าล่ะ ไม่กี่วันมานี้เขาไม่ค่อยจะสนใจตนสักเท่าไหร่ ที่แท้ก็มีคนที่ยินยอมเขาทั้งกายและใจแล้วนี่เอง
เขาใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าจะเช็ดน้ำตาจนแห้งหมด ก่อนจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้มันไหลออกมาอีก
จากนั้นก็วิ่งไปที่ร้านค้าข้างโรงอาหารแล้วซื้อน้ำเปล่ามาสองขวด หลังจากเปิดฝาขวดหนึ่งออกก็รีบดื่มลงไปจนเกือบครึ่ง จากนั้นทำท่าว่าเมื่อครู่ตัวเองพึ่งจะออกไปสูดอากาศแล้วก็ดื่มน้ำก่อนจะกลับเข้าไปในโรงอาหาร
หลูจื้อที่เห็นชุยหังเดินกลับมาก็คิดอยากจะพูดจาเย้าแหย่อะไรสักหน่อย แต่ว่าพอมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับลงไปจนหมด
ชุยหังยื่นน้ำขวดที่ยังไม่ได้เปิดให้หลูจื้อจากนั้นมองไปทางทุกคน
“พวกนายดื่มน้ำไหม” เขาตั้งใจทำให้ตัวเองดูนิ่งสงบ พลางเอ่ยถาม
“เหลือแค่ครึ่งขวดใครมันจะไปพอดื่ม นายเก็บเอาไว้เองเถอะ” เหลียงจื้อพูดขึ้นยิ้มๆ
เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร ชุยหังเองก็รู้ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
หลูจื้อไม่ใช่คนโง่ที่ถามชุยหังต่อหน้าทุกคนว่าเขาเป็นอะไร ก่อนจะเบี่ยงประเด็นหัวข้อการสนทนาหันมาพูดเรื่องอื่นกับทุกคนแทน
ทุกคนพากันแย่งหน้าชิงหลังเพื่อนถามหลูจื้อเกี่ยวกับชีวิตในกองทัพ หลูจื้อเองก็อดทนตอบคำถามทุกคนอย่างใจเย็น
ดังนั้นทุกคนต่างก็ไม่มีใครที่สังเกตเห็นความผิดปกติของชุยหัง เพียงแค่คิดว่าเมื่อครู่เขาคงจะเหนื่อยมากเกินไป บวกกับคอแห้งแหบไปแล้วดังนั้นก็เลยไม่อยากพูดอะไรก็เท่านั้น
ในที่สุดฝนที่ตกรินอยู่ด้านนอกก็ค่อยๆ หยุดลง แต่ตามพื้นก็มีน้ำขังอยู่ไม่น้อยเลย
หลูจื้อก้มดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะพูดขึ้น: “เอาล่ะวันนี้ทุกคนคงจะเหนื่อยมากแล้ว แล้วก็ตอนนี้ไม่สามารถออกไปฝึกต่อได้แล้วด้วย ฉะนั้นวันนี้จะให้พวกนายได้ผ่อนคลายสักหน่อย กลับหอพักไปเถอะ”
หลังจากทุกคนได้ฟังต่างก็ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
“ถ้าพวกนายไม่อยากกลับเดี๋ยวจะให้ห้องอื่นๆ กลับไปก่อนก็ได้ แล้วให้พวกนายยืนระเบียบต่อ” หลูจื้อพูด
“แบบนั้นไม่ได้นะครับ พวกเราต้องอยากกลับแน่นอนอยู่แล้ว”
พูดจบทุกคนก็พากันเคลื่อนตัวหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าหลูจื้ออาจจะเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ
ชุยหังก็เดินตามเพื่อนๆ ห้อง 426กลับหอพักไปเหมือนกัน
แต่ว่าหลังจากที่เขากลับมาถึงห้องแล้ว กลับไม่หัวเราะร่าเริงกับเพื่อนคนอื่นๆ ตามปกติที่ควรเป็น แต่กลับปีนขึ้นไปบนเตียงนอนพลางซุกหน้าของตัวเองกับผ้าห่ม โดยไม่สนใจเลยว่าจะพังเจ้าก้อนเต้าหู้ที่ก่อนหน้านี้กลัวจะทำพังนักพังหนากลัวจะเอากลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้
เขายังคงไม่มีความกล้าพอที่จะกดเปิดโทรศัพท์ เพราะยังไม่ได้คิดว่าจะเผชิญหน้ากับมันยังไง
“เหลาอู่ นายเป็นอะไร” จ้าวหลินถาม
ชุยหังทำท่าทีเหมือนสงบนิ่งแล้วพูดตอบ: “ไม่เป็นไร คอแหบแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
จากนั้นเขาก็ตั้งใจทำเสียงไอออกมาสองครั้ง ให้ทุกคนได้ยินชัดๆ ว่าข้างในคอของเขามีเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนและแปลกไป
“เมื่อครู่นี้นายทำได้ดีมากเลยจริงๆ นะ ถ้าเกิดไม่มีนายฉันเดาว่าวันนี้ห้องสามต้องเละเทะมากแน่ๆ” ถังเฉิงพูด
“ไม่เกี่ยวหรอก ช่วงหลังครูฝึกหลูก็มาดูแลแล้วไง” ชุยหังพูด
“ตอนเขากลับมามันช้าไปแล้ว” วังเฉียงก็พูดบ้าง
ชุยหังยิ้มๆ ก่อนจะบ่นๆ ออกมา: “คอของฉันวันนี้ไม่มีแรงมาพูดจาเรื่อยเปื่อยกับทุกคนแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วพักสักหน่อยเถอะ” จ้าวหลินเชื่อว่ามันจริงก่อนจะพูดขึ้น
ชุยหังสามารถระงับอารมณ์ของเขาได้สำเร็จ จากนั้นก็หันหัวเข้าไปด้านใน นอนฟุบอยู่บนเตียง
จู่ๆ โทรศัพท์ประจำห้องพักก็ดังขึ้น ถังเฉิงที่อยู่เตียงชั้นล่างเดินไปรับสายโทรศัพท์: “ฮัลโหล โทรหาใครครับ”
อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง จากนั้นถังเฉิงก็เงยหน้าขึ้นแล้วร้องเรียกชุยหัง: “เหลาอู่ ขอสายนายน่ะ”
ตอนที่ 45 เดินเป็นเพื่อนฉัน
เดิมทีชุยหังอยากจะนอนหลับสักตื่น แล้วทำให้เรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นกลายเป็นเหมือนความฝัน
แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีคนโทรศัพท์มาหาเขาตอนนี้
ตอนนี้ในสมองของเขาดูเหมือนยังไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องจริง
สายเมื่อครู่นี้ เสียงของเด็กผู้ชายคนนั้น เหตุการณ์นั้นมันยังคงเด่นชัดในความทรงจำของเขา
คำพูดของเด็กคนนั้น มันทำให้เขายิ่งจดจำฝังลึกลงไปอีก
เขาใช้มือลูบๆ ตาของตัวเองเบาๆ ให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำตาไหลอยู่ จากนั้นก็พลิกตัวลุกขึ้นปีนลงมาจากเตียงชั้นบน ใส่รองเท้าแตะแล้วเดินไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
ในสายโทรศัพท์มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับมา: “นายคือชุยหัง?”
ชุยหังตกอกตกใจ เสียงนี้ดูเหมือนจะเป็น…
“ผมเองครับ” เขาพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด
“ฉันเองหลูจื้อ นายออกมาหน่อยสิ”
ชุยหังไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกนี้ยังไง หลูจื้อที่ชอบเอาแต่กลั่นแกล้งทรมานเขาตลอด จู่ๆ ก็โทรศัพท์มานัดเขาออกไป แถมยังในวันที่บรรยากาศแบบนี้ เขาจะทำอะไรกันแน่
เขาหันกลับไปมองทุกคนในห้อง ทุกคนยังคงกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง เหมือนจะไม่ทันได้สังเกตมาทางเขา
“ที่ไหนครับ” ช่างมันล่ะ ไหนๆ แล้วก็ไปดูหน่อยแล้วกัน
“ข้างล่างหอพักพวกนาย” ไอ้เจ้าคนนี้ ผีเข้าผีออกจริงๆ เลย
ชุยหังวางสายโทรศัพท์แล้วเริ่มใส่เสื้อผ้า เดิมทีจ้าวหลินที่กำลังจะหลับตาพักผ่อน พอเห็นชุยหังเตรียมตัวทำท่าว่าจะออกไปข้างนอกก็ถามขึ้น: “นายจะไปไหน”
ชุยหังตอบกลับไปหนึ่งประโยค: “ครูฝึกหลูเรียกฉัน อยู่ใต้ตึก”
ประโยคนี้ทำเอาคนทั้งห้องพักได้สติตื่นขึ้นทันที แม้แต่คนที่ไม่ค่อยเข้าร่วมวงสนทนากับพวกเขาอย่างจังเผิงยังหันมองมาอย่างไม่น่าเชื่อ
วังเฉียงถึงกับกดปิดโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงแล้วลุกขึ้นนั่ง บนใบหน้าเหมือนมีเครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้น: “นายพูดว่าใครนะ”
ชุยหังพูดอีกครั้ง ตอนนี้วังเฉียงมองมาด้วยสายตายุ่งเหยิง เหมือนจะกำลังบอกเขาให้ภาวนาให้ตัวเองด้วย
ถังเฉิงถามขึ้น: “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”
ชุยหังคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อไปแค่ใต้ตึกเองแถมหลูจื้อก็ไม่ได้บอกให้เขาพาคนอื่นไปด้วย เอาเป็นว่าไปคนเดียวก็แล้วกันจากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
เขาคิดว่าหลูจื้ออาจจะยืนคุยกับเขาตรงหน้าประตูแค่ไม่กี่ประโยคแล้วก็คงจะไปจึงไม่ได้พกร่มลงมาด้วย แต่วิ่งลงตึกไปเลย
ตอนที่ลงไปถึงข้างล่างก็เห็นหลูจื้อที่สวมชุดเครื่องแบบยืนอยู่ตรงประตู
“ครูฝึกหาผมหรอครับ” ชุยหังอยู่ห่างจากเขามากพอสมควร หลายวันมานี้ถูกเขาจัดการจนเริ่มจะรู้สึกหวั่นกลัวแล้ว
อาจารย์ผู้ดูแลหอพักไม่ได้ถามอะไรเพราะรู้ว่าเขาเป็นครูฝึก คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร จึงนอนเล่นฟังวิทยุอยู่ในห้องพักเล็กๆ ของตัวเอง อากาศแบบนี้ใครบ้างจะไม่อยากนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ยืนห่างขนาดนั้นทำไม มานี่” หลูจื้อดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจระยะห่างที่ชุยหังยืนอยู่
ไม่มีทางเลือก ชุยหังได้แค่เคลื่อนตัวไปช้าๆ อย่างเชื่อฟัง หลูจื้อยื่นมือออกมาจะตีหัวชุยหัง เขาจึงรีบยกมือขึ้นป้องกัน ท่าทางเหมือนกลัวว่าหลูจื้อจะออกแรงเยอะไป
หลูจื้อจึงเคลื่อนมือไปวางลงบนไหล่ของชุยหังพลางพูด: “เจ้าเด็กน้อยไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉัน”
ไม่ใช่มั้ง ล้อเล่นอะไรเนี่ย ในสภาพอากาศแบบนี้ นี่เขากำลังพูดเรื่องตลกกับตนหรือไง มีเรื่องอะไรก็พูดกันตรงนี้เลยสิ
แต่ทว่าหลูจื้อไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ลากเขาออกไปเลย ร่มของเขามีขนาดใหญ่มากเหมือนกัน ตอนนี้ฝนเริ่มเบาลงแล้ว หลูจื้อเดินถือร่มโดยไม่พูดไม่จา ชุยหังก็ทำได้แค่เดินตามไปเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเช่นกัน
แต่ว่าดูเหมือนทิศทางที่เดินมันจะไม่ค่อยถูกต้อง ทำไมเขาถึงพาชุยหังเดินไปทาง ทะเลสาบประดิษฐ์ ที่ประตูสามล่ะ?
มองดูสายฝนที่หยดกระทบลงบนพื้นผิวทะเลสาบ มันเหมือนมีปลาเล็กปลาน้อยกว่าพันตัวหมื่นตัวกำลังแหวกว่าย สวยดีเหมือนกันนะ
“ครูฝึกครับ เมื่อบ่ายไปไหนมาหรอครับ” ในเมื่อหลูจื้อไม่พูด ชุยหังจึงพูดขึ้นก่อน ถ้ายังไม่มีใครยอมพูดอะไรแบบนี้ต่อไป ถ้าดูจากความเร็วในการเดินตอนนี้อีกเดี๋ยวคงถูกเขาพาออกนอกมหาวิทยาลัยไปในไม่ช้านี้แน่