หลังจากที่ก้มหน้ากล่าวจบแล้ว เธอจึงสาวเท้าเดินออกจากห้องทำงานโดยเร็ว ลู่ฉีจะเจอคำตอบได้เมื่อไรกัน ?
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการรอคอยเป็นเรื่องที่ทรมานเช่นนี้ สองวันมานี้เธอรู้สึกราวกับทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ขณะที่เจอเฉินเป่ยชวนมีหลายคราที่เกือบอดใจไม่ไหวไปถามเขาว่าใช่ฆาตกรฆ่าพ่อแม่ของเธอหรือไม่กันแน่
“ตอนเที่ยงอยากทานอะไร ?”
เฉินเป่ยชวนมองเธอที่ขณะนี้แลดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด กล้ามเนื้อของแก้มสองข้างเกร็งขึ้นอย่างอันตรายเล็กน้อย
“ตอนเที่ยงฉันนัดสือเซี่ยไว้แล้ว คุณไปทานคนเดียวเถอะค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนกล่าวจบก็หยิบกระเป๋าจากนั้นก็เดินออกจากบริษัท MR ไป พร้อมทั้งต่อสายหาเหยียนสือเซี่ย ครั้นเห็นได้ชัดว่าปลายสายกำลังขับรถอยู่ “พวกเราไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันเถอะ”
“เธอเนี่ยนะอยู่กับผู้ชายแล้วลืมเพื่อน สวีทกันทุกวันจนลืมว่าฉันก็อยู่บนโลกไปซะแล้ว ทำไมวันนี้ถึงนึกขึ้นได้อยากนัดฉันไปทานข้าวเที่ยงด้วยล่ะยะ”
น้ำเสียงที่จงใจเอ่ยทำลายบรรยากาศดังออกจากลำโพง และไม่นานก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “เห็นแก่การที่เธอยังจำฉันได้ ฉันจะไปทานข้าวกับเธอก็แล้วกัน เจอกันที่เดิมนะ”
ขณะที่นั่งรถแท็กซี่มาถึงร้าน ‘ซื่ออั้น’ เหยียนสือเซี่ยได้นั่งรออยู่ตรงที่นั่งประจำของพวกเธอเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาจึงโบกไม้โบกมือเรียกทันที
“คนหวานจ๊ะ วันนี้จะเลี้ยงมื้อใหญ่ฉันใช่ป่ะ ?”
“ได้เลย” เธอยิ้มพร้อมพยักหน้า กลับทำให้มือที่กำลังพลิกเมนูอยู่ของเหยียนสือเซี่ยหยุดชะงักไปทันควัน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเงยหน้ามองเธอด้วยความฉงนใจ “นี่เธอหัวเราะ หรือว่าร้องไห้กันน่ะ ?”
รอยยิ้มดูไม่ได้ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก หรือว่ากำลังเสียดายเงินค่าอาหาร ? เธอไม่ใช่หมูสักหน่อย จะกินได้เยอะเท่าไรกันเชียว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?” เมื่อเห็นเธอก้มหน้าอยู่ เหยียนสือเซี่ยจึงรับรู้ได้ถึงว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ นัยน์ตาของเธอจึงกระวนกระวายขึ้นมาตามไปด้วย “เฉินเป่ยชวนหมอนั่นรังแกเธออีกแล้วเหรอ ?”
ผู้ที่จะสามารถทำให้เธอเป็นเช่นนี้ได้นอกจากเฉินเป่ยชวนแล้ว ก็ไม่มีผู้อื่นอีก
เมื่อได้ยินคำพูดที่ร้อนรนโดยแฝงความเป็นห่วงเป็นใยอยู่นั้น เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกแสบจมูก ขอบตาเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้น “สือเซี่ย ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้นมาดื่มกับฉันหน่อย”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธออดไม่ได้ที่จะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลรินลง ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าอยากดื่มจนเมาเละเทะ จากนั้นก็นอนทั้งวันทั้งคืน ไม่แน่เมื่อตื่นขึ้นมาทางลู่ฉีก็จะมีคำตอบให้เธอ และบอกเธอว่าเรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนเลย
เธอยังสามารถมีความสุขหลังจากเจ็ดปีนั้นต่อไปได้
เหยียนสือเซี่ยขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เรียกพนักงานที่อยู่ข้าง ๆ เข้ามา “น้องพนักงานคะ ขอไวน์ดรายเกรดดีสองขวดค่ะ”
ไม่นานไวน์ก็มาเสิร์ฟ พนักงานกำลังจะให้บริการพวกเธอครั้นถูกเหยียนสือเซี่ยบอกให้ไป “ในเมื่ออยากดื่มเหล้า ฉันก็จะดื่มเป็นเพื่อน”
เฉียวชูเฉี่ยนมองแก้วไวน์ที่มีไวน์สีแดงน่าหลงใหลอยู่เบื้องหน้า ราวกับเห็นเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนอย่างไรอย่างนั้น สีแดงจนทำให้รู้สึกหวาดกลัว
เธอเงยหน้าดื่มไวน์ที่อยู่ในแก้วจนเกลี้ยงในครั้งเดียว จากนั้นก็รินให้ตัวเองอีกรอบ
เธอดื่มติดต่อกันสามแก้ว เหยียนสือเซี่ยก็ไม่ห้ามปราม เพียงนั่งมองดูอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น เธอรู้จักนิสัยของเฉี่ยนเฉียนดียิ่ง การที่เขาดื่มหนักเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการระบายอารมณ์ครั้นกำลังหลบหนีอยู่
อีกทั้งเรื่องที่หลบหนีจะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนแน่นอน
“สือเซี่ย เธอคิดว่าฉันไม่ควรหลงรักเฉินเป่ยชวนเมื่อสิบปีก่อนเหมือนกันใช่ไหม ?”
เนื่องจากดื่มอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอรู้สึกเพียงว่าหลอดอาหารแสบร้อนไปหมด ครั้นสติสัมปชัญญะกลับกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ ถ้าหากไม่เป็นเพราะการปลอมตัวนัดบอดที่งานเลี้ยงดื่มเหล้าครั้งนั้น เธอคงไม่มีทางได้รู้จักกับเฉินเป่ยชวนและรักแรกพบคงไม่มีวันเกิดขึ้น รวมถึงคงไม่ต้องสิ้นเปลืองช่วงเวลาในสิบปี ตลอดจนความรู้สึกอันเจ็บปวดใจเนื่องด้วยเหตุนี้แต่อย่างใด
และยิ่งไปกว่านั้นเธอคงไม่ฉีกขาดระหว่างความรักและความเกลียดชังออกจากกันเช่นนี้
“การรักใครสักคนแล้ว จะบอกว่าไม่รักก็ไม่รักได้ที่ไหนกันล่ะ”
เหยียนสือเซี่ยยักไหล่ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เฉี่ยนเฉียนคงยอมรับความรักจากลู่ฉีหลังจากที่จากไปเจ็ดปีแล้ว เพราะความจริงก็คือเธอลืมเฉินเป่ยชวนผู้นั้นไม่ลง
ความรักนั้นไม่เหมือนกับบทบัญญัติทางกฎหมาย ไม่สามารถเอาเรื่องสติปัญญามาคุยได้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเธอจึงยอมที่จะอยู่กับกฎหมายที่น่าเบื่อและเลือดเย็นในทุกวัน โดยไม่ยอมไปเสียเวลาเสียกำลังวังชาและเสียความรู้สึกเพื่อตามหาผู้ชายที่ยืนหยัดไม่ได้ในสภาวะที่หนักหนาตลอดชีวิต
“ถ้ารักใครสักคนแล้วรู้สึกทุกข์ทรมานมาก ควรทำยังไง ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตามีความแดงก่ำจากการอดกลั้น ถ้าหากคำตอบที่ลู่ฉีให้กับเธอคือความจริง เธอไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเฉินเป่ยชวนอย่างไรจริง ๆ
จะเป็นผู้ชายที่ตนเองหลงรักหัวปักหัวปำและลืมไม่ได้ หรือว่าควรจะเป็นศัตรูฆาตกรที่ต้องไปแก้แค้นด้วยความเกลียดชัง
“เฉี่ยนเฉียน เธอไม่รักเฉินเป่ยชวนได้หรือเปล่าล่ะ ?”
เหยียนสือเซี่ยกุมมือของเธอเอาไว้ นัยน์ตามีความสงสารผุดขึ้นมา เธอไม่รักเฉินเป่ยชวนไม่ได้ ดังนั้นหากรู้ว่าเจ็บปวดก็ไม่มีวิธีอันใดไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเธอในการหลุดออกจากความเจ็บปวดนี้ได้
เธอเข้าใจความหมายของเพื่อนดี มุมปากของเธอผุดรอยยิ้มอันบูดเบี้ยวขึ้นมายิ่งขึ้น “ใช่น่ะสิ ฉันไม่รักเฉินเป่ยชวนได้หรือเปล่านะ ?”
ไม่มีคำตอบ หรือพูดอีกอย่างคือเธอไม่กล้าเผชิญหน้ากับคำตอบ เพราะว่าเธอทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ไวน์แดงสองขวดหมดเกลี้ยงไปโดยเร็ว เฉียวชูเฉี่ยนฟุบลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กล่าวพึมพำเสียงเบา “รินเหล้า”
“รินเหล้าอะไรของเธอ ขืนยังดื่มอีกเธอจะต้องเข้าโรงพยาบาลจริง ๆ นะ”
เหยียนสือเซี่ยด่าทอไป เธออนุญาตให้เพื่อนตนเองใช้แอลกอฮอล์ในการปลดปล่อยความทุกข์ หลบหนีหนึ่งคืนได้ ทว่าไม่ยอมทำตามใจเพื่อนจนทำร้ายร่างกายตัวเองเพียงเพื่อต้องการหลบหนีได้
“สือเซี่ย ฉันอยากดื่มเหล้า”
“เธอเมาแล้วนะ”
หลังจากที่กล่าวจบด้วยน้ำเสียงอันเห็นใจและเอือมละอาแล้วนั้น เธอจึงทำได้เพียงพยุงเพื่อนที่ดื่มเมาเละเทะราวกับโคลนตมไปตั้งนานแล้วขึ้นมา
“ไปนอนพักผ่อนให้ดี ๆ นะ ไม่แน่ว่าตื่นมาเช้าวันใหม่พวกเธอจะสวีทกันต่อก็เป็นได้นะ เด็กดี พิงมาที่อกฉันนี่”
เธอกล่าวปลอบประโยนเสียงเบา จากนั้นก็ออกแรงในการพาเพื่อนออกจากร้านอาหารตะวันตก
เหยียนสือเซี่ยกำลังจะขับรถออกไป ครั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเช่นกัน แม้จะดื่มเข้าไปนิดเดียว ไม่สามารถกระทบทักษะการขับรถของเธอได้ ครั้นการที่ทนายที่รู้เรื่องกฎหมายอย่างเธอเมาแล้วขับช่างเป็นเรื่องอันผิดต่อสิ่งที่เล่าเรียนมาจริง ๆ
“เดี๋ยวฉันเรียกรถส่งเธอกลับบ้านนะ”
เวลาเที่ยงวัน และไม่ใช่เวลาพีคไทม์อย่างเวลาผู้คนไปทำงาน คนขับรถแท็กซี่จึงพากันไปรับประทานอาหารเที่ยงและพักผ่อนกลางวันกัน เมื่อรอมาราวสิบนาทีแล้วก็ไม่เจอเงารถแท็กซี่เลยสักคัน
“นี่กำลังบีบบังคับให้ฉันทำผิดกฎหมายทั้งที่รู้กฎหมายเหรอเนี่ย ?”
หลังจากที่เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์แล้ว เธอจึงทำได้เพียงโอบผู้หญิงที่ใกล้นอนหลับในอีกไม่นานแล้วขึ้นรถของตัวเอง
“เพื่อเธอ ฉันสูญเสียแม้กระทั่งสมญากิตติมศักดิ์พลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมายไปหมดเลยนะ จะต้องเป็นเพราะติดค้างเธอชาติที่แล้วแน่เลย”
เธอขับรถไป และอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา ต้องโทษเฉินเป่ยชวนผู้นั้นคนเดียว !
เมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เธอเหยียบคันเร่งเพื่อที่จะรีบบึ่งออกห่างจากสถานที่ที่ไม่มีตำรวจจราจรอยู่ ครั้นรถยนต์กลับไม่ขยับเลย ไม่ว่าเธอจะเหยียบคันเร่งอย่างไร ก็มีเพียงเสียงดังของรถยนต์อันผิดปกติดังขึ้น
“ไม่จริงใช่ไหม ? รถเสียกลางคันเหรอ ?”
รถยนต์คันหลังที่กำลังรอขับผ่านไฟเขียวไปได้บีบแตรรถขึ้น และถึงขั้นมีคนตะโกนท่าทอขึ้นมา “ตาบอดสีก็อย่าออกมาขับรถบนท้องถนนได้ไหม ?”
“……” ทวดมึงสิ ใครตาบอดสี
“เฉี่ยนเฉียน เธอมีเบอร์รถบรรทุกพ่วงหรือเปล่า ?”
“……”
เมื่อทราบว่าตนไม่ควรมีความหวังกับผู้หญิงที่ดื่มจนภาพตัดไปตั้งนานแล้ว เหยียนสือเซี่ยจึงทำได้เพียงกระส่ายกระสับอยู่ผู้เดียว
ปี้น ๆ ! ปี้น ๆ !
“ปี้น ๆ ทำไม คิดว่าฉันอยากขวางถนนหรือไง !” เธอหันหน้าไปถลึงตาใส่ทิศทางที่มีคนบีบแตรรถใส่ คิดว่าเธออยากให้รถยนต์หยุดกลางคันอยู่บนถนนหรืออย่างไร ตอนนี้เธอเมาแล้วขับอีกต่างหาก ตามกฎหมายการจราจรใหม่ เธอต้องถูกดำเนินคดีแน่
เอ๊ะ ทำไมรถยนต์คันข้าง ๆ จึงได้คุ้นตาเช่นนี้ ?
หลังจากที่ประตูรถยนต์ลดต่ำลงนั้นก็มีใบหน้าเรียวยาวอันน่าเกลียดชังโผล่ออกมา : “ฮาย คุณทนายคนสวย เราเจอกันอีกแล้วนะ รถพังเหรอ ? ต้องการให้ผมช่วยหรือเปล่า ?”
ถังอี้ยิ้มตาหยีพร้อมกล่าวสอบถาม เห็นได้ชัดว่าเมื่อเห็นท่าทางอันซมซานของเธอแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
เหยียนสือเซี่ยด่าทอเขาอยู่ในใจ ครั้นเมื่อมองไปยังผู้หญิงข้างหลังที่เมาจนหมดสติไปทั้งนานแล้ว จึงทำได้เพียงกักเก็บไฟโกรธในใจเอาไว้ “ต้องการสิ เฉียวชูเฉี่ยนเมาแล้วฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน”