“บาดแผลจะปริแตกไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ”
หากบาดแผลปริแตกอีกครั้งถึงจะไม่มีอันตรายจากภาวะติดเชื้อ แต่กังวลว่าจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตจากภาวะสูญเสียเลือดที่มากเกินได้เช่นกัน
“แต่ตอนนี้ผมไม่สบายไปทั้งตัวเลยนะครับ”
เฉินเป่ยชวนนอนคว่ำอยู่บนเตียง เส้นผมเปียกลู่เพราะบาดแผลปริแตกจนเลือดออกมามาก ทำให้ใบหน้าเขาดูอ่อนละมุนอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่สบายไปทั้งตัว หมายถึงเวียนศีรษะหรือมองเห็นไม่ชัดคะ?”
ทันทีที่เฉียวชูเฉี่ยนได้ยินว่าเขาไม่สบายก็ลุกขึ้นมาด้วยความกังวลใจ คงไม่ได้ส่งผลมาจากเลือดที่ไหลออกเยอะเกินไปหรอกนะ
ใครบางคนกำลังมีความสุขกับท่าทีเป็นกังวลของอีกฝ่าย พอผ่านไปสองถึงสามนาทีจึงพูดอย่างเกลียดคร้านออกไปว่า “ผมไม่ได้อาบน้ำมาอาทิตย์หนึ่งแล้วครับ”
ตั้งแต่เขาบาดเจ็บก็ไม่ได้อาบน้ำอีกเลย สองวันก่อนก็เหงื่อไหลออกมาไม่น้อย จนตอนนี้เขารู้สึกเหนียวไปทั้งตัวแล้ว
เธออึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จมูกเธอแดงเล็กน้อยจากการร้องไห้ และดูท่าตอนนี้แก้มก็คงจะแดงไปด้วยเช่นกัน
เขาจะให้ฉันช่วยเช็ดตัวให้……
“ช่วยเช็ดตัวให้ผมหน่อยสิครับ คุณคงไม่อยากได้กลิ่นเหม็นๆ จากตัวผมใช่ไหมล่ะครับ?”
“ฉัน…..ช่วงนี้รู้สึกคัดจมูกคงไม่ได้กลิ่นอะไรหรอกค่ะ” เธอหาเหตุผลขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แม้เมื่อเจ็ดปีก่อนเราสองคนจะเป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งปี และพบกันอย่างตรงไปตรงมาก็หลายครั้ง แต่พอคิดว่าจะต้องเช็ดให้ทั้งตัว ก็รู้สึกว่าตัวเองใบหน้าแดงก่ำราวกับขนมเค้กปิ้งแล้ว
“งั้นผมคงต้องเช็ดด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ”
เฉินเป่ยชวนไม่รีบร้อนอะไร เขายื่นมือจะไปหยิบผ้าขนหนูในอ่างน้ำนั่น แต่เฉียวชูเฉี่ยนกลัวบาดแผลที่เพิ่งทำแผลไปจะฉีกขาดอีก จึงไปหยิบผ้าขนหนูมาก่อน
“ฉันเช็ดให้คุณเองค่ะ”
ชายหนุ่มที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงยกยิ้มขึ้นมา “เช็ดให้ทั้งตัวเลยนะครับ”
“……”
ทั้งตัว สองคำนี้ทำให้เธอเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตัวเองรีบออกตัวไปก่อนเช่นนั้น แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาของเขา เธอก็ได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองและอดทนกับมัน
เช็ดก็เช็ดสิ ที่เคยเห็นหรือไม่เคยเห็นก็เคยเห็น เคยใช้มาก่อนตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว เจ็ดปีมานี้คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักหรอก
เธอใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ เริ่มเช็ดจากบริเวณข้อเท้าขึ้นมา เฉินเป่ยชวนรู้สึกตึงที่หลังเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้สะเทือนไปถึงกล้ามเนื้อใกล้บาดแผลบริเวณหลัง เขาจึงอดทนไม่แสดงอาการผิดปกติออกมา แต่พอเธอเช็ดขึ้นมาใกล้จุดอ่อนไหวของตัวเองมากขึ้น ความอดกลั้นแบบนั้นก็กลายเป็นความทรมาน
เฉินเป่ยชวนเม้มมุมปากแน่น ราวกับเขายกก้อนหินมาทุบเท้าของตัวเอง
เฉียวชูเฉี่ยนขยับผ้าขนหนูเชื่องช้าขึ้นเรื่อยๆ ขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็ถึงจุดที่ไม่อาจบรรยายได้ เธอจึงหันหน้าแดงๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าเธอแดงก่ำราวกับหยดเลือด
“โอเคแล้วครับ”
ไม่หยุดยังพอว่า แต่พอหยุดเท่านั้น เฉินเป่ยชวนก็แทบจะตายเสียให้ได้ เขาจึงต้องบอกให้หยุดเอง
“โอเค งั้นฉันไป……ไปเทน้ำนะคะ”
เธอทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับการอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษ โดยรีบหยิบอ่างน้ำที่วางอยู่ด้านข้าง แล้ววิ่งออกไปอย่างชุลมุนวุ่นวาย
เฉินเป่ยชวนหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ถึงจะควบคุมไฟปรารถนาของตัวเองให้สงบลงได้ แววตาฉายแววเสียใจออกมา เดี๋ยวรอไปอีกสักสองสามวันค่อยให้เธอเช็ดตัวให้ก็แล้วกัน
ภายในลานบ้าน เฉียวชูเฉี่ยนเดินหน้าแดงไปมา คุณป้าที่นอนหลับไปแล้วเดินออกจากห้องพัก เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเห็นเธอเดินไปมาที่ลานบ้านก็ตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา
“ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอนอีกหรือ?”
“ฉัน……ฉันกำลังดูแสงสียามค่ำคืนนะค่ะ”
เมื่อเงยหน้าชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นท้องฟ้าที่มืดมิด เธออายสุดจะเปรียบในชั่วพริบตา ฟ้ามืดขนาดนี้เธอไม่มีเหตุผลอันใดที่น่าฟังเลย
วันต่อมาทั้งสองคนตื่นนอนค่อนข้างสาย คุณป้าช่วยเก็บอาหารไว้ให้ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนเกิดความกระดากอาย เดิมทีพวกเขาก็มาขอใช้สถานที่เพื่อรักษาบาดแผล และไม่ใช่ญาติที่พวกเขาจะมาเสพสุขได้
“คุณป้า คราวหน้าพวกเราจะตื่นแต่เช้ามาทานอาหารนะคะ”
“ไม่เป็นไร ป้าก็เคยเป็นคนหนุ่มคนสาวมาก่อน บางครั้งก็จะรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษในวันที่สองนั่นล่ะ”
คุณป้าพูดแล้วหันมาขยิบตาให้เธออย่างรู้อยู่แก่ใจไม่ต้องอธิบาย ใครไม่เคยเป็นสาวมาก่อนล่ะ ป้าเข้าใจ
“……”
พูดซะจนใบหน้าเธอขึ้นสี จึงรีบยกอาหารเดินกลับเข้าห้อง เฉินเป่ยชวนนอนคว่ำอยู่บนเตียงเห็นเธอหน้าแดงๆ เดินจากข้างนอกเข้ามา บวกกับเสียงแปดหลอดของคุณป้า จะให้บอกว่าไม่รู้ก็คงยากล่ะ
“คราวหน้าหากเป็นคืนที่ไม่มีพระจันทร์ก็อย่าโกหกว่ามาดูแสงสียามค่ำคืนอีกล่ะ”
“……”
เฉียวชูเฉี่ยนรู้ว่าเขากำลังหัวเราะเยาะเหตุผลอันเส็งเคร็งเมื่อคืนนี้อยู่ จึงใช้สายตาพิฆาตจ้องชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเขาหรือ!
ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างสุดตัวของเธอ ทำให้บาดแผลที่หลังของเฉินเป่ยชวนอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าคนที่บาดแผลหายดีไม่ได้มีแต่เขา
ตกกลางคืน แม้คนสองคนที่นอนอยู่บนเตียงไม้จะยังรักษาระยะห่างกันอยู่ แต่กลับดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เขาวางแขนบนเอวเธออย่างเป็นธรรมชาติ “ผมโทรหา
ถังอี้แล้ว พรุ่งนี้เขาจะมารับพวกเราครับ”
“พรุ่งนี้ก็มาแล้วหรือคะ?”
จะได้ออกไปจากที่นี่ จะได้กลับไปเจอลูกชายของตัวเอง เธอควรดีใจถึงจะถูก แต่ไม่รู้ทำไมเธอรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แม้ที่นี่จะห่างไกลและไม่มีอะไรเลย แต่กลับทำให้เธอไม่อาจจะลืมตลอดไป
“ไม่อยากจะจากไปหรือครับ งั้นพวกเราอยู่กันต่ออีกสักหลายวันก็ได้นะครับ”
เฉินเป่ยชวนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ ไม่เพียงแต่เธอ เขาเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์แบบเดียวกัน
เพราะเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง
“อย่าเลยค่ะ ถ้าไม่กลับไปอีก จิ่งเหยียนและคุณย่าจะต้องเป็นห่วงแน่ๆ ค่ะ”
เธอส่ายศีรษะโดยไว เวลาผ่านไปครึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว หากอยู่ต่อเจ้าตัวน้อยอาจจะขอตัดความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกกันกับเธอเป็นแน่
เฉินเป่ยชวนกระชับวงแขนเบาๆ “คราวหน้าหากคุณคิดถึงที่นี่ พวกเราค่อยมาพักกันสักระยะหนึ่งอีกนะครับ”
เสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ ถ้าหากไม่ถูกพวกค้ายาจี้มาเป็นตัวประกัน เธอคงไม่กล้าจินตนาการว่าเธอกับเฉินเป่ยชวนจะยังมีอนาคตที่เป็นไปได้อยู่อีก
วันต่อมาขณะที่ฟ้ายังไม่สว่างดี ก็มีเสียงหึ่งหึ่งหึ่งดังขึ้นมาด้านนอก เธอกะจะปิดหูนอนต่อตามสัญชาตญาณ แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับลุกขึ้นมานั่งแล้ว
“ใช่คนที่จะมารับพวกเราหรือไม่คะ?”
เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองออกไปด้านนอก เขาเห็นแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รู้สึกไม่พอใจ ถังอี้มาเช้าเกินไปแล้ว
เฉียวชูเฉี่ยนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้อง เธอมองเห็นถังอี้และเหยียนสือเซี่ยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อย่างที่คิดไว้ เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองสุขสบายดี เธอก็วางใจได้เสียที
เหยียนสือเซี่ยรีบวิ่งมากอดเธอยกใหญ่ “ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณกฎหมายที่เธอยังสบายดีอยู่”
“เธอสบายดี ฉันก็ต้องสบายดีอยู่แล้วสิ”
อีกอย่างเธอยังต้องอยู่ดูแลครอบครัว ถึงจะมีแค่ความหวังเล็กๆ จากรอยต่อของความสิ้นหวัง แต่เพื่อจิ่งเหยียนเธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน
“เป่ยชวนล่ะ?”
พอถังอี้เห็นสองสาวเพื่อนสนิทกอดกัน ก็คิดใคร่ครวญว่าตัวเองจะกอดพี่น้องที่เพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติดีหรือไม่
“เขา……”
ขณะที่เฉียวชูเฉี่ยนคิดจะพูดออกมาว่าเฉินเป่ยชวนเพื่อช่วยเธอจึงถูกยิง แต่กลับถูกเสียงอันทรงพลังและเย็นชามาขัดจังหวะเสียก่อน “ฉันก็ต้องอยู่ตรงนี้สิ”
ประตูถูกเปิดออก จากนั้นเฉินเป่ยชวนก็เดินออกมาจากข้างใน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ใส่ชุดสูทสั่งตัดราคาแพง แต่อยู่ในชุดทำนาก็ไม่อาจบดบังรังสีอันสูงส่งของเขาไปได้