ไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร ไม่มีคนเดินผ่านมาไป หรือจะอยู่ที่นี่แล้วรอให้เลือดไหลจนหมดนะหรือ?
“ค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนลุกขึ้นยืนทันที เธอพยายามประคองชายหนุ่มให้ลุกจากพื้นอย่างเบามือ และคอยระมัดระวังคอยประคับประคองอยู่เคียงข้างอย่างเอาอกเอาใจ “เดินไปทางนั้น น่าจะมีหมู่บ้านเล็กๆ”
บนพื้นที่รกร้างไร้ผู้คน มีคนสองคนเดินอย่างช้าๆ ไปตลอดช่วงเช้าจนกระทั่งมองเห็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ตรงเชิงเขา
“เป่ยชวน มีหมู่บ้านจริงๆ ด้วยค่ะ” เมื่อเห็นควันสีขาวลอยขึ้นมา เธออดไม่ได้ที่จะร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อีกหน่อยคงไม่สงสัยในไอคิวของผมแล้วสินะ”
ริมฝีปากที่แตกแห้งของเฉินเป่ยชวนมีเลือดไหลออกมา ใบหน้าขาวซีดบ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยจนถึงขีดสุดแล้ว จากนั้นร่างของผู้ร่วมทางที่กำลังยกยิ้มอยู่ก็ล้มลงไปที่ด้านข้าง
“เป่ยชวน!”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาอย่างร้อนรนสร้างความตกใจให้กับผู้คนในหมู่บ้านที่เดินผ่านไปมา จากนั้นก็มีชายใจดีสองสามนายมาช่วยเธอหามเขาเข้าหมู่บ้านไป
“พวกคุณพอจะโทรหา 120 ให้หน่อยได้ไหมคะ”
เดินมาตลอดเช้าทำให้เธอทานอะไรไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบาดเจ็บหนักขนาดนี้
“แม่หนู ที่นี่เป็นเชิงเขา รถพยาบาลฉุกเฉิน 120 เขาไม่มากันหรอก เอาอย่างนี้ เดี๋ยวป้าจะไปเชิญคุณหมอประจำหมู่บ้านมาช่วยดูอาการให้”
คุณป้าครอบครัวเกษตรกรพูดออกมาอย่างใจดี หมู่บ้านของพวกเขาค่อนข้างลาดเอียงและไม่มีถนนคอนกรีต รถ 120 จึงไม่อาจเข้ามาได้ พูดได้ว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ได้หมอประจำหมู่บ้านเป็นผู้รักษาให้ทั้งนั้น
“งั้นรบกวนคุณป้าช่วยเร่งให้หน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
สิบกว่านาทีต่อมา คุณป้าได้พาชายวัยห้าสิบกว่านายหนึ่งเข้ามา เฉียวชูเฉี่ยนไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือด้านการแพทย์อย่างไร ในเมื่อเป็นถึงคุณหมอก็ต้องเก่งกว่านักศึกษาเรียนไม่จบ ฝึกงานเพียงครึ่งปีอย่างเธออยู่แล้ว “คุณหมอคะ รบกวนช่วยดูให้หน่อยว่าอาการเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะค่ะ?”
คุณหมอแตะชีพจรให้เฉินเป่ยชวน และตรวจดูบาดแผล โดยดึงแถบผ้าที่พันเอาไว้ก่อนหน้าออก จากนั้นใส่ยาฆ่าเชื้อและพันแผลให้ใหม่ “บาดแผลนี้เธอเป็นคนจัดการให้หรือ? บาดแผลไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างพ่อหนุ่มคนนี้พื้นเพร่างกายไม่เลวเลย ไม่ตายง่ายๆ หรอก วางใจได้”
คุณหมอพูดจบก็ทิ้งยาฆ่าเชื้อเอาไว้ขวดหนึ่งแล้วเดินจากไป เฉียวชูเฉี่ยนมองชายหนุ่มที่นอนหมดสติ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่
“แม่หนู หากเธอไม่รังเกียจช่วงนี้ก็พักอยู่ที่บ้านป้าไปก่อน รอให้พ่อหนุ่มหายดีแล้วค่อยไปก็ได้”
คุณป้าส่งน้ำอุ่นและของกินมาให้ พูดๆ แล้วก็ยิ้มตาหยีใส่เธอ
“ขอบคุณค่ะ ทำให้คุณป้าลำบากแล้ว”
“ลำบากอะไรกัน หมู่บ้านเราออกจะยากแค้นไปหน่อยเท่านั้นเอง”
คุณป้ายิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็วางของแล้วเดินออกจากห้องไป
เฉินเป่ยชวนนอนไม่ได้สติไปสองวันถึงฟื้นขึ้นมา ดวงตาที่อ่อนแรงแต่ยังเฉียบคมสังเกตห้องที่อยู่ตรงหน้า ห้องหับทั้งเก่าทั้งชำรุดยากจะให้คนอยู่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญอะไร เขามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็ยังไม่พบเงาของเฉียวชูเฉี่ยน
“พ่อหนุ่มฟื้นแล้วหรือ?”
คุณป้าเข้าห้องเพื่อจะมาหยิบของ จึงเห็นเขากำลังลืมตาอยู่พอดี คุณป้าผงะไปชั่วขณะ พ่อหนุ่มตอนยังไม่ได้สติก็หล่อเหลาอยู่แล้ว พอลืมตาขึ้นมากลับดูหล่อเหลามากขึ้นไปอีก
“ผู้หญิงที่มากับผมล่ะครับ?”
เฉินเป่ยชวนขยับตัวอย่างอ่อนแรง แล้วถามหาเฉียวชูเฉี่ยน
“เธอกำลังต้มโจ๊กอยู่ที่ลานบ้าน พ่อหนุ่มไม่รู้อะไร สองวันที่พ่อหนุ่มหมดสติไป ภรรยาของพ่อหนุ่มนอกจากออกไปทำอาหารมากินให้แล้ว เธอเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างๆ พ่อหนุ่มไม่ยอมไปไหนเลย ตาก็บวมอยู่ทุกวันๆ คงร้องไห้มาไม่น้อยเลย”
หัวใจของเฉินเป่ยชวนราวกับมีอะไรมาตีใส่ เดิมร่างกายเขาออกจะเย็น ไม่มีเรี่ยวแรงแต่จู่ๆ ก็ถูกโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่นบางอย่าง สายตาเขามองออกไปนอกประตู “เขาเฝ้าผมอยู่ตลอดเลยหรือครับ?”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร แค่มองพวกเธอก็รู้แล้วว่าเป็นคู่วัยหนุ่มสาวที่รักกันมากคู่หนึ่ง”
คุณป้าพูดยิ้มๆ แล้วหยิบของเดินจากไป ปล่อยให้เขาใจลอยอยู่เงียบๆ คนเดียว
ผ่านไปไม่ถึงสองวินาที เฉียวชูเฉี่ยนก็สอยเท้าเร็วรี่วิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน “คุณตื่นแล้วหรือคะ?”
“อืม”
เขาตอบรับไปคำหนึ่ง แล้วหันไปสังเกตผู้หญิงตรงหน้าที่สวมใส่เสื้อคลุมที่ไม่ค่อยจะน่าดู แต่กลับรู้สึกว่าเธอสวยมากขึ้นไปอีก นอกจากใบหน้าที่ดูตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเหมือนจะบวมๆ แดงๆ และคล้ำไปสักหน่อย
เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกอึดอัดที่ถูกเขามองเช่นนี้ แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจ ขอเพียงบำรุงให้ดีๆ แผลก็จะหายเร็วขึ้นเท่านี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
“ฉัน……ฉันต้มโจ๊กมาให้คุณค่ะ ตอนนี้คุณทานได้แต่ของเหลวนะคะ”
พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินออกจากห้องแล้วยกโจ๊กร้อนๆ เข้ามาชามหนึ่ง
เฉินเป่ยชวนยื่นมือออกไปรับ แต่เธอกลับกดแขนเขาเอาไว้ “คุณอย่าเพิ่งขยับตัวแบบนี้สิคะ จะกระทบถูกแผลได้ง่ายๆ คุณอ้าปากเดี๋ยวฉันป้อนให้เองค่ะ”
เท่าที่จำความได้ไม่เคยมีคนป้อนเขามาก่อน แต่พอได้เห็นโจ๊กร้อนๆ ส่งมาถึงปาก เขาก็อ้าปากอย่างว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
โจ๊กอุ่นร้อนมีรสขมนิดๆ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากที่แห้งผาก อีกทั้งยังกลืนได้คล่องคอโดยไม่ต้องเคี้ยวอะไรมาก เมื่อวิ่งผ่านหลอดอาหารไปแล้วก็ให้ความรู้สึกอุ่นร้อนไปทั่วกระเพาะอาหาร
“สองวันมานี้คุณดูแลผมมาตลอดหรือครับ?
พอทานโจ๊กหมดชามแล้ว เขาก็รู้สึกมีแรงขึ้นมา อย่างน้อยก็มีแรงพูดมากกว่าเมื่อสักครู่นี้
“คุณบาดเจ็บเพราะฉันนี่คะ ฉันก็ควรเป็นคนดูแลคุณสิ”
แต่เหตุผลแบบนี้กลับทำให้เขาขมวดคิ้ว หากไม่เป็นเพราะเขารับกระสุนแทน เธอก็จะไม่ดูแลเขาอย่างนั้นหรือ?
“คุณอยากทานโจ๊กอีกสักชามไหมคะ?”
เฉียวชูเฉี่ยนกลัวกระเพาะเขาจะว่างจึงรีบถามเขาไปทันที แต่กลับถูกปฏิเสธทันควัน “ไม่กิน”
“……”
เมื่อครู่นี้แม้จะขัดเขินอยู่บ้าง แต่บรรยากาศก็ไม่เลวเลย จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว เธอรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง ไม่อยากทานก็ไม่ต้องทานสิ ทำไมจะต้องพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดีแบบนี้ด้วยล่ะ
เฉินเป่ยชวนอารมณ์เสียไปตลอดจนถึงช่วงค่ำ ครอบครัวของคุณป้าปิดไฟนอนกันแล้ว ส่วนเฉียวชูเฉี่ยนกลับทำอะไรไม่ถูก
สองคืนที่ผ่านมาเป็นเพราะเขายังหมดสติอยู่ เธอจึงพักอยู่บนเตียงสำหรับสองคนได้พักหนึ่ง แต่ยามนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว และด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้……
“ขึ้นเตียง แล้วนอน”
เฉินเป่ยชวนเห็นดวงตาเธอแดงก่ำแล้วยังไม่ยอมรีบมานอน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉัน……ฉันยังไม่ง่วง คุณนอนก่อนเถิดค่ะ”
เธอกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาหย่ากันแล้วนะ
“สภาพของคุณในตอนนี้ ผมไม่สนใจคุณหรอก”
เฉินเป่ยชวนเดาใจเธอออก จึงพูดออกไปอย่างเหน็บหนาวแล้วก็หันหน้าไปอีกด้าน
ถึงเขาสนใจ แต่สภาพตอนนี้จะไปทำอะไรได้ เธอกังวลไปทำไมกัน
เห็นเขาหันไปไม่มองมาทางนี้แล้ว เฉียวชูเฉี่ยนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอเหนื่อยจนใกล้จะล้มแผ่แล้วจริงๆ สองคืนมานี้เธอไม่กล้านอนมากเพื่อจะได้อยู่ดูแลเขา
เธอค่อยๆ ย่องขึ้นเตียงที่ทำจากแผ่นไม้ แล้วยังคอยรักษาระยะห่างกับชายหนุ่มที่นอนอยู่ด้านในอย่างระมัดระวังอีกด้วย
ช่วงสองสามวินาทีแรกเธอยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง แต่เพียงไม่นานเธอก็ทนแรงกวักของท่านโจวกงไม่ไหว แล้วปล่อยลมหายใจแห่งความฝันอันหอมหวานออกมาแทน
ถึงยามนี้เฉินเป่ยชวนจึงหันหน้ามา เขาเห็นหลังบางก็รู้สึกเจ็บปวดใจ แววตาไม่สบอารมณ์ก่อนหน้าได้หายไปแล้ว
เมื่อมองลงมาจนถึงช่วงเอว ไม่รู้ผู้หญิงคนนี้จัดการบาดเจ็บของตัวเองแล้วหรือยัง
เขายื่นมือถลกเสื้อคลุมบนตัวเธอขึ้นเพื่อตรวจดูบาดแผล
บาดแผลที่ยาวเป็นนิ้วนั่นได้รับการใส่ยาเรียบร้อยแล้ว และเหมือนแผลใกล้จะตกสะเก็ดแล้วด้วย เฉินเป่ยชวนจึงโล่งอกในที่สุด
ขณะที่กำลังจะเอาเสื้อคลุมลง หญิงสาวที่นอนอยู่ด้านข้างๆ จู่ๆ ก็มาจับแขนเขา “เป่ยชวน ฉันไม่อยากตาย”