น่าตายนัก ไม่คิดเลยว่าเธอจะปฏิเสธคำขอแต่งงานของลู่ฉีเพราะคำขู่ของเขาจริงๆ หากวันนี้เขาไม่ได้ไปเจอเข้า เธอก็จะขอให้ชายหนุ่มอีกคนสวมแหวนแต่งงานให้เธอ
“อื้ม”
เขาจูบอย่างแนบแน่น ปราศจากความอ่อนโยนหรืออ่อนหวาน มีเพียงพายุบ้าคลั่งที่กำลังทะลักทะล้นออกมา
และสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็นั้นคือ เขาเริ่มฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนตัวเธออย่างไร้ความปราณี เนื้อผ้าที่ทำจากวัสดุบอบบางถูกฉีกขาดจนเป็นรอยเว้าโหว่
ผิวขาวผุดผ่องเปล่งประกายแวววาวตัดกับความมืดสนิท สายตาที่กวาดมองมาของเฉินเป่ยชวนเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธที่ผสมปนเป แต่ร่างกายเขากลับร้อนรุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉียวชูเฉี่ยนอยากจะเอามือบัง แต่สองมือเจ้ากรรมถูกเขาจับมัดขึ้นสูงไว้กับฝากระโปรงรถเสียแล้ว เธอไม่อาจที่จะขยับเขยื้อนได้
ทำอย่างไรดี?
เธอตื่นตระหนกมาก อยากจะหนีแต่ไม่มีทางให้หนีรอดไปได้
ฉากตรงหน้าอันงดงามตระการตาเยี่ยงนี้เฉินเป่ยชวนจะไม่มองได้อย่างไร เวลาเจ็ดปีเปลี่ยนเธอให้เป็นคนเสแสร้ง และร่างกายนี้ก็ดูจะอวบอิ่มขึ้นมาก
แววตาที่เยียบเย็นและแผดร้อนทำให้เธอตกใจ เธอคิดอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่เขาผละออกจากริมฝีปากของเธอรวบรวมความกล้าตะโกนออกไป “เฉินเป่ยชวน ในใจคุณยังลืมภรรยาเก่าอย่างฉันไม่ได้ใช่ไหมคะ?”
เมื่อเอ่ยคำพูดอย่างสั่นเทาออกไป แววตาอันร้อนแรงของเฉินเป่ยชวนก็หายวับไปโดยเร็ว ดั่งกองเพลิงที่กำลังรุกโชกช่วงจู่ๆ ก็ถูกห่าฝนโหมซัดกระหน่ำลงมาจนไฟดับ
“อยู่อเมริกามาเจ็ดปีดูเหมือนเธอจะได้วิชาเข้าข้างตัวเองมาด้วยนะ”
มือใหญ่ประคองฝากระโปรงรถเบาๆ เขาขยับตัวออกจากตัวเธอ จากนั้นก็มองมาด้วยสายตาที่เหยียมหยาม
“คุณลืมสิ่งที่ผมพูดไปแล้วหรือ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก!”
เมื่อไม่มีกำแพงมนุษย์มาขวางกั้นแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงรีบลงมาจากกระโปรงรถ จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย แม้จะฉีกขาดไปแล้ว แต่เธอก็พยายามหาอะไรมาปกปิดไว้
“ฉันจะหายตัวไปตามความต้องการของประธานเฉินเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
พูดจบเธอก็วิ่งกลับเข้าคฤหาสน์ไป ในเมื่อไม่อยากเห็นหน้าฉัน ทำไมยังมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันครั้งแล้วครั้งเล่าล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมาอาละวาดถึงคฤหาสน์เธอในยามวิกาลเช่นนี้อีกด้วย
เฉินเป่ยชวนเห็นประตูคฤหาสน์ปิดลงอย่างรวดเร็ว สายตาบอกความโมโหที่มีมากขึ้น เขาร้อนใจไม่เป็นสุขโดยไม่รู้สาเหตุ เขาจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงวิ่งมาถึงที่นี่เพื่อถามเธอว่าทำไมถึงไม่ตอบรับคำขอแต่งงานของลู่ฉี
พอเฉียวชูเฉี่ยนเข้าคฤหาสน์ก็เอาแต่หลบอยู่หลังประตู ดึงตาแมวขึ้นมามองอย่างระมัดระวัง เธอรอจนรถยี่ห้อมายบัคถูกขับออกไปอย่างเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจแล้ว ถึงกล้าถอนหายใจออกมา
เธอรู้สึกเจ็บนิดๆ บริเวณกลีบปาก พอยกมือไปลูบบริเวณที่เจ็บเบาๆ ก็แตะไปเจอคราบเลือด
“ต้องเกิดปีจอแน่ๆ เลย”
เขากัดเธอหลายครั้งแล้ว ไม่เพียงกัดบนไหล่เธอ ยังกัดริมฝีปากเธออีกด้วย
ใบหน้าเธอแดงระเรื่อขึ้นมายามคิดไปถึงจูบที่ทั้งน่ากลัวแต่ก็ทำให้หัวใจเต้นเร็วรัวนั่น ผ่านไปเจ็ดปีแล้วเธอยังเป็นเหมือนเมื่อสมัยก่อน เพียงเขาขยับเข้ามาใกล้ ก็จะรู้สึกทั้งตื่นเต้นและต่อต้านอยู่ในใจ
เธอก้มมองร่างกายของตัวเอง หรือในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมาร่างกายนี้ยังซื่อตรงและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของเฉินเป่ยชวนได้อยู่
เธอขึ้นบันไดไปอย่างหงุดหงิด พอเห็นว่าเจ้าตัวน้อยไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ เฉียวชูเฉี่ยนก็เดินกลับห้องนอนของตัวเอง “ทำไมถึงปฏิเสธคำขอแต่งงานของลู่ฉี?” น้ำยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง เธอเหมือนจะได้ยินเสียงเฉินเป่ยชวนตะโกนถามอีกครั้งที่ข้างหู ใช่ซิ ลู่ฉีดีต่อเธอและเจ้าตัวน้อยถึงเพียงนั้น ทำไมถึงต้องปฏิเสธด้วยนะ
แม้เธอจะไม่ยอมรับ แต่เธอยังไม่อาจที่จะขับไล่ภาพของคนๆ หนึ่งออกไปจากใจได้ จึงมิอาจเพิ่มใครอีกคนเข้ามา
ไม่รู้เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อใดที่เธอได้สลักชื่อๆ หนึ่งเอาไว้ในใจ นั่นคือ เฉินเป่ยชวน
ใช่คืนวันที่งดงามจนน่าทึ่งเมื่อสิบปีก่อนหรือไม่นะ?
“เฉี่ยนเฉี่ยน งานเลี้ยงคืนนี้จะมีชายหนุ่มรูปหล่อมาร่วมงานมากมาย ลูกลองไปดูซิว่าชอบคนไหน เดี๋ยวพ่อจะยกให้เป็นสามีของลูก”
เฉียวเอ้าเทียนที่พูดด้วยรอยยิ้มอยู่นั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่ววงการห้างสรรพสินค้าในเรื่องความเด็ดขาดและมีเค้าหน้าที่เย็นชา ใครๆ ต่างรู้กันว่าประธานเฉียวแห่งตระกูลเฉียวเป็นคนที่เข้าถึงยาก แต่เวลาคนผู้นี้อยู่ต่อหน้าภรรยาและลูกสาวของตัวเองจะกลายเป็นคนรักใคร่เอาอกเอาใจจนน่าตกตะลึง
“คุณพ่อพูดเหมือนจะไปลักพาตัวคนมาอย่างนั้นล่ะคะ”
เธอยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย เลือกสามีไม่ใช่เลือกผักกาดขาวซักหน่อยที่แค่ดูความสดกับไม่มีแมลงก็เอาขึ้นชั่งได้แล้ว จะไปดูส่งๆ แล้วเลือกขึ้นมาได้อย่างไร
“ลักพาตัวคนแล้วจะทำไม ขอเพียงลูกพ่อชอบเสียอย่าง พ่อจะไปช่วงชิงมาไว้ในมือลูกให้จงได้”
เธอสวมรอยยิ้มมาตรฐานแฝงความอบอุ่นไว้บนใบหน้าขณะเดินออกมาจากห้องพักผ่อน ใบหน้าทั้งห้าส่วนที่อ่อนหวานบวกกับรอยยิ้มละไมทำให้เธอเป็นที่สนใจจากเหล่ารุ่นที่สองกันอย่างล้มหลามทันที
เฉียวชูเฉี่ยนถูกจ้องมองราวกับเป็นเหยื่อที่จะถูกล่า จึงรู้สึกไม่สบายใจแต่เธอกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย พี่ชายทั้งหลายเหล่านี้ต่างรู้วิธีที่จะเป็นอัจฉริยะในด้านผลาญสมบัติของตระกูลกันทั้งนั้น มิน่าถึงมีคนพูดกันว่าความร่ำรวยมั่งคั่งของตระกูลอยู่ไม่พ้นสามรุ่น รุ่นที่หนึ่งยังใช้สมบัติไม่หมด ก็มาจบสิ้นในรุ่นที่สาม
“รู้อย่างนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมพี่ฉีให้มาด้วยก็ดี” เธอบ่นพึมพาไปอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นก็ได้แต่กลับไปเลือกผักกาดขาวที่มีแต่ตัวหนอนพวกนั้นต่อไป
ขณะที่เธอคิดจะแสร้งเดินหมุนตัวซักรอบก่อนจะเข้าห้องพักผ่อนไป จู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นภาพเงาสูงโปร่งของคนผู้หนึ่ง เธอชินกับการมองเห็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดสูทสีดำในโอกาสแบบนี้ แต่พอคนผู้นี้สวมใส่กลับดูมีราคาค่างวดขึ้นมา
เฉียวชูเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะเดินไปทางร่างนั้นอีกสักสองสามก้าว อยากให้ตัวเองได้เห็นชัดขึ้นกว่านี้
ครั้นแล้วในเวลานี้เอง ภาพเงาของคนผู้นั้นก็ขยับตัวอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ดูราวกับกล้องระยะไกลที่ค่อยๆ แพนกล้องไปที่ใบหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบที่น่าจดจำ ทำให้ลมหายใจเธอปั่นป่วนไปหมด
“เป่ยชวน ไม่คิดว่าคุณจะมาด้วย”