ภายในร้านอาหาร แม้บรรยากาศจะดูอบอุ่นเพราะมีเจ้าตัวน้อย แต่สีหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนก็ยังดูไม่ดีนัก เธอแสร้งตีสีหน้าไม่สะทกสะท้านอยู่ทานอาหารจนหมด จากนั้นเฉียวชูเฉี่ยนก็ดึงเจ้าตัวน้อยออกจากร้านอาหารทันที
“ผมส่งพวกคุณกลับนะครับ”
ลู่ฉีรีบเดินไปเปิดประตูรถให้ เธอส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ พวกเราเรียกรถกลับได้ค่ะ”
“เฉี่ยนเฉี่ยน คำขอแต่งงานสามารถพิจารณาใหม่ได้ แต่การส่งคุณกลับเป็นสิ่งที่สุภาพบุรุษอย่างผมพึงกระทำ อย่าปฏิเสธผมเลยจะได้ไหมครับ?”
ลู่ฉีพูดจบก็ยื่นมือไปเปิดประตู วันนี้เขารู้สึกเจ็บปวดใจจากการถูกปฏิเสธก็จริง แต่เขายินดีที่จะรอต่อไป ขอเพียงยังมีความหวังอยู่
“งั้นก็ได้ค่ะ”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ปฏิเสธก็ดูจะเกินไป เธอจึงดึงเจ้าตัวน้อยที่กำลังยักคิ้วหลิ่วตาอยู่ข้างๆ ขึ้นรถบริเวณโซนด้านหลัง
เงียบไปตลอดทางทั้งสองคน เธอเห็นว่าอากาศภายในรถดูอบอ้าว จึงเลื่อนกระจกรถลง ยังดีที่ใกล้จะถึงคฤหาสน์แล้ว พอรถจอดสนิทเธอก็จูงเจ้าตัวน้อยลงจากรถ
“งั้นพวกเราขึ้นไปก่อนนะคะ”
“เฉี่ยนเฉี่ยน ผมขอคุยกับคุณอีกซักหน่อยจะได้ไหมครับ?”
ร่างบางที่หมุนตัวเตรียมจะจากไปหยุดชะงักลงเพราะคำพูดอันอ่อนโยนของเขา เฉียวชูเฉี่ยนจึงต้องหมุนตัวกลับมา เจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ ยิ้มตาหยีพลางกระพริบตาให้ทั้งสองคน
“ผมยังเด็ก ขอไม่ร่วมวงกับผู้ใหญ่เช่นพวกท่านแล้ว ทั้งสองท่านค่อยๆ คุยกันนะครับ จะคุยกันกี่คืนก็ได้ครับ”
พอกระพริบตาเสร็จก็วิ่งหายเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
“เจ้า……” อ้าปากแล้วแต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ความรู้สึกแบบนี้เธอไม่ชอบเอาเสียเลยจริงๆ
“เฉี่ยนเฉี่ยน ผมรู้ว่าที่ผมขอคุณแต่งงานในขณะที่คุณยังไม่พร้อมในวันนี้ ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดจนวางตัวไม่ถูก แต่ผมไม่ยอมแพ้ครับ ผมชอบคุณมาตั้งแต่เล็ก และชั่วชีวิตนี้คนที่ผมอยากจะขอแต่งงานด้วยก็มีแต่คุณเพียงเท่านั้น ต่อให้ต้องรอเป็นสิบปี แปดปี หรือจะให้นานไปกว่านี้ผมก็จะรอต่อไปครับ”
ลู่ฉีพูดด้วยสีหน้าที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เขาเคยคิดจะหยุดชอบเธอ แต่ก็ล้มเหลว ไม่ว่าเธอจะเคยแต่งงาน และมีลูกกับคนอื่นแล้วก็ตาม ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยลืมเธอไปจากใจได้เลย
“ฉี ฉันรู้ว่าคุณดีกับฉันมาก แต่ฉัน……”
เธอมองลู่ฉีเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น แม้จะรู้ว่าสถานะเช่นนี้คงจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดใจมาก แต่เธอเองก็เคยพยายามที่จะรักชายตรงหน้ามาก่อน แม้เพียงนิดก็ยังดี แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ชีวิตดับสูญก็คงไม่อาจบังคับใจตัวเอง
“เฉี่ยนเฉี่ยน วันนี้คุณอย่าเอ่ยคำทำร้ายจิตใจผมอีกเลยจะได้ไหมครับ?” เฉียวชูเฉี่ยนยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ลู่ฉีกลับชิงพูดเสียก่อนแล้ว
“……”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นไปก่อน ขากลับคุณขับช้าๆ หน่อยนะคะ”
นอกจากคำพูดที่ทำร้ายจิตใจแล้วเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จึงได้แต่โบกมืออำลา จากนั้นก็รีบเดินเข้าคฤหาสน์ไป
ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่ได้ยินเสียงรถห่างออกไปแล้ว เธอจึงถอนหายใจอกมา เจ็ดปีที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพื่อนผู้ชายที่ยังอยู่เคียงข้างเธอมีแค่ลู่ฉีคนเดียว เขาดีกับฉันขนาดไหน ถึงจะเสแสร้งแกล้งทำเป็นมองข้ามไปก็คงไม่ได้แล้ว แต่ทว่าเธอไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี
“หม่ามี๊ คุณอาลู่ฉีรักคุณแม่จริงๆ นะครับ ทำไมคุณแม่ถึงไม่ตอบรับคำขอแต่งงานของคุณอาล่ะครับ?”
เจ้าตัวน้อยที่แอบดูอยู่ข้างหน้าต่างชั้นบนมาตลอดรีบวิ่งลงมาข้างล่าง สีหน้าอยากตำหนิเธออย่างเห็นได้ชัด เขาไม่มีคุณพ่อมาเจ็ดปีแล้ว มายามนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พ่อเลี้ยงที่ไม่เลวให้ตัวเองซักคน แต่หม่ามี๊กลับปฏิเสธอย่างโหดร้าย
พอนึกไปถึงแผ่นหลังของคุณอาลู่ฉีที่เดินจากไปอย่างเศร้าสร้อย เขาก็เจ็บปวดใจขึ้นมา
“เรื่องของผู้ใหญ่ เรายังไม่เข้าใจหรอก”
มือบางขยี้เส้นผมละเอียดและอ่อนนุ่มของเจ้าตัวน้อย ลู่ฉีมีความจริงใจต่อเธอ แต่เธอไม่อาจใช้เหตุผลนี้มาตอบรับการขอแต่งงานของเขาได้
ชีวิตสมรสที่ปราศจากความรัก เป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก
“เหอะ มีอะไรไม่เข้าใจกันครับ ไม่ใช่เป็นเพราะคุณแม่มีคนอื่นอยู่ในใจแล้วหรอกหรือ ก็เหมือนรักสามเส้าในละครหลังข่าวนั่นอย่างไรล่ะครับ”
เจ้าตัวน้อยกอดอก แขนป้อมๆ ทั้งสองข้างช่างขาวนุ่มน่าบีบยิ่งนัก โดยเฉพาะปากแดงๆ วาวๆ ของเขาตอนทำปากจู๋นั่น จากนั้นเฉียวชูเฉี่ยนก็โอบเอวเจ้าตัวน้อยมาจูบทีหนึ่ง เจ้าตัวน้อยรีบส่งเสียงร้องออกมา
“คุณแม่แต๊ะอั๋งผม”
เจ้าตัวน้อยถูกชิงจูบอย่างกะทันหัน ขาเล็กรีบถอยหลังไปสองสามก้าว เคยบอกหลายครั้งว่าเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ควรจูบปากเขาสุ่มสี่สุ่มห้า
“ใครใช้ให้เธอทำตัวเป็นผู้ใหญ่กันล่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนยิ้มจนตาหยี พอเธอได้บังคับจูบเจ้าตัวน้อยจนสำเร็จ ความรู้สึกอึดอัดภายในใจก็มลายหายสิ้น รอให้ผ่านไปสักหน่อย เธอค่อยหาโอกาสคุยกับลู่ฉีอีกที
สิ่งที่เจ้าตัวน้อยพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เธอไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอมีชายอีกคนหนึ่งอยู่ในใจ ตลอดเจ็ดปีเธอพยายามลบเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาให้ออกไปหมดแล้ว แต่หลังจากกลับประเทศและได้เจอคนๆ นั้นอีกครั้ง เธอก็พบว่าต่อให้เหลือภาพอันเศร้าสร้อยอยู่ในสมองแม้เพียงนิดเดียว แต่เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง เธอก็เหมือนหญ้าป่าที่ฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็ว และเติบโตอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ
เสียงดนตรีอันไพเราะยังคงดังต่อเนื่องอยู่ภายในคฤหาสน์ทะเลสาบหมิงเย่ว กลิ่นหอมจางๆ อบอวลอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่ผู้หญิงคนนั้นชอบใช้ในอดีต
เฉินเป่ยชวนนั่งเกียจคร้านอยู่บนโซฟา ใบหน้าไม่เย็นชาเหมือนยามปกติ แต่อารมณ์ดูเหมือนจะไม่ดีเป็นอย่างมาก
ไม่คาดคิดว่าเจ้าลู่ฉีนั่นจะขอผู้หญิงของเขาแต่งงานต่อหน้าเขา!
พอยกแก้วเหล้าขึ้นมา เขาก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา ความชอบของผู้หญิงช่างไม่แน่นอนเสียจริง เปลี่ยนน้ำหอมยังพอว่า แม้กระทั่งสไตล์การขอแต่งงานก็ยังเปลี่ยนไปด้วย!
เขาเงยหน้ากระดกเหล้าดีกรีสูงลงคอไป เห็นๆ อยู่ว่าการข่มขู่ของเขาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่เขากลับไม่ดีใจแม้แต่น้อย ตรงหน้าเขาไม่รู้ทำไมแต่เหมือนจะปรากฏภาพสมัยก่อนที่เขาและผู้หญิงชื่อเฉียวชูเฉี่ยนนั่นจะแต่งงานกัน
ไม่มีร้านอาหารสไตล์ตะวันตก ไร้ซึ่งแหวน และช่อดอกไม้ใดใด ตอนนั้นเธอยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย ทั้งสองบ้านไม่รู้ไปทานยาผิดสำแดงอะไรมาจึงต้องการจับพวกเขาแต่งงานกัน เขาจึงขับรถไปจอดหน้าโรงเรียน เตรียมจะไปทักทายว่าที่ภรรยาที่ผู้ใหญ่เป็นผู้เลือกให้ ช่วงเวลานั้นเธอเพิ่งเลิกคลาสกำลังจะเดินออกมาพอดี
“เฉียวชูเฉี่ยน?” เมื่อมองใบหน้าเธอที่ตรงกับในรูปภาพ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าดูอวบอิ่มกว่าในรูปนิดหน่อย โดยเฉพาะเนื้อน้อยๆ บนใบหน้าเล็กที่ดูขาวๆ นุ่มๆ จนเขาอยากจะลองบีบดูว่าจะมีน้ำออกมาหรือไม่
“ฉันชื่อเฉียวชูเฉี่ยน เฉียวที่หมายถึงเสี่ยวเฉียว ชูที่หมายถึงครั้งแรก และเฉี่ยนที่หมายถึงรอยยิ้มจางๆ ค่ะ”
เธอในทรงผมมัดหางม้าเงยหน้าตอบคำถามด้วยรอยยิ้มละไมดั่งดอกไม้ ฟันขาวสะอาดบนรอยยิ้มนั่นช่วยขับให้เธอดูบริสุทธิ์ปราศจากธุลี เขาชินกับลูกผู้ดีมีตระกูลที่ถูกเลี้ยงมาจนเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ชินกับรอยยิ้มที่ประจบประแจงเอาใจของพวกเขา แต่ไม่เคยเห็นใครยิ้มได้สะอาดบริสุทธิ์เท่านี้มาก่อน
เขารีบถอนสายตากลับมาด้วยกลัวจะถูกมองว่าเขาเสียกริยา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นจนรอยยิ้มของเธอหายวับไป “ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะชื่ออะไร ทางตระกูลเฉินและตระกูลเฉียวต้องการเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน ถ้าผมขอคุณแต่งงาน คุณจะกล้าแต่งไหมล่ะ?”
ผู้หญิงที่แต่งงานเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทางธุรกิจ คงไม่กล้าเพ้อฝันไปว่าเขาจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความรักกระมัง
กล่าวโดยสรุปเธอก็เป็นเเค่หมากตัวหนึ่งในทางธุรกิจก็เท่านั้น
“คุณไม่ใช่หมาป่า สุนัขก็ไม่ใช่ ทำไมฉันจะไม่กล้าแต่งด้วย เฉินเป่ยชวน ฉันคงเข้าใจถูกใช่ไหมว่าคุณกำลังขอฉันแต่งงาน ถ้าใช่ล่ะก็ ฉันขอตอบคุณว่า ฉันยินดีค่ะ”
เธอยิ้มจนตาหยี จากนั้นภาพตรงหน้าก็หยุดไป เขาเห็นได้ชัดถึงการยั่วยุและความดื้อรั้นในสายตาเธอ จากนั้นเขาก็สะบัดศีรษะ เฉินเป่ยชวนออกมาจากความทรงจำในอดีตแล้ว สายตาเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจบางอย่าง