ทันทีที่ฝ่ายชายก้าวเท้าเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเฟยเอ๋อร์ก็เย็นชาขึ้นหลายส่วน เธอมองเฉียวชูเฉี่ยนอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยสายตาที่เยือกเย็น
หากเธอจำไม่ผิด วันนั้นคนที่เจอในร้านอาหารสไตล์ตะวันตกก็เหมือนจะเป็นผู้หญิงคนนี้ และยังมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง
สัญชาตญาณหญิงบอกกับเธอว่า ผู้หญิงคนนี้ในอดีตจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยชวนเป็นแน่
รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย จากนั้นหลินเฟยเอ๋อร์ก็พูดผ่านริมฝีปากสีแดงว่า “ฉันไม่สนว่าเธอกับ
เป่ยชวนจะเคยมีความเกี่ยวพันอันใดต่อกันมาก่อน แต่ตอนนี้เขาเป็นของฉัน ต่อไปเธอทำงานอยู่ข้างเขาก็ขอให้ใจซื่อมือสะอาดหน่อยแล้วกัน!”
เฉียวชูเฉี่ยนคิดๆ ดูแล้วก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหญิง ‘สายบริสุทธิ์ไร้เดียงสา’ ที่เล่าลือกันไปทั่วเวลาอิจฉาริษยาขึ้นมาจะมีท่าทีที่ดุร้ายถึงเพียงนี้
ทั้งน่ากลัวและขี้เหร่เหลือเกิน
“จะเป็นไปได้อย่างไรคะ ถึงฉันจะมีความกล้าเต็มร้อยก็ไม่อาจหาญมาแย่งคุณผู้ชายของ
คุณเฟยเอ๋อร์หรอกค่ะ”
เฉียวชูเฉี่ยนถอยหลังไปสองก้าวแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา “ใครไม่รู้กันบ้างว่าเบื้องหลังของ
คุณเฟยเอ๋อร์ยิ่งใหญ่มากขนาดไหน”
หลินเฟยเอ๋อร์ส่งเสียง ฮึ ด้วยความลำพองใจ จากนั้นก็กวาดสายตาไปทางเฉียวชูเฉี่ยวอย่างหยิ่งยโส
“เฟยเอ๋อร์” เสียงอันเย็นชาของเฉินเป่ยชวนลอยมาจากทางด้านหน้า
แล้วริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อยของหลินเฟยเอ๋อร์ก็ปิดแน่นลงทันที เธอจ้องหน้า
เฉียวชูเฉี่ยนอย่างดุดัน
หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มงดงามดั่งดอกไม้แล้วรีบเดินไปจับแขนเฉินเป่ยชวนอย่างนุ่มนวล “เป่ยชวน เมื่อก่อนเลขาเฉียวเคยเรียนการแพทย์มาจริงๆ หรือคะ? เกิดเธอไม่เหมาะกับงานนี้ขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะคะ?”
“ไล่ออก” สองคำง่ายๆ ถูกเอ่ยออกมาอย่างเย็นยะเยือก
เฉียวชูเฉี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับตัวเองให้ฝืนยิ้มออกมา
“ค่ะ ฉันก็คิดเหมือนกัน ถึงแม้ MR ใกล้จะปิดตัวลงก็คงไม่เลี้ยงคนที่ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ!”
หลินเฟยเอ๋อร์หัวเราะออกมา รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเป็นทุกข์ “คุณอย่าได้ไว้หน้าฝั่งนายทุนโดยเห็นแก่สาวงามนะคะ!”
เฉินเป่ยชวนโอบเอวบางของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจหนักมาก “ถึงเขาสวยกว่านี้แล้วจะสวยได้เท่าคุณหรือครับ? หือ?”
“เกลียดเสียจริง!”
เฉียวชูเฉี่ยนมองแผ่นหลังของพวกเขาที่เดินจากไป ก็ร้อง เฮ้อ ในใจ
หากรู้มาก่อนว่าฝ่ายที่รับช่วงต่อของ MR คือเฉินเป่ยชวน ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมรับปากนายเธอแล้วรับงานหนักแบบนี้มาทำเด็ดขาด
คุณเลขาที่อยู่ข้างๆ ลองเรียกหยั่งเชิงเธอดู “เลขาเฉียวคะ?”
เฉียวชูเฉี่ยนถอนสายตาของตัวเองกลับมาทางคุณเลขาจากนั้นก็พยักหน้า “ขอโทษด้วยนะคะ พวกเราไปห้องทำงานกันค่ะ”
เนื่องจากลินดาต้องดูแลงานเหล่านี้ด้วย ห้องทำงานจึงอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานท่านประธานมากนัก ยามนี้เธอจึงให้คนเข้าไปทำความสะอาดห้องทำงานที่อยู่ข้างๆ ห้องของท่านประธาน จากนั้นจึงพาเฉียวชูเฉี่ยนเข้าไป
อุปกรณ์การทำงานถูกจัดสรรอย่างพร้อมสรรพ อีกทั้งหน้าต่างกระจกภายในห้องยังยาวถึงพื้น ทำให้รับแสงเข้ามาได้เต็มที่
แต่กระจกฝั่งซ้ายที่อยู่ติดกับห้องทำงานของท่านประธาน ซึ่งไม่ว่าคนหรือสิ่งของก็สามารถมองเห็นกันทะลุกันได้ โดยมีเพียงม่านบังตาปิดเอาไว้เพียงเท่านั้น อีกทั้งที่บังคับม่านบังตาให้ขึ้นลงก็อยู่ฝั่งห้องทำงานของท่านประธานอีกด้วย ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกกระดากอายยิ่งนัก
หากม่านบังตานี้ถูกดึงขึ้น ความเป็นส่วนตัวของเธอก็จะหายไปมิใช่หรือ?
ลินดายกกล่องเอกสารที่สำคัญเข้ามาเพื่อให้เฉียวชูเฉี่ยนได้อ่านผ่านตา “เลขาเฉียว นี่คือเอกสารเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาของ MR คุณผ่านตาดูก่อนนะคะ หากมีจุดไหนที่ผิดปกติให้โทรภายในมาหาฉันนะคะ อีกเรื่องหนึ่ง นี่คือกำหนดการเดินทางในสัปดาห์หน้าของประธานเฉินค่ะ”
รอให้ลินดาเดินออกไปแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงพลิกกำหนดการเดินทางเล่มนั้นดู
หลังจากสัมผัสถูกคำว่า ‘หลินเฟยเอ๋อร์ งานเลี้ยงแบบค็อกเทล รับประทานอาหาร’ เธอก็ย้ายสายตาออกมา แล้วนวดบริเวณขมับด้วยรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย และมีความขมเปรี้ยวบางส่วนอยู่ภายในใจ
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ หลินเฟยเอ๋อร์ได้กลายมาเป็นคู่รักที่แน่นอนของเขาไปแล้วหรือ?
แล้วที่คุณถือร่มแล้วดึงฉันเข้ามาแนบอกล่ะ/ทุกคำสาบานที่เอ่ยอย่างจริงจังล่ะ/สายตาที่อ่อนโยนนับพันของคุณ…..
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นมา เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกตกใจ แต่พอได้เห็นเบอร์ที่คุ้นตา เบ้าตาเธอก็ร้อนผ่าว
ตอนที่ออกนอกประเทศ เฉียวชูเฉี่ยนได้เก็บหมายเลขนี้เอาไว้ เธอเติมเงินจ่ายค่าโทรศัพท์ของหลายปีที่ผ่านมาในครั้งเดียว วันนี้ถือเป็นวันแรกที่ใส่ซิมเบอร์นี้และเปิดใช้ เธอไม่คิดเลยว่าสายแรกที่โทรเข้ามาจะเป็นท่านผู้หญิงเฉิน
ขณะที่รับโทรศัพท์ น้ำเสียงของเธอก็กลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ไปพักหนึ่ง “คุณย่า……”
“ฮ้า นังหนูเฉียวใช่ไหม?”
หลังจากที่ได้ยินเสียงของเฉียวชูเฉี่ยนอย่างชัดเจน ท่านผู้หญิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจออกมา “นังหนูคนนี้ ย่าเป็นห่วงแทบแย่ล่ะ หลายปีมานี้ย่าคิดถึงหนูมาตลอดเลยนะ”
คำพูดของท่านผู้หญิงทำให้เฉียวชูเฉี่ยนไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “คุณย่า ขอโทษนะคะ”
“เด็กโง่ มาพูดคำขอโทษกับย่าทำไมกัน” ท่านผู้หญิงดุเธอไปคำหนึ่ง แล้วพูดว่า “นังหนู
เอ้ย ในเมื่อกลับมาแล้ว เย็นนี้ก็มาทานข้าวด้วยกันนะ ย่าคิดถึงหนู”
เฉียวชูเฉี่ยนลังเลไปพักหนึ่ง ท้ายที่สุดเธอก็ตอบตกลงไป
ในสมัยที่เธอยังเป็นสะใภ้ตระกูลเฉินอยู่ ท่านผู้หญิงเฉินดีกับเธอมาก ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นคุณย่าจริงๆ ไม่ได้พบกันมาเจ็ดปีแล้ว เธอก็อยากจะเห็นว่าผู้สูงวัยท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
……