พอกลับถึงโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็ไปอาบน้ำแล้วนอนลงบนเตียง
หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอที่นอนอยู่บนเตียง “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่ต้องเรียกหมอมา?”
“ฉันแน่ใจ” ไป๋มู่ชิงหันหลังใส่เขา
เมื่อเห็นท่าทางเธอที่ไม่อยากพูดอะไรมาก หนานกงเฉินก็ไม่ได้รบกวนเธออีก แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมาทำธุระต่อ
อาจจะเป็นเพราะตอนบ่ายนอนเยอะเกินไป ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่รู้สึกง่วงเลย ฟังเสียงที่เขาเคาะแป้นพิมพ์ไปสลับกับเสียงคุยโทรศัพท์ไป เสียงนี้ก็เพราะดี
เธอใช้มือดึงผมตัวเองไว้ ในใจคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว เวลานี้ยังรู้สึกว่าเสียงที่เขาทำงานมันน่าฟัง
เธอหลับตาลงแน่น บังคับให้ตัวเองนอนให้หลับ ขอแค่นอนหลับก็จะไม่คิดมากแล้ว
เวลาผ่านไปสักครู่ เธอนอนหลับแล้วจริงๆ ไม่ได้ยินเสียงของหนานกงเฉินที่ดังมาจากโต๊ะทำงานอีก
ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน เธอที่หลับลึกอยู่รู้สึกว่าหนานกงเฉินนอนใกล้เข้ามาแล้วกอดเธอเข้าไปในอ้อมกอดอย่างทุกวัน แล้วฝ่ามือเขาก็วางลงเบามือที่หน้าท้องที่นูนขึ้นของเธอแล้วค่อยๆขยับขึ้นมา
เธอรู้สึกได้ว่าเขาต้องการ แต่ไป๋มู่ชิงกลับขยับตัวหนีเล็กน้อยแล้วแกล้งทำเป็นเหนื่อยแล้วลูบมือเขาออกจากตัวเธอ
หนานกงเฉินหยุดนิ่งไปแล้วเป่าลมที่ข้างหูเธอ “คุณเป็นภรรยาที่ไม่เอาอกเอาใจเลย”
ตาของไป๋มู่ชิงกระตุกไปแล้วแสร้งทำเป็นหลับต่อ
เธอไม่รู้ว่าคนท้องคนอื่นปรนนิบัติสามีตัวเองเมื่อเขาต้องการอย่างไร แล้วตอนนี้เธอก็ไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ด้วย ก่อนนอนเธอก็เอาแต่คิดว่าจะหาครอบครัวคุณลุงเจอได้ยังไงหลังจากที่จากกันมาหลายปี
ถึงหนานกงเฉินจะไม่พอใจกับการกระทำของเธอ แต่ก็คิดได้ว่ากับเรื่องแบบนี้เธอเป็นแค่หญิงสาวที่ถนัดมากก็เลยไม่ฝืนใจเธอ สุดท้ายก็แค่ถอนใจออกยาวๆแล้วนอนกอดเธอหลับไป
ไป๋มู่ชิงนอนหลับเร็วก็ต้องตื่นเช้าก่อน เธอหันมองที่หนานกงเฉินนอนอยู่ข้างกายแล้วลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเดินไปทางห้องอาบน้ำ
ถึงในใจจะเคืองแค้นเขา แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นสามีของเธอ การดูแลเขาก็เป็นหน้าที่ของเธอ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ลงไปเตรียมอาหารเช้าข้างล่าง
เมื่อคืนกว่าเขาจะนอนก็เที่ยงคืนกว่าแล้ววันนี้เก้าโมงเช้าก็ต้องไปประชุมในเมืองด้วย ตอนนี้ให้เขาหลับให้เต็มอิ่มอีกหน่อยก็ได้
ในโรงแรมมีวัตถุดิบที่ค่อนข้างครบถ้วน ไป๋มู่ชิงตัดสินใจที่จะทำโจ๊กหมูสับปวยเล้ง มีทั้งสารอาหารทั้งอร่อยด้วย
โจ๊กปวยเล้งเป็นอาหารที่เสี่ยวยี่ชอบที่สุด หนานกงเฉินก็คงจะชอบด้วยเหมือนกัน เธอคิดว่าอย่างงั้น
หลังจากที่ทำโจ๊กเสร็จ เธอก็เดินขึ้นไปปลุกหนานกงเฉิน แต่หนานกงเฉินกลับเดินลงมาอย่างเชื่องช้าแล้ว เขาผูกเน็คไทไปด้วยพร้อมมองเธอไปด้วย “ตื่นเช้าขนาดนี้ ผมนึกว่าคุณออกไปแล้ว”
“ฉันทำโจ๊กปวยเล้ง คุณกินรองท้องก่อน” ไป๋มู่ชิงตักใส่ถ้วยแล้ววางไว้บนโต๊ะ
หนานกงเฉินมองไปที่โจ๊กแล้วมองทอดทิ้งไปที่เธอ “ก็ดูดีอยู่ คงน่าจะอร่อย”
“ลองชิมดูสิแล้วก็จะได้รู้”
“ขอบใจ” หนานกงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาเข้าปากคำนึงแล้วเงยหน้ามองไปที่เธอ “เมื่อคืนผมเข้าใจคุณผิด ความจริงในฐานะภรรยาบางเรื่องคุณก็ทำได้ดี”
เป็นการหยอกล้อระหว่างสามีภรรยาปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไป๋มู่ชิงคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่เธอในตอนนี้กลับรู้สึกแค่หงุดหงุด “รีบกินแล้วรีบไปประชุมเถอะ ระวังสาย”
หนานกงเฉินรู้สึกถึงความหงุดหงิดของเธอพร้อมมองสำรวจไปที่เธอ “นี่ก็เป็นอาการหงุดหงิดง่ายของคนท้องหรอ?”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรต่อ แค่นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วรับประทานอาหารเช้า
หนานกงเฉินกินไปกี่คำก็ ก็เงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้ง “ผมประชุมตอนเช้า แล้วตอนบ่ายก็ไปร่วมงานที่ว่าการ คุณอยากไปกับผมหรือเปล่า?”
“จำเป็นต้องไปใช่ไหม?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้นเสียงเบา
“ทางผู้จัดงานไม่ได้กำหนดว่าต้องมีคู่ไปด้วย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น งั้นฉันไม่ไปแล้วกัน”
“แล้ววันนี้คุณคิดว่าจะไปไหนล่ะ?”
“ฉัน……แค่เดินเที่ยวเล่น”
“ก็ดี งั้นให้คนขับรถพาคุณไป”
“ไม่ต้อง ฉันแค่เดินเล่นใกล้ๆนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้รถ”
หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้าให้ “ก็ได้ มีอะไรก็โทรหาผมนะ”
ไป๋มู่ชิงรับปากไปอย่างนั้นแล้วกินโจ๊กในถ้วยต่อ
หลังจากที่หนานกงเฉินกินโจ๊กเสร็จก็ดึงทิชชู่มาเช็ดปากจนสะอาด “ผมไปก่อนนะ” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหารแล้วเดินตรงออกประตูโรงแรมไป
ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาออกจากประตูโรงแรม ยืนส่งเขาขึ้นรถที่บันได หนานกงเฉินรู้สึกได้ว่าเธอตามมา ก่อนขึ้นรถก็หยุดลงแล้วหันหลังกลับไปที่เธอจากนั้นก็เดินตรงกลับไปหาเธอ
“นี่คุณกำลังรอจูบลาของผมอยู่หรอ?” หนานกงเฉินถามขึ้นยิ้มๆ
ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงปฏิเสธเธอ เขาก็จับหน้าเธอไว้แล้วจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ
ไป๋มู่ชิงหลับตาลง แล้วปล่อยริมฝีปากเขา เอาแต่รู้สึกว่าจูบนี้เป็นจูบลาขาด ทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนี้เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เธอต้องไปทำเกี่ยวกับการตายของคุณย่ามั้ง เธอคิดแบบนี้
ในเมื่อเป็นการลาขาดก็ปล่อยให้เธอเอาแต่ใจอีกสักครั้ง ให้ความไม่ถูกต้องนี้จบลงสักที
หลังจากที่รถของหนานกงเฉินแล่นออกจากประตูโรงแรมไป ไป๋มู่ชิงก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากโรงแรมไปคนเดียว เธอไม่ได้ใช้รถของคนขับรถเฉิน แต่เธอเช่ารถคันใหม่แล้วขับเข้าไปในตัวเมือง
เธอรู้แค่ว่าคุณลุงย้ายมาอยู่ในเมือง แต่ก็ได้ยินคุณแม่พูดว่าครอบครัวคุณุลงได้ย้ายไปต่างประเทศแล้ว แต่เธอก็อยากลองไปเสี่ยงดู อาจจะเจอบ้านของคุณลุงก็ได้
แต่เสียดายบ้านหลังนั้นได้ขายต่อให้คนอีกครอบครัวหนึ่งแล้ว เจ้าของบ้านก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่รู้ว่าพวกเขาย้ายไปที่ไหน
ไป๋มู่ชิงก็ไปถามเพื่อนบ้านอีกหลายบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เลยเกี่ยวกับครอบครัวคุณลุง แค่บอกว่าตอนนั้นทั้งครอบครัวย้ายออกไปอย่างเร่งรีบไม่มีแม้แต่คำบอกลากันเลย
ไป๋มู่ชิงทำอะไรไม่ได้ก็เลยไปที่สุสานแทน
เวลาครั้งนี้กับครั้งก่อนไม่ได้ห่างกันมาก แต่กลับเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ครั้งนี้มาถึงหน้าศาลคุณย่า ไป๋มู่ชิงก็คุกเข่าลงแล้วก้มกราบลงไปพร้อมน้ำตาแล้วพูดสะอึกสะอื้น “ขอโทษ……”
“คุณย่าให้อภัยกับการกระทำที่ไม่รู้กับจำเป็นของหนูด้วย หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะแต่งงานกับหนานกงเฉิน ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้คุณย่าตาย ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ว่ายังไงก็จะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด คุณย่าอาจจะโทษหนู เกลียดหนู โทษที่ว่าทำไมจนตอนนี้หนูยังไม่ไปจากเขา ขอให้คุณย่าให้อภัยหนูด้วย หนูมาถึงขั้นนี้แล้ว แถมยังท้องลูกของเขาอีกเลยจำเป็นต้องอยู่ต่อ แต่ว่าหนูขอสัญญากับคุณย่า ถ้าเด็กคนนี้ได้คลอดออกมาอย่างราบรื่น หนูจะไปจากเขาแน่นอน ไปจากเขาให้ไกล ชาตินี้จะไม่เจอกันอีก”
“ขอโทษนะคะ ที่หนูแก้แค้นแทนคุณย่าไม่ได้ หนูใช้มีดแทงเขาเหมือนในฝันแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่ายังไงเขาก็เป็นพ่อของลูก คุณย่าจำตอนเด็กได้ไหมคะ คุณย่าชอบกอดหนูแล้วน้ำตาตก ว่าเด็กขนาดนี้ก็ไม่มีความรักจากพ่อแล้ว เด็กที่มีความรักจากพ่อช่างน่าสงสารเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหนูจะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้ แล้วทำใจให้เขาเป็นแบบนั้นไม่ได้ด้วย”
“คุณย่าคะ จะให้อภัยหนูใช่ไหมคะ? ถ้าคุณย่าให้อภัย ขอให้คืนนี้เข้าฝันมาบอกหนูด้วย หนูจะได้สบายใจ……”
หยดน้ำที่เย็นหยดลงที่หน้าผากไป๋มู่ชิง เลยทำให้คำพูดหยุดลง
ฝนตกเหรอ? เธอเงยหน้าขึ้นมองเพิ่งรู้ว่าท้องฟ้าที่ยังสว่างจ้าเปลี่ยนเป็นสีครึ้ม เหมือนฝนกำลังจะตก
เธอรีบปรับอารมณ์ตัวเอง แล้ววางดอกลิลลี่ไว้ที่หน้าศาลคุณย่า แต่ก็ทำใจหันหลังให้กับสุสานนี้ไปไม่ได้
เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าสุสานกำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถก็ได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เสี่ยวเสว?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ยินชื่อนี้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกก็รู้สึกใจสั่นไป
เธอหันกลับไปมองด้วยความปลาดใจก็เห็นผู้หญิงมีอายุท่านหนึ่งกำลังเดินมาหาเธอ ผู้หญิงคนนี้ใส่หมวกกันแดดไว้แล้วเสื้อผ้าการแต่งตัวก็ดูดีหรูหรา
ความรู้สึกที่คุ้นเคยเอ่อล้นออกมา ในใจรู้สึกตื่นเต้นเซอร์ไพรส์มาก แล้วเรียกตอบกลับไปว่า “คุณป้า?”
ถึงแม้เธอจะไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับคุณป้ามาก แต่ตามหามาทั้งวันก็ยังไม่เจอแต่กลับมาเจอที่นี่ ก็รู้สึกดีใจ
เมื่อเทียบกับคุณป้าเมื่อหลายปีก่อน คุณป้าตรงหน้านี้ไม่ว่าจะภาพลักษณ์หรือการแต่งตัวก็ดูดีขึ้นมาก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณหญิง
“ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอยังจะจำป้าได้” โจวซู่เดินเข้ามาแล้วดึงมือเธอไว้ “เมื่อกี้ป้ายังคิดเลยว่าอาจจะทักผิดคนแล้ว มาคิดดูอีกทีคนที่จะมาที่นี่ได้ไม่ใช่เธอก็คงเป็นพี่สาว ก็เลยลองทักไป”
ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงศัลยกรรมใบหน้าให้เหมือนกับไป๋ยิ่งอัน โจวซู่ก็รู้ดี แต่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีก็เลยไม่แน่ใจ
“คุณป้ามาเยี่ยมคุณย่าหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงถามขึ้น
“ใช่” โจวซู่เงยหน้ามองท้องฟ้า “แต่ดูเหมือนว่าฝนจะตก คงไปไม่ได้แล้ว”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าเธอมีคำถามมากมายอยากจะถามไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยถามอะไรขึ้นก่อน สุดท้ายก็ทักทายขึ้นปกติว่า “คุณป้าคะ หนูได้ยินคุณแม่บอกว่าครอบครัวคุณป้าย้ายไปต่างประเทศแล้วทำไมวันนี้ถึงอยู่เมืองเหยียนเฉิงคะ? ย้ายกลับมาในประเทศแล้วหรอคะ?”
“เปล่า” โจวซู่ส่ายหน้า “ป้ากลับมาทำธุระในประเทศ แล้ววันนี้ก็ ก็ว่างพอดีเลยมาเยี่ยมคุณย่าเธอ”
เม็ดฝนเริ่มหยดลงมา โจวซู่เลยเงยหน้าขึ้นมองแล้วคล้องแขนเธอไว้ “ไปเถอะเสี่ยวเสว เราไปคุยกันบนรถ เดี๋ยวรวดส่งเธอกลับไปด้วย ใช่สิ ตอนนี้เธอพักที่ไหน?”
“หนูพักโซนเหอวังค่ะ” ไป๋มู่ชิงตามเธอขึ้นรถไป
“พักกับใครเหรอ? กลับมาเที่ยวที่เมืองเหยียนเฉิง?” โจวซู่บอกกับคนขับรถก็หันกลับมาถาม
ไป๋มู่ชิงไม่อยากให้รู้ว่าเธอแต่งงานกับหนานกงเฉิน ไม่อยากพูดถึงตัวเองมากด้วยเลยตอบคำถามเธอแล้วรีบเปลี่ยนประเด็นว่า “คุณป้า หนูขอถามอะไรคุณป้าหน่อยได้ไหมคะ?”
“เรื่องอะไรหรอ?”
“เกี่ยวกับคุณย่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงลังเลไปครู่นึงแล้วเอ่ยขึ้นต่อ “หนูได้ยินคุณแม่บอกว่าคุณย่าถูกบีบบังคับจนเสียชีวิตตอนทำเรื่องซื้อขายบ้านสวนจูใช่ไหมคะ?”
โจวซู่อึ้งไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าไป๋มู่ชิงจะถามเรื่องนี้ มองเธออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งไม่รู้ว่าจะเอ่ยตอบยังไง
ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอีกว่า “คุณป้าคะ คุณป้าบอกความจริงกับหนูเถอะ หนูอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”
โจวซู่มองสำรวจสีหน้าของเธอ “เสี่ยวเสว ป้าคิดว่าหนูไม่รู้จะดีกว่า เพราะคุณย่าเธอรักเธอขนาดนี้ รักยิ่งกว่าหลานในไส้สะอีก ป้ารู้ว่าหนูสนิทกับท่านมากกว่าใคร แต่เพื่อที่หนูจะได้ไม่เสียใจ ก็ไม่……”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ คุณป้าพูดมาเถอะ”
โจวซู่ลังเลไปอีกครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน มีนักธุรกิจมาที่บ้านเราแล้วบอกว่าจะซื้อบ้านของเรา โดยที่ไม่สนว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ เธอก็รู้ว่าคุณย่ามีความรู้สึกกับบ้านหลังนั้นมาก ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะให้ราคาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขาย สุดท้ายนักธุรกิจคนนั้นทนไม่ได้เลยใช้วิธีที่สกปรกต่างๆบังคับจนคุณย่าต้องยอม คุณย่าเธอโกรธจนวิ่งขึ้นไปชั้นสาม ขู่พวกเขาว่าถ้ายังบังคับท่านอีกท่านก็จะกระโดดลงไป แต่นักธุรกิจคนนั้นไม่สนคำขู่ของคุณท่านเลยจนทำให้ท่านกระโดดตึกลงไป คุณย่าเธอช่างน่าสงสารได้รับบาดเจ็บจนต้องนำส่งเข้าโรงพยาบาล แต่นักธุรกิจคนนั้นก็ไม่ยอมปล่อยท่านไป หลังจากที่ท่านหายดีก็ให้คนมาแอบฆ่าท่านในโรงพยาบาลอีก เรื่องเป็นอย่างนี้แหล่ะ คุณย่าเธอ……”
โจวซู่พูดต่อไปไม่ได้ น้ำตาก็เอ่อล้นเต็มขอบตาแล้วส่ายหัว “สาระเลวนั่น……เลือดเย็นมาก……”
“ยังแอบฆ่าคุณย่าที่โรงพยาบาลหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
“ใช่ ไม่งั้นเขาจะชดใช้เงินขนาดนั้นให้เราทำไม ราคาตลาดตอนนั้นบ้านหลังนั้นแค่ห้าแสนกว่าแต่เขากลับชดใช้ให้เราเป็นบ้านหลังใหม่หลายสิบล้าน”
ไป๋มู่ชิงกำมือแน่นขึ้น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลย เธอคิดว่าหนานกงเฉินแค่บีบจนคุณย่ากระโดดตึก ไม่คิดว่ายังตามไปปิดปากถึงโรงพยาบาล……
ผ่านไปสักครู่เธอค่อยเหยหน้าช้าๆมองไปที่โจวซู่แล้วพูดเสียงสั่นว่า “เรื่องทั้งหมด……เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?”
“ใช่” โจวซู่พยักหน้าให้ “ป้าว่าแล้วถ้าเธอได้ยินคงโกรธ คงเสียใจมาก เลยไม่อยากบอกเธอ”
เงียบไปอีกสักพัก ไป๋มู่ชิงก็ใช้สายตาเยือกเย็นจ้องไปที่โจวซู่ “แล้วคุณลุงคุณป้าล่ะ? ทำไมถึงให้แผนเขาสำเร็จ? แล้วขายบ้านให้เขา? ทำไมเขาไม่ได้รับโทษแม้แต่นิดเดียวเลย?”
“เสี่ยวเสว……” โจวซู่หลบสายตาที่จากคาดแค้นเธอแล้วพูดเอ่ยว่า “ตอนนั้นเป็นเพราะเงินที่เขาชดใช้เยอะเกินไป คุณลุงเธอก็คิดว่าถึงแม้เราจะรู้ว่าเขาฆ่าคุณย่าเธอ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเป็นมัดตัวเขา ถึงแม้จะมีหลักฐานแล้วเขาเข้าคุกไปมันก็ไม่มีผลดีอะไรกับเรา เราก็เลย……”
“ก็เลยรับบ้านหลังสิบกว่าล้านไว้แล้วปล่อยให้เรื่องผ่านไปหรอ?” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกขึ้น
“เสี่ยวเสว อย่าพูดให้มันน่ารังเกียจสิที่ คุณลุงเธอพูดก็ถูก ถึงแม้เราจะขังให้เขาเข้าคุกได้ แต่เขามีอำนาจขนาดนั้นคงออกมาจากคุกได้ไม่ช้า แล้วนิสัยที่เลือดเย็นอย่างเขา ถ้าออกจากคุกคงไม่ปล่อยเราไว้ แน่เราก็ทำได้แค่รับบ้านหลังนั้นที่เขาให้แล้วเปลี่ยนชีวิตอันยากจนของตระกูลจูไป”
ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะโกรธจนกัดฟันแน่น แต่เธอรู้นิสัยที่โลภมากของคุณลุงคุณป้าดี อย่าว่าแต่กี่สิบล้านเลย แค่กี่ล้านบาทพวกเขาก็สามารถเห็นแก่ตัวขนาดนี้ได้แล้ว
ถ้าไม่ทำแบบนี้ คุณป้าตรงหน้าจะเปลี่ยนภาพลักษณ์จากเมื่อก่อนได้ยังไง เปลี่ยนจนเหมือนคุณหญิงได้ยังไง?
นี่เป็นการตัดสินใจของคุณลุง แถมเรื่องยังผ่านไปหลายปีแล้วเธอจะพูดอะไรได้อีก ทำได้แค่ยอมรับความจริงก็เท่านั้น
เธอหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึกๆ “รบกวนจอดรถด้วยค่ะ”
“เสี่ยวเสว เธอคิดจะทำอะไร นี่นอนอยู่ในป่าในเขา แล้วฝนก็กำลังจะตกด้วย ให้ป้าส่งเธอกลับไปเถอะ”
“ไม่จำเป็น ให้หนูลงรถด้วยค่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
โจวซู่มองไปที่ท้องฟ้าที่ครึ้ม แล้วไม่ได้รั้งเธอต่อ “คนขับรถ จอดข้างทางให้ด้วย”
รถแล่นไปจอดข้างทางอย่างรวดเร็ว โจวซู่ดึงมือไป๋มู่ชิงไว้ด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ป้ารู้ว่าเธอต้องโกรธป้ากับลุงแน่ๆ แต่อย่าทำลายความสัมพันธ์ของเราเลย ในเมื่อกลับมาเมืองเหยียนเฉิงแล้ว ถ้าว่างๆก็ไปกินข้าวที่บ้านนะหรือว่าอยู่พักที่บ้านอีกไม่กี่วันได้ไหม? อยู่ที่บ้านยังไงก็สะดวกกว่าอยู่โรงแรม”
“ไม่ต้องแล้วค่ะ หนูอยู่ข้างนอกก็ดีอยู่” ไป๋มู่ชิงสมองเธอว่างเปล่าแล้วปฏิเสธไป จากนั้นก็เปิดประตูแล้วลงรถไป
“เธอตัวคนเดียวระวังตัวด้วย อย่าอยู่ข้างนอกนานนักเข้าใจไหมพูด?” โจวซู่พูดขึ้นแล้วทำท่าทางให้คนขับรถขับรถไป
รถได้แล่นออกไปแล้วเธอถึงได้แอบถอนหายใจ โชคดีมาก อีกนิดเดียวก็จะทนไม่ไหวแล้ว
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นจากกระเป๋าแล้วโทรหาเบอร์หนึ่ง โทรศัพท์เรียกสายไปสักพักค่อยมีคนรับสาย เป็นเสียงของผู้ชาย “สวัสวัสดีครับคุณหญิงจู มีอะไรกับคุณชายหลินหรือเปล่าครับ?”
โจวซู่เปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบประแจแล้วยิ้มพูดว่า “ผู้ช่วยเหอ ไม่ทราบว่าคุณชายหลินอยู่หรือเปล่า?”
“คุณชายกำลังประชุมอยู่ครับ มีอะไรบอกผมก็ได้”
“เออ……” โจวซู่คิดไปคิดมาแล้วพูดว่า “รบกวนคุณบอกคุณชายหลินด้วย บอกเขาว่าฉันทำตามคำสั่งที่เขาบอกให้ทำแล้ว”
“ครับ เดี๋ยวผมจะบอกคุณชายให้” ผู้ช่วยเหอพูดจบก่อนก็วางสายไป
หลังจากที่วางสาย โจวซู่ก็ยิ้มเยาะเย้ยใส่หน้าจอโทรศัพท์จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงลงรถไปก็เหมือนวิญญาณถูกดูดออกจากร่าง เดินอยู่ข้างทางอย่างนั้นถึงแม้ฝนกำลังจะตกก็ไม่ใส่ใจ
ในสมองมีแต่คำพูดของโจวซู่ลอยขึ้นมา ความเคืองแค้นที่มีต่อที่ได้ลดลงแล้วก็เอ่อล้นขึ้นมามากขึ้น
นี่เป็นเป้าหมายหลักที่ตัวเองมาเมืองเหยียนเฉิงใช่ไหม? เพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ เพื่อที่ตัวเองจะได้เกลียดหนานกงเฉินมากขึ้น? แล้วตอนนี้ล่ะ? พอใจหรือยัง?
แต่ว่า……ตอนนี้นอกจากความโกรธแค้นก็มีความผิดหวังกับเสียใจมากกว่า ทำแบบนี้มีประโยชน์จริงหรอ?
เธอหลับตาลงแล้วปล่อยน้ำตาก็ไหลลงตรงหน้าเธอผสมไปกับ ไปกับเม็ดฝนที่หล่นลงมาด้วย
ฝนตกแล้ว ตกลงมาตรงหน้าเธอแล้วค่อยๆทำให้เสื้อผ้าบนร่างกายก็เปียกไปด้วย
เมื่อโดนน้ำฝนที่เยือกเย็นนี้ ไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆได้สติขึ้นมา เธอใช้มือทั้งสองข้างกอดท้องของเธอไว้ เวลาที่เสียใจขนาดนี้เธอยังคิดที่จะปกป้องเด็กคนนี้ไว้ ถ้าต้องการที่จะปกป้องเด็กคนนี้ไว้ก็ต้องดูแลตัวเองก่อน ไม่ให้ตัวเองป่วยเพราะตากฝน
เธอเลยกวาดมองไปรอบๆ ทั้งสองข้างทางมีแค่ต้นไม้เต็มไปหมด จากนั้นก็เป็นพืชผักของเกษตรกร ไม่มีที่ที่หลบฝนได้เลย
เธอเร่งฝีเท้าก้าวเดินให้เร็วขึ้น ร่างกายก็จมอยู่กับน้ำฝนที่เปียกไปทั้งเนื้อทั้งตัว
เมื่อเลี้ยวไปข้างหน้า ก็ยังคงเป็นต้นไม้สีเขียวกับพืชผักของเกษตรกรอีก เธอหมดหวังมาก ไม่ได้เร่งฝีเท้าก้าวไปต่อ น้ำบนใบหน้ามีทั้งน้ำตากับน้ำฝนผสมกันไป เธอไม่สนใจหรอกว่าตัวเองจะทุลักทุเลแค่ไหน!
ข้างหน้ามีรถตู้วิ่งผ่านมา แล้วมีผู้ชายหน้าตาหื่นกามผิวปากใส่เธอจนเธอตกใจแล้วรีบก้าวขาเดินต่อไป
ถึงตอนนี้เธอค่อยรู้สึกว่าที่นี่เปลี่ยวมาก รถที่ผ่านไปผ่านมาน้อยมาก อย่าคิดว่าจะมีแท็กซี่เลย เธอเริ่มเสียใจกับการกระทำที่ลงรถตอนนั้น ไม่ว่าจะยังไงก็ควรรอให้เธอกลับไปในตัวเมืองก่อนแล้วค่อยลงรถสิ
เธอเดินไปด้วยแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาด้วย พอหยิบโทรศัพท์ออกมาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอไม่มีใครที่ขอความช่วยเหลือได้เลย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุ้นเคยของเธออีก เธอจะโทรหาใครได้ล่ะ? นอกจากหนานกงเฉินเธอจะโทรหาใครได้อีก
ไม่ เธอจะโทรหาเขาไม่ได้ ถึงเธอต้องตายอยู่ที่นี่เธอก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากฆาตกรเลือดเย็นคนนั้น!
เธอยืนอยู่ใต้ต้นไม้ น้ำฝนก็เล็ดลอดจากใบไม้ลงมาที่ตัวเธอ ในมือจับโทรศัพท์ไว้แน่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวหรือเปล่าเลยสั่นไม่หยุด
รถตู้คันเมื่อกี้อ้อมกลับมาอีกครั้ง ผู้ชายหน้าหื่นคนนั้นลงมาแล้วดึงโทรศัพท์เธอไป จากนั้นก็ปิดประตูแล้วรถก็ขับออกไป
ไป๋มู่ชิงตกใจไป จากนั้นก็รีบตะโกนตามไปว่า “เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ……ไอ้บ้า……!”
จากนั้น รถก็ค่อยๆหายออกจากสายตาเธอ
นั่นเป็นโทรศัพท์ที่หนานกงเฉินให้เธอ เป็นลิมิเต็ดที่ฝังเพชรจากต่างประเทศ เธอไม่ได้ติดใจที่โทรศัพท์แพงหรอก แล้วไม่ได้เป็นเพราะหนานกงเฉินเป็นคนให้ด้วย แต่เพราะถ้าไม่มีโทรศัพท์เธอยิ่งไปจากที่นี่ไม่ได้!
ขณะเดียวกัน การสัมมนาที่ทำการก็ได้จบลง นักธุรกิจต่างๆก็ทยอยออกจากห้องประชุมมา
หนานกงเฉินเดินออกมาท่ามกลางผู้คนที่แออัดแล้วมองไปไกลๆที่ประตูก็เห็นผู้ช่วยของหลินอันหนานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา แล้วสีหน้าหลินอันหนานก็เปลี่ยนไปจากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรออกพร้อมก้าวออกจากประตูที่ว่าการไป
ผู้ช่วยเหยียนเดินมาจากอีกทางหนึ่ง เธอพยักหน้าให้นักธุรกิจต่างๆแล้วเดินมาพูดข้างหูหนานกงเฉินเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินคะ เมื่อกี้ฉันได้ยินผู้ช่วยของคุณชายหลินพูดถึงชื่อคุณหญิงน้อยด้วยค่ะ คุณชายหลินได้ยินปุ๊บก็รีบออกไปเลยค่ะ”
สีหน้าของหนานกงเฉินเข้มขึ้น จากนั้นก็หันไปพูดกับนักธุรกิจเหล่านั้นว่าขอโทษแล้วรับโทรศัพท์จากเลขาเหยียนมา จากนั้นเดินไปทางเก้าอี้นั่งพัก
เขากดโทรหาเบอร์ของไป๋มู่ชิง แต่เบอร์นั้นกลับปิดเครื่อง
ปิดเครื่อง? เขาจำได้ตอนนั้นที่เขาให้โทรศั ลิมิเต็ดนี้กับเธอ บังคับให้เธอเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้วย้ำเธอว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ต้องเปิดเครื่องไว้เพื่อเขา ถึงแม้ช่วงนี้เขาจะโทรหาเธอน้อยมากแต่ก็ไม่เคยขึ้นว่าปิดเครื่องเลย
เขากวาดมองไปข้างนอกที่ฝนกำลังตก ทำไมเธอถึงปิดเครื่องเวลานี้? ไม่สมเหตุสมผลเลย
เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 106 ไป๋มู่ชิงหายตัวไป
Posted by ? Views, Released on August 13, 2021
, เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ
Recommended Series
Comment
Facebook Comment