ไป๋มู่ชิงหลับไปครั้งนี้เธอหลับลึกมากกว่าจะตื่นก็ตอนบ่ายแล้ว
เธอลืมตาขึ้นช้าๆก็เห็นว่าเซิ่งซินยืนอยู่ข้างเตียง
“พี่สะใภ้ตื่นแล้วหรอคะ?” เซิ่งซินถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ดื่มน้ำซะหน่อยมั้ยคะ?”
“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ” ไป๋มู่ชิงสายหัวไปมาพร้อมมองไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อนว่า “เมื่อกี้ฉันฝันร้ายมันน่ากลัวมากๆ ฉันฝันว่าผลตรวจออกมาแล้วแล้วหมอก็บอกว่าเด็กผิดปกติ”
เธอเผลอหัวเราะออกมา “จะเป็นไปได้ยังไง จริงๆเลยเนี่ย!” ขณะที่เธอพูดน้ำตาก็ไหลลงตาทั้งสองข้างไปด้วย
เธอแยกไม่ออกแล้วว่านั่นเป็นความฝันหรือความจริงแต่ถึงแม้จะเป็นแค่ความฝันเธอก็ไม่ยอมให้เด็กมีปัญหาอะไรแน่ เธอวางมือลงบนท้องเบาๆ ยังดี โล่งอกไปที!
“พี่สะใภ้อย่าเป็นแบบนี้” เซิ่งซินดึงมือเธอที่วางอยู่บนท้องไปจับไว้พร้อมมองไปที่เธอ “คุณหมออัลตราซาวด์ดูเด็กในท้องแล้วพบว่าผนังหุ้มหนาเกินปกติเลย เลยแน่ใจว่าเด็กในท้องมีบางอย่างผิดปกติ”
“ไม่นะ……” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวไปมา “เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ!”
“เป็นเรื่องจริงค่ะ” เซิ่งซินพยักหน้าให้
“ฉันไม่เชื่อ……” น้ำตาเอ่อล้นออกมาเยอะกว่าเดิม
“พี่สะใภ้อย่าเสียใจไปเลยค่ะ พี่ยังสาวอยู่อีกหน่อยคงยังมีโอกาส”
“นี่เธอกำลังพูดอะไร? อีกหน่อยอะไรกัน? เด็กในท้องคนนี้ฉันยังไม่ได้คลอดเลย!” ไป๋มู่ชิงเอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโห
เมื่อเซิ่งซินเห็นว่าเธอแสดงปฏิกิริยาขนาดนี้ เลยไม่รู้จะปลอบเธอยังไงต่อ
“คุณหนูไป๋ เราคุยกันแล้วนี่ว่าต้องรักษาสัญญา” หนานกงเฉินเดินอ้อมมาจากปลายเตียงแล้วมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าเธอแล้วยื่นผลตรวจในมือไปให้เธอดูพร้อมกับใบอนุญาตการผ่าตัด “ผมเซ็นใบอนุญาตให้แล้ว สามารถทำได้ทุกเมื่อ”
ไป๋มู่ชิงพยายามยันตัวขึ้นจากเตียงด้วยความลำบาก เซิ่งซินก็รีบนำหมอนมาวางให้เธอพิงไว้
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วเปิดดูใบผลตรวจ ในใบนั้นเขียนอย่างชัดเจนว่าเด็กผิดปกติจากนั้นเธอหยิบใบอนุญาตการผ่าตัดขึ้นมาก็พบว่ามีลายเซ็นของเขาจริงๆ
ดูไปที่ลายเซ็น’หนานกงเฉิน’สามตัวนั้น มือที่จับเอกสารอยู่บีบแน่นขึ้นจนรู้สึกสั่น
พอหนานกงเฉินเห็นว่าร่างกายเธอสั่นเล็กน้อย เขาก็เบี่ยงหน้าหลบสายตาไม่อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “ใบอนุญาตการทำนี้คุณย่าเป็นคนให้ผมเองกับมือ ก็หมายความว่าคุณจะไม่มีที่พึ่งพิงอะไรอีก ทำไม? ยังไม่ยอมแพ้อีกหรอ?”
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจ้องมองไปที่เขา “หนานกงเฉิน คุณไม่รู้สึกเสียใจเลยหรอ?”
เธอรู้สึกเสียใจจนแทบจะหายใจไม่ออกแต่เขากลับดูนิ่งเฉยอย่างนั้น อย่างกับว่าลูกในท้องของเธอเป็นลูกของผู้ชายคนอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
หนานกงเฉินมองเข้าไปในตาของเธอที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วพูดว่า “นี่เป็นผลที่คาดไว้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาลังเลสักครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ผมไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องผิดปกติ ผมเอาแต่ย้ำเตือนคุณให้ล้มเลิกความคิดนี้ไปซะแต่คุณไม่ฟังผมเองตอนนี้เข้าใจหรือยังล่ะ? แต่ก่อนเธอเอาแต่คิดว่าการฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก จนรอมาถึงตอนนี้แล้วตอนนี้มันไม่บาปหรอ? แต่ดูเหมือนว่ามันจะบาปมากกว่าสะอีก!”
เขาจะไม่รู้สึกเสียใจได้ยังไง? เพราะนี่เป็นลูกของเขาเหมือนกันแต่เสียใจแล้วจะทำยังไงได้ล่ะ? คงจะร้องให้ฟูมฟายเหมือนเธอไม่ได้หรอกมั้ง?
สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือเก็บความเสียใจนี้ไว้ แล้วแสดงท่าทางที่ไม่สนใจไม่แยแส บังคับให้เธอทำแท้งเพื่อที่เด็กคนนี้จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทั้งชีวิตเหมือนเขา
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเปิดดูผลตรวจไปมายังงั้นพร้อมดึงมือเซิ่งซินมาพูดว่า “เซิ่งซิน เธอช่วยจองคิวให้ฉันได้หรือเปล่า? ฉันจะตรวจอัลตราซาวด์อีกรอบ”
เซิ่งซินมองไปที่หนานกงเฉินพร้อมเอ่ยกับไป๋มู่ชิงว่า “พี่สะใภ้คะถ้าพี่อยากตรวจดูอีกรอบพี่ชายสามารถจองคิวให้พี่ได้นะคะ แต่ว่ามันยังจำเป็นอยู่หรอคะ?”
“จำเป็น” ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองไปที่หนานกงเฉิน “คุณชายคะ ขอร้องให้คุณช่วยฉันอีกรอบ ไม่งั้นฉันจะไม่ตายใจหรอก”
“ถ้าช่วยเธอรอบนี้จะทำให้เธอตายใจได้แล้วล่ะก็ ไม่มีปัญหา ผมจะจัดการให้คุณไปตอนนี้เลยพร้อมทั้งเอาผลตรวจมาให้คุณดูให้ได้เร็วที่สุด” พอหนานกงเฉินพูดจบเขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นโทรออก
หนานกงเฉินจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ไป๋มู่ชิงก็ได้รับการตรวจอีกรอบ
จากนั้นการเป็นการรอคอยอันแสนลำบาก รอคอยผลตรวจออกมา
พอเธอได้ผลตรวจอีกครั้ง ตัวเลขบนผลตรวจนั้นไม่ต่างกันมากจนในที่สุดเธอก็ตายใจ
แต่ว่าครั้งนี้เธอกลับดูใจเย็นมากกว่าเดิมจนไม่มีแม้แต่น้ำตาที่ไหลออกมา
หนานกงเฉินที่เธอเหมือนวิญญาณของเธอหลุดออกจากร่างไป แต่สุดท้ายก็ต้องทำใจบังคับให้เธอเซ็น เขานั่งอยู่ตรงโซฟาตรงหน้าเธอพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้านิ่ง “บริษัทตระกูลหนานกงใหญ่ขนาดนั้นจะไม่มีคนมารับช่วงต่อได้ยังไงกัน แต่เราก็ต้องการคนรับช่วงต่อที่ร่างกายแข็งแรงเหมือนกัน”
สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆ “เมื่อกี้คุณหมอบอกแล้วว่าไม่แน่เด็กอาจจะไม่มีความผิดปกติก็ได้ ก็หมายความว่าเด็กอาจจะไม่มีปัญหาอะไรมากไม่ใช่เหรอ?”
หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วเอ่ย “นั่นเพราะหมอกำลังพูดปลอบใจคุณ”
“ไม่ คุณหมอบอกว่าฉันยังสามารถตรวจถุงน้ำคร่ำได้ นั่นถึงจะเป็นผลสรุปที่ว่าเด็กผิดปกติจริงหรือเปล่า “อยู่ๆไป๋มู่ชิงก็ยื่นไปดึงมือทั้งสองของเขาไว้พร้อมมองเขาด้วยสีหน้าขอร้อง “ขอร้องคุณให้โอกาสฉันอีกครั้งได้ไหม? ฉันไม่อยากทำแท้งจริงๆ”
หนานกงเฉินพยักหน้าตอบรับ “ได้”
ในใจลึกๆเขาก็หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่เป็นอะไร เขาก็อยากให้โอกาสตัวเองอีกครั้งเหมือนกัน
หนานกงเฉินเดินไปหาคุณหมอที่รับผิดชอบ พอคุณหมอได้ยินเขาบอกว่าไป๋มู่ชิงอยากจะเจาะตรวจถุงน้ำคร่ำแล้วนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายครับ ผมขอพูดตรงๆเลยนะครับ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเพราะว่าเนื้อเยื่อหุ้มของเด็กหนาผิดปกติแล้วการเต้นของหัวใจก็ไม่ดีเท่าเด็กทั่วไปจึงแสดงให้รู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหาแน่นอนครับ”
หนานกงเฉินครุ่นคิดไปก่อนจะพูดว่า “ช่วยตรวจให้เธอด้วยเถอะครับ”
“ถ้าคุณชายพูดแบบนี้แล้ว ผมก็จะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ” คุณหมอเอ่ย
หนานกงเฉินเดินออกมาจากห้องคุณหมอแล้วกลับมาถึงห้องพักฟื้น แต่กลับเห็นว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลย
เขาขมวดคิ้วแล้วหันหลังเดินตามหาไป๋มู่ชิงพร้อมโทรหาเธอไปด้วย โทรออกแล้ว เสียงปกติของไป๋มู่ชิงดังออกมา “ฉันออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“คุณจะเจาะตรวจถุงน้ำคร่ำไม่ใช่เหรอ” หนานกงเฉินตอบอย่างหงุดหงิด
“ใช่ แต่ฉันจะไม่ทำที่โรงพยาบาลหงเอิน ฉันไม่เชื่อใจคุณ”
“คุณหมายความว่ายังไงคุณหนูไป๋? คุณสงสัยผมหรอ?ในใจคุณผมเป็นคนที่น่ารังเกียจจนคิดทำร้ายลูกของตัวเองเลยเหรอ?”
“คุณชายกำลังพูดเรื่องความเป็นคนกับฉันเหรอ?” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเสียดสี
หนานกงเฉินไม่รู้จะตอบยังไงพร้อมกัดฟันพูดไปว่า “งั้นคุณบอกผมมาว่าคุณจะไปตรวจที่ไหน?
“ไปโรงพยาบาลที่อยู่นอกเหนืออำนาจของคุณ”
“คุณ……” หนานกงเฉินกำมือแน่นแล้วพูดออกไปว่า “ได้ ขอให้คุณได้ผลตรวจที่แตกต่างจากที่นี่กลับมาแล้วกัน”
ไป๋มู่ชิงตัดสายไปแล้วโทรไปหาเหยาเหม่ยให้เธอช่วยนัดซูเจี้ยให้หน่อย
สามีของซูเจี้ยเป็นเจ้าของโรงพยาบาลซิงเหิง แถมโรงพยาบาลซิงเหิงก็อยู่อันดับต้นๆของเมืองซีเทียบกับโรงพยาบาลหงเอินได้
ทุกครั้งที่เธอเจอปัญหาก็ต้องขอให้ซูเจี้ยช่วย เธอรู้สึกละอายใจเลยต้องขอให้เหยาเหม่ยออกหน้าแทน
ทั้งสามคนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลซิงเหิง ถึงแม้จะอยู่เมืองเดียวกันแต่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาเจอกันก็ผ่านมาเกือบจะครึ่งปีแล้ว
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ซูเจี้ย เธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่ดูดีสะอาดเหมือนดอกยิปโซสีขาวในห้องเย็น ไป๋มู่ชิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอแตกหักกันได้ยังไง
เจอกันครั้งล่าสุดก็เป็นอาทิตย์ที่สองหลังจากที่เธอแต่งงานกับหนานกงเฉิน วันนั้นเธอคุณครุ่นคิดลังเลก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานนี้ให้ทั้งสองคนรู้
ไม่รอฟังจนจบซูเจี้ยก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วหยิบแก้วน้ำสาดใส่หน้าเธอจากนั้นก็เดินออกไป
หลังจากครั้งนั้นเธอกับซูเจี้ยก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยจนกระทั่งตอนนั้นที่โทรถามเธอเลื่อนการโอนย้ายบ้านของหนานกงเฉิน
เธอเคยถามเหยาเหม่ยแล้ว เหยาเหม่ยคิดนานมากกว่าจะตอบเธอว่า “ซูเจี้ยเกลียดการโกหกที่สุด เธอแต่งงานไปตั้งสองอาทิตย์แล้วกว่าจะบอกความจริง จะตัดขาดกับเธอคงไม่แปลก!”
ในใจเธอก็คิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ดูจากนิสัยของซูเจี้ยแล้ว
พอซูเจี้ยเห็นไป๋มู่ชิงในร้านก็เดินหันหลังทันทีจนเหยาเหม่ยต้องรีบลากแขนเธอไว้ “เสี่ยวเจี้ย อย่าทำแบบนี้เลย ที่มู่ชิงโกหกเป็นความผิดของเธอแต่เธอก็ขอโทษแล้วหนิ แกให้อภัยเถอะ”
“ซูเจี้ย ฉันมีเรื่องจะให้เธอช่วย” ไป๋มู่ชิงรีบลุกขึ้นพูดจากโซฟา
ทันใดนั้นก็ซูเจี้ยหันกลับมาพร้อมยิ้มเย้ยใส่เธอ “ดูสิ ถ้าไม่เจอปัญหาเธอคงไม่นึกถึงฉันหรอก” คำพูดนี้เหมือนเธอกำลังพูดกับเหยาเหม่ย
เหยาเหม่ยจะอ้าปากพูดแต่ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
ซูเจี้ยเดินตรงไปหาไป๋มู่ชิงแล้วนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามเธอพร้อมมองสำรวจเธอ “ในเมื่อเธอมีปัญญาแต่งงานกับหนานกงเฉินได้ เธอก็ต้องมีปัญญาใช้ชีวิตกับเขาไปให้ได้สิ ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ที่มีแต่ปัญหารุมเร้าเข้ามาแถมยังเอาปัญหาของเธอมาสร้างความรำคาญให้ฉันอีก”
“เสี่ยวเจี้ย ครั้งนี้มู่ชิงจำเป็นจริงๆที่จะต้องให้เธอช่วยนะ” เหยาเหม่เขย่าแขนซูเจี้ย
“ได้ ว่ามาสิ จะให้ฉันช่วยอะไรอีก?” ซูเจี้ยยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนหลังไปพิงกับเก้าอี้พร้อมมองไปที่ไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงผลตรวจจากโรงพยาบาลหงเอิงออกมาให้เธอดูพร้อมพูดว่า “ฉันไม่เชื่อใจผลตรวจนี้ เพราะว่าหนานกงเฉินไม่อยากได้เด็กตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมโรงพยาบาลนี้บริษัทหนานกงยังถือหุ้นอยู่ ฉันเลยอยากจะมาตรวจเจาะถุงน้ำคร่ำที่โรงพยาบาลซิงเหิงอีกครั้ง เธอช่วยฉันได้ไหม?”
ซูเจี้ยเปิดดูใบผลตรวจจากนั้นสีหน้าก็อึ้งไปเล็กน้อยพร้อมเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เธอไม่เชื่อใจหนานกงเฉินขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ฉันแค่อยากแน่ใจมากกว่านี้” ไป๋มู่ชิงตอบ
ถ้าเป็นแต่ก่อนเธอไม่มีทางสงสัยในตัวหนานกงเฉินแน่นอน แต่หลังจากเกิดเรื่องกับคุณย่าของเธอ เธอไม่สงสัยไม่ได้แล้ว
“เธอแต่งงานกับเขานานขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจในตัวเขาอีกเหรอ? ถึงเขาไม่อยากมีลูก เขาคงไม่ใจดำถึงขั้นฆ่าลูกของตัวเองหรอก?” ซูเจี้ยยื่นใบผลตรวจกลับไปให้เธอ
ไป๋มู่ชิงสุดหายใจเข้าลึกๆพร้อมเอ่ย “คนที่ไม่เข้าใจคือเธอต่างหาก”
“ก็ได้” ซูเจี้ยปรับอารมณ์น้ำเสียงแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเธอสงสัยว่าเขากับทำอะไรกับผลตรวจ งั้นเธอก็อัลตร้าซาวด์ใหม่อีกครั้งสิ ไม่จำเป็นต้องเจาะตรวจถุงน้ำคร่ำเพราะการเจาะตรวจถุงน้ำข้ามนี้ต้องใช้เวลา 10 วันถึงครึ่งเดือนกว่าผลจะออก”
“ใช่ เขาว่ากันว่าถุงน้ำคร่ำเป็นสระว่ายน้ำทารก อย่าไปยุ่งจะดีกว่าเพราะจะทำลายสภาพแวดล้อมการเติบโตของทารก” เหยาเหม่ยพูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ยอมรับความเห็นของซูเจี้ย
หลังจากที่ซูเจี้ยลุกขึ้นออกไปคุยโทรศัพท์ จากนั้นก็พาตัวไป๋มู่ชิงไปที่โรงพยาบาลซิงเหิง
พอไป๋มู่ชิงเข้าไปในห้องตรวจแล้ว เหยาเหม่ยหันไปก็ไม่เจอตัวซูเจี้ยแล้วเลยเดินหาไปทั่วจนพบเธอที่ห้องทำงานของคุณหมอ
คุณหมอพูดคุยกับเธออย่างมีมารยาท เอาแต่พยักหน้ารับ
ซูเจี้ยเดินออกมาที่ประตูก็ตกใจที่เห็นเหยาเหม่ยืนอยู่พร้อมเอ่ยถามขึ้น “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เหยาเหม่ยตอบอย่างสงสัย “ทำไมต้องตกใจขนาดนี้ด้วย? ไม่เห็นเธอเลยเดินมาหานี่เอง”
“ฉันแค่มาย้ำอะไรนิดหน่อย ให้พวกเขารีบส่งผลตรวจออกมาให้เร็วที่สุด” ซูเจี้ยพูดอย่างผ่านๆแล้วเปลี่ยนประเด็นว่า “เธอออกมาหรือยัง?”
“ยังเลย” เหยาเหม่ยส่ายหัวตอบ
หลังจากไป๋มู่ลิงตรวจเสร็จทั้งสามก็กลับมาที่ร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลเหมือนเดิม
เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองคิดมากแล้วเพื่อที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับซูเจี้ยไป๋มู่ชิงเลยขยับนิ้มที่จับแก้วอยู่ไปทางซูเจี้ยที่เล่นโทรศัพท์อยู่ “เสี่ยวเจี้ย เธอกับสามีเป็นยังไงบ้าง?”
ซูเจี้ยแต่งงานกะทันหันเมื่อปีก่อน แถมยังได้แต่งกับบิ๊กบอสอีก
ถึงไป๋มู่ชิงจะไม่เคยเจอบิ๊กบอสที่ว่า แต่เธอฟังจากเหยาเหม่ยว่าเป็นคนที่ดูหล่อดูดีดูรวยมาก
แต่พอเธอเอ่ยถึงขึ้นปุ๊บ เหยาเหม่ยก็รีบขยิบตาใส่เธอ เธองงไปพักหนึ่งค่อยรู้ตัวว่าตัวเองเผลอแตะระเบิด
ซูเจี้ยกัยบิ๊กบอสไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันมาก อยู่ด้วยกันได้คงแปลกแล้วล่ะ
“ขอโทษ……”ไป๋มู่ชิงเอ่ยขึ้น
แต่ซูเจี้ยกลับยกมือขึ้นไปทางประตู ก็พบว่ามีพยาบาลคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้
“คุณหญิงน้อย นี่คือผลอัลตราซาวด์ค่ะ” พยาบาลยื่นซองมาให้ซูเจี้ย ซูเจี้ยใช้ค้างหันไปทางไป๋มู่ชิง พยาบาลเลยยื่นไปให้ไป๋มู่ชิงแทน
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ซองที่พยาบาลยื่นให้ แล้วลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปรับซองนั้นมา แต่เธอก็ยังไม่กล้าเปิดดู เพราะกลัว เลยไม่กล้าเปิดดูสักที
สุดท้ายเธอก็ยัดซองผลตรวจไปในมือของเหยาเหม่ย พร้อมพูดว่า “เสี่ยวเหม่ย เธอช่วยบอกฉันทีว่าเด็กปกติดี ขอร้องล่ะ”
เหยาเหม่ยรับซองผลตรวจมาอย่างไม่เต็มใจ เธอก็ลำบากใจมากเหมือนกัน
พอเห็นใบหน้าเธอที่กังวลจนซีดขาวของเธอ เหยาเหม่ยก็รู้สึกถึงลางร้ายที่ไม่อยากเห็น จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆแล้วกวาดมองผลตรวจในซองนี้
“มู่ชิง ยอมรับความจริงเถอะ” เธอวางผลตรวจลงแล้วเข้าไปกอดเธอไว้ “ไม่ดีก็คือไม่ดี จะตรวจอีกกี่รอบมันก็เหมือนเดิม”
เธอรู้สึกว่าน้ำตาของไป๋มู่ชิงไหลลงไหล่ไม่หยุด เธอเองก็เสียใจเหมือนกันจากนั้นก็กอดเธอให้แน่นขึ้น
ไป๋มู่ชิงร้องไห้อย่างไม่มีเสียงสักพักก่อนจะผลักนัวออกจากเหยาเหม่ยแล้วหันไปพูดกับซูเจี้ยว่า “ขอโทษนะ ฉันดื้อดึงทำลำบากเธอขนาดนี้”
ใบหน้าของซูเจี้ยก็แสดงถึงความเห็นใจเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เธอยังสาว รอบำรุงร่างกายอีกหน่อยค่อยท้องอีกครั้งก็ได้”
“ขอบใจนะ พวกเธอกลับก่อนเลย”
“มู่ชิง เธอยังดีใช่ไหม?” เหยาเหม่ยยื่นไปจับมือเธอไว้ “ฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเธอเอง”
“ไม่เป็นไร ฉันอยากอยู่เงียบๆคนเดียวหน่อย” เธอพูดพร้อมพยายามกั้นน้ำตาไว้
เหยาเหม่ยยังอยากพูดอะไรต่อ แต่ซูเจี้ยก็ลุกขึ้นจากโซฟา “ฉันขอกลับก่อนนะ” พูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากประตูร้านกาแฟ
เหยาเหม่ยหันมองไปที่ซูเจี้ย แล้วมองไปที่ไป๋มู่ชิง สุดท้ายก็เลือกที่จะออกจากร้านกาแฟไป
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว แสงอาทิตย์อ่อนอ่อนส่องเข้ามาจากกระจก แต่เธอไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย
ตั้งแต่ฟ้ายังสว่างจนฟ้ามืด น้ำในแก้วเย็นไปแก้วแล้วแก้วเล่าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ลูกค้าโต๊ะข้างข้างรำคาญเสียงจนต้องพูดเตือนเธอ เธอถึงจะหันไปมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะบนหน้าจอแสดงรายการมีสายที่ไม่ได้รับ 10 กว่าสายส่วนนึงหนานกงเฉินโทรมา บางส่วนก็เป็นคนในตระกูลหนานกงโทรมาแถมยังมีเบอร์ของซูวยาหยงด้วย
มองไปที่เบอร์พวกนี้ เธอรู้สึกว่าอยากจะหายตัวไป ไม่ให้พวกเขาตามหาตัวเธอเจอเลย!
เธอสามารถหาที่ที่หนึ่งแล้วคลอดเด็กคนนี้ออกมาแล้วเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้โตขึ้น ถ้าฟ้าประทานอาจจะให้เด็กที่ร่างกายแข็งแรงกับเธอก็ได้
คุณหมอก็พูดแล้วว่าเด็กไม่ได้ผิดปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรจะมั่นใจในตัวเด็กก็ลองดูสักตั้งสิ?
เหยาเหม่ยได้ยินเสียงเคาะประตู พอเปิดออกไปก็เห็นว่าเป็นไป๋มู่ชิงเลยอึ่งไป จากนั้นก็รีบให้เธอเข้ามาพร้อมมองสำรวจความทุลักทุเลของเธอแล้วเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่ว่าเธอนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟจนถึงตอนนี้หรอ?”
“ยังเดินเที่ยวเล่นอยู่” ไป๋มู่ชิงหันไปยิ้มกับเธอ
“แล้วเธอกินข้าวหรือยัง?”
“ยังเลย” ไป๋มู่ชิงขำตัวเอง “เมื่อกี้ฉันเปิดดูรายชื่อในโทรศัพท์ก็ไม่รู้จะพึ่งใครเลยนอกจากเธอ”
“หมายความว่ายังไง? เธอจะหนีออกจากบ้านหรอ?” เหยาเหม่ยยังมองไปที่เธออย่างครุ่นคิด
“ไม่งั้นฉันจะยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ?”
“ที่รัก นี่เธอกำลังดูถูกอำนาจของหนานกงเฉินนะ “พอได้ยินเธอบอกว่าจะหนีออกจากบ้านก็ร้องขึ้นมายังตกใจ “เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะปล่อยเธอไปง่ายง่ายอย่างนี้เหรอ?ด้วยอำนาจของตระกูลหนานกง เธอจะไปหลบซ่อนที่ไหนได้?”
“วางใจเถอะ ฉันมีแผนแล้ว” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปตบหลังมือเธอเบาเบา “ฉันหิวแล้ว หาอะไรให้ฉันกินหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ” เหยาเหม่ยหันไปหาของกินในตู้เย็นให้ “มาม่าได้ไหม? มีแค่นี้แหละ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เลือกกิน” ไป๋มู่ชิงมองตามหลังเธอ คิดไปคิดมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าหนานกงเฉินจะถามเธอยังไง เธอก็ห้ามบอกเขาว่าฉันหยุดที่นี่เข้าใจไหม?”
“ไว้ใจเถอะ ฉันไม่บอกหรอก” เหยาเหม่ยหันกลับมา “แต่ฉันคิดว่ามันไม่ใช่ทางที่ดีนะ”
“เธอแค่พูดว่าฉันไม่อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ฉันจะไปจากบ้านเธอให้เร็วที่สุด”
“ฉันไม่กลัวเรื่องที่เธออยู่บ้านฉัน แต่ว่า……”
“พอแล้ว ฉันเข้าใจ” ไป๋มู่ชิงหันไปยิ้มให้เธอ
พอกินมาม่าเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็เดินเข้าไปในห้องที่เหยาเหม่ยเก็บกวาดให้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปที่เบอร์ซูวยาหยง
หลังจากโทรออกแล้วก็มีเสียงเอ่ยสั่งสอนเธออย่าโมโห “นางบ้า นี่แกอยากให้ฉันอกแตกตายหรอ? โทรไปเยอะขนาดนั้นทำไมไม่รับ!”
“เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยิน” ไป๋มู่ชิงตอบมั่วไป
เธอรู้ว่าซูวยาหยงโทรมาหลายสาย แต่เธอตั้งใจที่จะไม่รับ
“เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? คนตระกูลโทรมาถามหาแกถึงบ้านแล้ว” ซูวยาหยงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “บอกให้แกทำแท้งตั้งนานแกไม่ฟัง จนยืดเยื้อมาถึงตอนนี้ เสียเวลาเปล่าเปล่า……”
“คุณหญิงไป๋คะ ตอนนี้ฉันก็ไม่คิดที่จะทำแท้งหรอก” ไป๋มู่ชิงพูดแทรก
“แกว่าอะไรนะ?” ซูวยาหยงเอ่ยขึ้นอย่างโมโห “เด็กที่ผิดปกติอย่างนั้นแกไม่เอาออกจะเก็บไว้ทำไม? ยังจะคิดคลอดออกมาเพื่อแย่งสมบัติอีกเหรอ?”
“ใครบอกว่าลูกฉันผิดปกติ?” ไป๋มู่ชิงตอกกลับเสียงเข้ม
ถึงแม้ผลตรวจจะออกมาเป็นอย่างงั้น แต่เธอก็ไม่อยากได้ยินใครพูดถึงเด็กในท้องเธอแบบนี้ เธอไม่ยอม!
ถึงแม้ลูกของเธอจะผิดปกติตั้งแต่กำเนิดแต่ยังไงก็เป็นลูกในท้องในไส้ของเธอ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเด็ดขาด!
ซูวยาหยงกัดฟันทนไป ไม่อยากเสียเวลามาทะเลาะกับเธอเลยพูดเข้าประเด็นว่า” ไป๋มู่ชิง นี่แกตั้งใจฟังนะ ตอนนี้คนในตระกูลหนานกงบอกให้แกทำแท้ง แกก็ต้องทำแท้ง แถมตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่แกจะได้สลับเปลี่ยนตัวกับยิ่งอัน ถ้าแกยังกล้าหาข้ออ้างมาอ้างอีก ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
“คุณหญิงไป๋ คุณก็ตั้งใจฟังฉันพูดให้ดี” ไป๋มู่ชิงจับโทรศัพท์ไว้แน่นพร้อมเอ่ยอย่างนิ่งเฉยว่า “ฉันจะไม่ทำแท้งหรอก ถึงแม้ลูกฉันจะผิดปกติ พวกคุณก็ไม่ต้องกังวลหรอกว่าอีกหน่อยฉันจะเอาเด็กคนนี้มาแย่งสมบัติตระกูลหนานกง”
“แก……!”
“ฟังฉันพูดให้จบก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกขึ้น “วันนี้ฉันหนีออกมาจากโรงพยาบาล คนในตระกูลหนานกงยังไม่รู้ว่าฉันไปไหน ฉันต้องการให้คุณจองตั๋วไปต่างประเทศให้ฉันเร็วที่สุด จากนั้นก็ปล่อยตัวน้องชายกับแม่ฉันมาด้วย ฉันสาบานว่าชาตินี้ฉันจะไม่กลับมาเหยียบเมืองซีนี้อีก แล้วคุณก็บอกกับคนในตระกูลหนานกงว่าไป๋ยิ่งอันไปทำแท้งแล้ว ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ รอเวลาผ่านไปสักพักก็ค่อยแสดงตัวในฐานะคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง พอนานไปคนในตระกูลหนานกงก็จะแยกไม่ออกระหว่างฉันกับเธอ”
เธอไม่ให้โอกาสซูวยาหยงเถียงกลับพร้อมพูดต่อว่า”นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยอม ฉันให้เวลาคุณหญิงไป๋คิดพิจารณาคืนนึงพรุ่งนี้เช้าฉันต้องได้คำตอบ”
“ถ้าฉันไม่เห็นด้วยล่ะ?”
“จะว่ายังไงล่ะ?” ไป๋มู่ชิงเอ่ย “จะหน้ามือหรือหลังมือก็เจ็บเหมือนกัน ฉันไม่ยอมทำแท้งเพราะน้องชายหรอก พอละ ฉันไม่อยากพูดอะไรกับคุณมาก พรุ่งนี้ให้คำตอบฉันก็พอ”
พอจบไป๋มู่ชิงก็วางสายไป
เธอยืนเหม่อที่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนอนลงบนเตียง พอหลับตาลง ในสมองก็มีแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
พอคิดดูดีดีแล้วการตัดสินใจนี้ดีที่สุด ถ้าพรุ่งนี้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น เธอก็จะได้มีชีวิตใหม่ เธอก็จะหลุดพ้นจากกรงของตระกูลหนานกงสักที ไม่ต้องเจ็บปวดเพราะความรู้สึกที่มีให้กับฆาตกรที่ฆ่าคุณย่าเธออย่างหนานกงเฉินด้วย
เธอไม่กังวลหรอกว่าซูวยาหยงจะปฏิเสธเธอ เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่ทั้งสองจะได้ผลประโยชน์
พอเช้าวันรุ่งขึ้นเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากซูวยาหยง
เพราะว่าเธอกลัวว่าคนในตระกูลหนานกงจะตามตัวเธอเจอ ไป๋มู่ชิงเลยปิดเครื่องตั้งแต่ออกจากร้านกาแฟ นอกจากเมื่อคืนที่โทรหาซูวยาหยงก็ไม่ได้เปิดเครื่องเลย
หลังจากวางสายเมื่อคืนไปเธอก็ให้เบอร์โทรศัพท์บ้านของเหยาเหม่ยไว้ ซูวยาหยงอาจจะโทรมาที่เบอร์นี้ก็ได้
ตามคาดไว้ ถึงแม้ซูวยาหยงจะโกรธจนกัดฟังเสียงดีแต่ก็ตอบตกลงเงื่อนไขของเธอ พร้อมกับบอกเธอว่าจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นตอนบ่ายไว้ให้
ไป๋มู่ชิงรีบถามขึ้นอย่างใจร้อนว่า “แล้วแม่กับน้องชายฉันอยู่ไหน? ฉันจะได้เจอเขาเมื่อไหร่?”
“วางใจเถอะ ถ้าไปถึงที่นู้นแล้วก็จะได้เจอเอง” ซูวยาหยงพูด
แม่กับน้องชายของเธอถูกขังอยู่ที่ญี่ปุ่นนั่นเอง
“ได้ แต่ฉันขอเตือนคุณไว้อย่างที่คุณเคยบอกฉัน อย่าเล่นตุกติกอะไรล่ะ ไม่งั้นถึงแม้ไป๋ยิ่งอันจะได้เข้าไปในตระกูลหนานกงแล้ว ฉันก็ไม่ปล่อยเธอให้อยู่อย่างสบายแน่”
“ไว้ใจได้ ถึงฉันจะอยากทำอะไรเธอ พ่อเธอก็ไม่อนุญาตหรอก”
“งั้นก็ดี ตอนบ่ายอย่าลืมเอาตั๋วกับพาสปอร์ตมาส่งให้ฉันที่สนามบินด้วย” ไป๋มู่ชิงเอ่ย
“ได้ ถึงแล้วจะโทรไป”
ไป๋มู่ชิงวางสายแล้ว เหยาเหม่ยก็รีบเดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง “นี่เธอจะไปไหนน่ะ? ไปต่างประเทศเหรอ?”
“ใช่ ไปหาแม่กับน้องชายฉัน” ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ ขอให้แผนการครั้งนี้ราบรื่นด้วยเถอะ ขอให้เธอได้เจอคนในครอบครัวเร็วๆ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าหนานกงเฉินต้องให้คนมาหาที่บ้านเหยาเหม่ยแน่ๆ เพราะเธอมีเพื่อนไม่กี่คน เพื่อที่จะไม่ให้เขาหาตัวเจอ เธอจึงไปจากบ้านของเหยาเหม่ยแต่เช้า
เธอเร่ร่อนอยู่ข้างนอกสักครึ่งวันก่อนจะถึงเวลาเช็คอินเธอถึงนั่งรถบาสไปที่สนามบิน
แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้งซูวยาหยงกับไป๋ยิ่งอันก็ออกเดินทางไปสนามบินแล้ว
ไป๋ยิ่งอันที่กำลังขับรถอยู่หันไปถามอย่างลังเลใจว่า “นี่แม่ตอบตกลงให้มันไปทั้งๆที่ยังท้องอยู่ได้ยังไง ถ้าลูกของมันแข็งแรงล่ะ อีกหน่อยหนูก็ตายแน่เลยสิคะ?”
“วางใจเถอะ มันไม่ได้คลอดหรอก” ซูวยาหยงขยับแว่นกันแดดขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยความมั่นใจ
คำถามง่ายๆแค่นี้เธอจะคิดไม่ถึงได้ยังไง?
“หมายความว่ายังไงคะ?” ไป๋ยิ่งอันจอดรอไฟแดงพร้อมหันไปมองซูวยาหยง “หรือว่าแม่……จะลงมือกับมัน?”
“มันบังคับแม่เอง” สีหน้าของซูวยาหยงดูมีแผนร้าย “ถึงมันจะไม่ท้อง แม่ก็ไม่ยอมให้มันมีชีวิตรอดอยู่บนโลกนี้หรอก เพราะถ้ามีมันอยู่วันนึง เราก็วางใจไม่ได้”
“แต่ว่า……” ไป๋ยิ่งอันพูดติดๆขัดๆ “ฆ่าคนผิดกฎหมายนะคะ”
“ไม่ต้องห่วง แม่จัดการไว้หมดแล้ว” ซูวยาหยงยิ้มอย่างมีเลศนัย “มาเฟียที่ญี่ปุ่นเยอะแยะ แค่ผู้หญิงคนเดียวจะจัดการไม่ได้เหรอ? แค่มันก้าวออกจากสนามบินก็ตายแน่”
ไป๋ยิ่งอันคิดไปคิดมาแล้วหัวเราะออกมา “ไม่น่าล่ะคุณแม่ถึงให้มันไปญี่ปุ่น เป็นอย่างนี้นี่เอง……” เธอครุ่นคิดแล้วพูดอย่างกังวลว่า “แต่ถ้าให้คุณพ่อรู้เรื่องนี้จะทำยังไงดีคะ? คุณพ่อคงบีบคอเราตายแน่เลย”
“แกเชื่อหรอว่าพ่อแกจะบีบคอแกตายได้?” ซูวยาหยงยิ้มอย่างได้ใจ “รอมันตายไปแกก็จะเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ พ่อแกจะทำใจได้หรอ?”
พูดไปก็ถูก ไป๋ยิ่งอันวางใจสักที
“ถ้ารอมันเช็คอิน แผนของเราก็สำเร็จไปครึ่งนึงแล้ว ที่เหลือก็รอดูแผนของแม่”
“วางใจเถอะ แม่จัดการไว้แล้ว”
“งั้นก็ดีค่ะ”
ซูวยาหยงเอนตัวไปพิงเบาะพร้อมถอนหายใจเบาๆ
ที่เธอต้องไปสนามบินด้วยตัวเองก็เพราะถ้าไม่ได้เห็นไป๋มู่ชิงขึ้นเครื่องกับตาก็คงไม่วางใจแน่ กลัวว่านะมีอะไรผิดพลาด
รอจนกว่าไป๋มู่ชิงขึ้นเครื่อง เธอก็จะได้วางใจลงอย่างจริงๆจังๆ
เลขาเหยียนออกมาจากบ้านของเหยาเหม่ย เดินลงไปด้วยพร้อมโทรไปที่เบอร์ส่วนตัวของหนานกงเฉินด้วย
หนานกงเฉินที่กำลังประชุมอยู่พอเห็นว่าเลขาเหยียนโทรเบอร์ส่วนตัวเข้ามา เขากวาดมองไปที่ทุกคนจากนั้นก็ให้เซิ่งเคอรับผิดชอบแทนแล้วเดินออกจากห้องประชุม
“เป็นไงบ้าง” เขาถามขึ้นดูด้วยเสียงเข้ม
เลขาเหยียนตอบ “คุณเหยาแค่ยอมบอกว่าคุณหญิงน้อยจะบินไปญี่ปุ่นประมาณบ่ายสามค่ะ”
ตอนแรกเธอใช้เงินล่อให้เหยาเหม่ยเปิดปากพูดแต่เหยาเหม่ยก็เอาแต่บอกว่าไม่ได้เจอไป๋มู่ชิง จากนั้นเลขาเหยียนก็เปลี่ยนมาบังคับเธอขู่เธอว่าถ้าไม่บอกว่าคุณหญิงน้อยไปไหน ทั้งงานของเธอ ตำแหน่งผู้จัดการของแฟนเธอก็จะรักษาไว้ไม่ได้
พอเหยาเหม่ยได้ยินว่าจะกระทบกับงานของแฟนเธอ เธอดิ้นรนพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากบอก
ตอนนี้เธอคงกำลังโกรธโทษตัวเองอยู่บ้าน แล้วเอาแต่โทรหาไป๋มู่ชิง
หนานกงเฉินยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ตอนนี้ก็บ่ายโมงครึ่งแล้วอีกแป๊บเดียวก็จะถึงเวลาขึ้นเครื่อง
เมื่อวานไป๋มู่ชิงไม่กลับบ้านทั้งคืน เขาก็รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย
เขารู้ว่าทุกครั้งที่เธอเสียใจก็จะไปที่ริมแม่น้ำ เมื่อคืนเขาก็ขับรถตามหาดูริมแม่น้ำทั่วแล้ว แต่ก็ไม่เห็นเงาเธอเลย
แน่นอน เขาเข้าใจนิสัยไป๋มู่ชิงดี เธอไม่ใช่คนที่จะคิดสั้นเมื่อเจอปัญหา คงไม่ฆ่าตัวตายหรอก
ที่เธอไม่กลับบ้าน คงรู้ผลที่ไม่ต่างกันจากโรงพยาบาลอื่น ว่าเด็กผิดปกติแล้วกลัวว่าเขาจะบังคับให้เธอทำแท้งเลยไม่กล้ากลับบ้าน
เอาแต่หนีปัญหาจะแก้ไขปัญหาได้ยังไง? ผู้หญิงงี่เง่าคนนี้นิ!
ไป๋มู่ชิงนั่งรอซูวยาหยงอยู่บริเวณสนามบินคนเดียว ในมือเธอจับโทรศัพท์ไว้แน่นแต่ก็ไม่กล้าเปิดเครื่อง เอาแต่ก้มมองเวลาที่นาฬิกากับมองไปทางประตูทางเข้า
ในที่สุดเธอก็เห็นคนขับรถลุงเหอของตระกูลไป๋กำลังมองหาเธออยู่หน้าประตู
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโบกมือให้แก ลุงเหอก็เดินตรงมาที่เธอ
“คุณหนูครับ นี่เป็นตั๋วเครื่องบินกับพาสปอร์ตที่คุณหญิงให้ผมนำมาให้” ลุงเหิยื่นพาสปอร์ตกับตั๋วเครื่องบินในมือให้เธอ เมื่อเธอรับไปแล้วเปิดดูก็พบว่าเป็นของไป๋ยิ่งอัน
“แล้วก็……” ลุงเหอล้วงบัตรออกจากกระเป๋าเสื้อ “นี่เป็นบัตรเครดิตที่คุณชายท่านให้ผมนำมาให้ ในบัตรมีสิบล้าน รหัสเป็นวันเกิดคุณหนูครับ”
ไป๋มู่ชิงกำพาสปอร์ตกับตั๋วไว้ในมือแล้วมองไปที่บัตรเครดิตในมือแกแล้วเอ่ยว่า “บัตรไม่ต้องหรอก คืนให้เขาด้วยนะคะ”
“คุณหนูครับ คุณชายท่านยังบอกอีกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาประชดกัน ไปถึงที่นู้นต้องใช้เงินแน่นอนครับ” ลุงเหอพยายามโน้มน้าว
“รบกวนลุงเหอบอกเขาด้วยนะคะ ตั้งแต่วันนี้ไปหนูกับเขาตัดขาดกัน ถึงจะตายมันก็เป็นเรื่องของหนู” พอไป๋มู่ชิงพูดจบก็หันหลังเดินตรงไปที่ประตูจุดตรวจ
ลุงเหอไม่รู้จะทำยังไงเลยยัดบัตรเข้ากระเป๋าไป
มองตามหลังของไป๋มู่ชิงที่เดินไปทางประตูจุดตรวจ ซูวยาหยงก็ยิ้มอย่างดีใจขึ้นมา “นังนี่ไปได้สักที”
สติของไป๋ยิ่งอันยังจดจ่ออยู่กับบัตรเครดิตที่ลุงเหอยื่นให้ไป๋มู่ชิงพร้อมพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “คุณพ่อก็ยังเป็นห่วงมันอยู่ดี ยังแอบเอาเงินให้มันอีก”
เธอนึกว่าครั้งก่อนที่ไป๋มู่ชิงพูดไม่ให้เกียรติคุณพ่อไป คุณพ่อคงตัดใจจากลูกสาวคนนี้ได้แล้ว แต่นี่กลับให้มันสิบล้านเลย!
เมื่อเทียบกับความหงุดหงิดของเธอแล้วแต่ซูวยาหยงกับแสดงสีหน้าที่ไม่แยแส “แกจะหงุดหงิดทำไม? กับคนที่กำลังจะตาย ถึงจะเอาเงินไปจริงแต่อีกหน่อยก็กลับมาเป็นของเราแล้ว”
“ถึงจะพูดอย่างนี้ก็ถูก แต่การกระทำของคุณพ่อมันน่าเจ็บใจ”
“พอแล้ว เดี๋ยวก็จะได้เป็นคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานแล้ว ยังจะหวงอะไรอีกไปเถอะ เราควรจะกลับไปแล้ว” ซุวยาหยงหันไปมองไป๋มู่ชิงที่กำลังต่อแถวอยู่พร้อมคล้องแขนไป๋ยิ่งอันกำลังจะเดินออกไป
แต่พอทั้งสองเพิ่งเดินออกจากหลังเสาก็ต้องตกใจเพราะว่าเห็นเงาของคนคนหนึ่งเดินมาจากประตูทางเข้า ไป๋ยิ่งอันรีบดึงซูวยาหยงกลับมาหลบหลังเสาแล้วเอ่ยว่า “คุณแม่ทำไมหนานกงเฉินถึงมาอยู่ที่นี่ได้? เขาคงไม่รู้หรอกมั้งว่ายัยนี่จะไปต่างประเทศ?”
“ใช่ อะไรไรกันเนี่ย?” ซูวยาหยงก็เริ่มหวั่น แผนใกล้จะสำเร็จแล้วแท้ๆทำไมถึงมีข้อผิดพลาดได้? จนทำให้ทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้น?
“คุณแม่หนูว่าเขาต้องรู้แน่แน่ว่ายัยนี่หนีออกจากบ้านเลยมาหาทำยังไงดี?ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?” จากนิสัยของไป๋ยิ่งอัน พอมีปัญหาก็ลนลานไปหมด
พอเห็นหนานกงเฉินก้าวมาจากทางประตูก็กัดฟันแล้วพูดว่า “ยิ่งอันแกอย่าออกมา อยากให้เขาเห็นแกเด็ดขาด”
“คุณแม่……”
“แกหลบอยู่ที่นี่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะไปท่วงเขาไว้” พูดจบเธอก็จัดเสื้อผ้าแล้วปรับน้ำเสียง เดินตรงไปทางหนานกงเฉินแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมแกล้งมองเขาแล้วเอ่ยว่า” คุณชายเฉิน บังเอิญจังเลยทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
หนานกงเฉินหยุดเดินแล้วจ้องไปที่เธอ “ไม่บังเอิญหรอก ผมมาตามภรรยาผมกลับบ้าน”
“ห๋า? คุณว่าอะไรนะคะ? คุณจะพาตัวยิ่งอันกลับไป?”
“ใช่ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนครับ?”
“เธอ……” ถึงซูวยาหยงจะตกใจกับสายตาที่เยือกเย็นของเขา แต่เพื่อจะท่วงเวลาไว้เลยฝืนยิ้มตอบไปว่า “ยิ่งอันขึ้นเครื่องไปแล้วค่ะ แต่คุณชายเฉินวางใจได้นะคะ เธอแค่ไประบายอารมณ์ ไม่กี่วันก็กลับมาแล้วค่ะ”
เพื่อที่จะท่วงเขาไว้เลยบอกไปว่าไป๋มู่ชิงผ่านจัดตรวจไปแล้ว เธอเองก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
หนานกงเฉินไม่เชื่อคำพูดเธอพร้อมเดินอ้อมไปมองหาต่อ
เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 98 หนีออกจากบ้าน
Posted by ? Views, Released on August 5, 2021
, เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ
Recommended Series
Comment
Facebook Comment