เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 82 แลกเปลี่ยนตำแหน่งกัน

“นี่เป็นเรื่องสำคัญ”ในที่สุดซูวยาหยงลุกขึ้นมา ค่อยๆเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า“อีกหนึ่งเดือนคุณจะต้องออกไปจากตระกูลหนานกงแล้ว ฉันยังต้องทำความเข้าใจว่าเธออยู่ที่ตระกูลหนานกงเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะหนานกงเฉิน และยังมีคนที่เธออย่าไปเล่นตุกติกด้วย ไม่งั้นครอบครัวของพวกเธอทั้งสามคนได้ตายแน่”
พวกเขาเอาวิธีนี้มาพูดขู่เธออีกแล้ว ไป๋มู่ชิงถอนหายใจออกมาและพูดอย่างไม่แยแสว่า“บันทึกของทุกๆวันฉันก็ให้พวกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ?ข้างบนยังเขียนไว้อย่างชัดเจน
“ใครจะไปรู้ว่าเธอแอบเล่นตุกติกหรือเปล่า?”
“สบายใจได้ ในกำมือของพวกเธอกุมชีวิตแม่และน้องชายของฉันเอาไว้อยู่ ฉันจะกล้าเล่นตุกติกได้อย่างไร? ”
“เหอะ ในตอนแรกๆพวกเธอสองคนแม่ลูกทำอะไรไม่ได้เลยเพื่อจะเอาสมบัติของตระกูลไป๋?ใครจะไปรู้ว่าครั้งนี้เพราะอยากได้สมบัติของตระกูลหนานกงเลยจะเพิกเฉยชีวิตแม่และน้องชายหรือปล่านะ?คนพูดคือไป๋ยิ่งอัน พูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม
ไป๋มู่ชิงตตอบกลับเธอไปว่า“ฉันไม่ได้เลวแบบเธอหรอกนะ”
“เธอ……!”ไป๋ยิ่งอันโกรธมาก
“ทำไมกันล่ะ?ฉันพูดผิดเหรอ?ไป๋มู่ชิงตอบกลับไปด้วยท่าทางที่ไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเห็นคนขับรถทั้งสองกำลังจะลุกขึ้น ซูวยาหยงรีบพูดว่า“พอได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเธอจะมาทะเลาะกันนะ หุบปากไปเลยทั้งคู่”
ทั้งสองคนหยุดพูด ซูวยาหยงหันกลับมาพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“ช่วงนี้พี่สาวของเธอค่อนข้างเก็บตัวนะ เป็นเพราะหลบหน้าคนตระกูลหนาน ในเวลาหนึ่งเดือนนี้ เธอพยายามจัดการไปเงียบๆละกันนะ หลังจากนั้นค่อยหาข้ออ้างกลับบ้าน หรือไม่ก็พูดกับคนในตระกูลหนานกงไปเลยว่า ฉันวางแผนว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศสักครึ่งเดือน ได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหม?
“ได้ยินแล้ว”ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเบาๆ คิดอยู่ว่าควรบอกพวกเขาอย่างไรกับเรื่องที่ตัวเองท้อง
รอให้ถึงเวลานั้นไป๋ยิ่งอันเข้าไปในตระกูลหนานกง ในท้องกลับไม่มีอะไรเลย เรื่องนี้ก็คงจะต้องจบลงแน่ๆ
หลังจากนั้นซูวยาหยงยังพูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจมาอีก สีหน้าที่บ่งบอกถึงความวุ่นวาย
ลังเลอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นเองเธอเงยหน้ามองซูวยาหยงพูดว่า“ฉันท้อง”
ซูวยาหยงอึ้งไปเลย สองแม่ลูกมองเธอมองเธอไปครู่ใหญ่ๆ พูดอย่างอ้ำอึ้งว่า“เธอพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันท้อง”ไป๋มู่ชิงพูดซ้ำอีกครั้ง
หลังจากสองแม่ลูกช็อกไปนั้น ไป๋ยิ่งอันพูดด้วยความโกรธแค้นว่า“เธอนางผู้หญิงเลวคนนี้!”ขณะที่เธอตะโกนคำนี้ออกมา ร่างกายของเธอเหมือนมีอะไรโผ่เข้ามา ไป๋มู่ชิงถูกผลักไปที่โซฟา เธอได้ตบไป๋มู่ชิงไปสองที“ผู้หญิเลว!หนานกงเฉินเป็นของฉัน!ทำไมเธอถึงไปนอนกับเขา?ทำไมถึงท้องลูกของเขา?เธอคิดว่าเธอท้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคืนเขาให้ฉันแล้วใช่ไหม?เธอ……ฝันไปเถอะ!”
ไป๋มู่ชิงคาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะโกรธขนาดนี้ ด้วยความรีบร้อนนั้นเธอเลยรีบเอามือไปกอดไว้ที่หน้าท้องของเธอ
“ยิ่งอัน เธอใจเย็นๆก่อน!”ถึงแม้ว่าซูวยาหยงโกรธไม่แพ้กัน แต่ยังไงก็ยังมีเหตุผล ดึงมือของไป๋ยิ่งอันไว้พูดว่า“ตอนนี้เธอกำลังจะทำให้แผนของเราเสียนะ ใจเย็นๆก่อน!”
“แม่!”ไป๋ยิ่งอันที่ดิ้นรนอยู่ตรงนั้นพูด พวกเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรไป๋มู่ชิงมากนัก เธอยังคงตะโกนว่า“เธอจงใจทำใช่ไหม!เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ายังไงเธอก็จงใจทำ !เธอใช้ลูกมารั้งตำแหน่งในตระกูลหนานกงไว้ เธอมันเลวจริงๆ!เธอมันก็เลวเหมือนกับแม่ของเธอนั้นแหละ!”
“ถ้าหากว่าเธอไม่ต้องการแม่และน้องชายแล้ว เธอไม่จำเป็นเอาวิธีมารั้งหนานกงเฉินหรอก เธอไม่เข้าใจเหรอ?”ซูวยาหยงพูด ประโยคพวกนี้เหมือนกับกำลังพูดเตือนไป๋ยิ่งอัน แต่ก็ยังเป็นการกล่าวเตือนไป๋มู่ชิงด้วยว่าที่เธอตั้งท้องไม่ทำให้เธออยู่ที่ต่อตระกูลหนานกงได้หรอกนะ
ในที่สุดไป๋ยิ่งอันหยุดดิ้น ผมของเธอยุ่งเหยิง ในใจเธอรู้สึกอารมณ์แปรปรวน สายตาคู่นั้นจ้องไปยังไป๋มู่ชิงที่อยู่บนโซฟา
ซูวยาหยงพยุงลูกสาวมานั่งอยู่ตรงโซฟาที่อยู่ตรงข้ามไป๋มู่ชิง มองไป๋มู่ชิงพูดว่า“จริงๆเรื่องนี้มันจะไม่ยากขนาดนั้น ถ้าถึงเวลาที่มู่ชิงจะต้องกลับบ้านแล้ว เธอก็เอาเด็กออกสิแล้วหลังจากนั้นจะได้ไม่มากระทบกับแผนการของฉัน
ได้ยินเสียงซูวยาหยงพูด ไป๋ยิ่งอันก็ค่อยๆใจเย็นลง
“ฉันจะไม่เอาลูกออก! ”เธอเลยส่ายหัวปฏิเสธไปโดยสัญชาตญาณ
“ถ้าไม่งั้นเธอคิดว่าจะทำอย่างไร?แอบคลอดออกมา?”ไป๋ยิ่งอันเอามือไปลูบๆผมที่ยุ่งเหยิง กัดฟันจ้องเธอพูดว่า“หัวใจของเธอมันตายไปแล้วหรือไงกัน ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขหนานกงเฉินออกมาใช้ชีวิตบนโลกนี้หรอก!นอกจากฉัน ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิได้คลอดลูกของเขา”
“ใช่แล้ว ยังไงก็เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้”ซูวยาหยงเห็นด้วยกับที่เธอพูด
ไป๋มู่ชิงมองสองแม่ลูกด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ในใจอขงเธอยิ่งกังวล นี่เลยเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากบอกว่าเธอท้อง
พอออกมาจากร้านกาแฟ ในใจของไป๋มู่ชิงหนักอึ้งไปราวกับว่าโดนก้อนหินมาก้อนใหญ่ทับอยู่
เธอมีความฝันตั้งแต่เด็กที่เธออยากจะแต่งงานกับคนที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและเป็นคนที่มีค่าที่จะรักไปตลอดชีวิต แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้เธอแต่งงานมีลูกแล้วและแถมยังกลับต้องมาเป็นแบบนี้
คนที่แต่งงานด้วยนั้นไม่รักเธอ เธอได้แต่อดทนเอาไว้ แต่ว่าเด็กที่อยู่ในท้อง……นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หนานกงเฉินไม่ยอมรับเขา ยังไงแม่กับพี่สาวแท้ๆต้องฆ่าเขาให้ตายแน่ๆ
แต่ว่าที่น่าเสียใจที่สุดคือเธอที่เป็นแม่นั้นกลับทำอะไรไม่ได้เลย !
เธอเดินไปบนทางเท้าแบบสติเลอะเลือน หลายครั้งที่เธอเกือบถูกรถชนแบบไม่รู้ตัว ในที่สุดเธอได้เดินออกไปจากบริเวณของตระกูลหนานกง
เลขาเหยียนที่พึ่งกลับมาจากทำงาน เห็นไป๋มู่ชิงเดินหลงทางอยู่บนถนน เธอเหยียบเบรกไปเบาๆ ค่อยๆจอดรถตรงข้างทาง ลดหน้าต่างลงเพื่อตะโกนเรียกถามเธอ
ไป๋มู่ชิงที่เดินอยู่บนทางเดินเท้านั้นกลับไม่แยแสเธอเลย และยังคงเดินเข้าไปต่อเรื่อยๆ
เลขาเหยียนได้แต่สตาร์ทรถอีกครั้ง เพื่อที่มุ่งหน้าไปยังตระกูลหนานกง
เธอเดินไปถึงที่ชั้นบนสุดของตึก ได้เอาเอกสารที่อยู่ในถุงกระดาษยื่นให้หนานกงเฉินด้วยความเคารพว่า“คุณชายเฉิน สัญญาเซ็นเรียบร้อยแล้ว ท่านลองตรวจทานดูอีกครั้ง”
“งั้นเอาวางไว้ตรงนั้นก่อน”หนานกงเฉินกำลังยุ่งอยู่กับการตอบกลับอีเมล แทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“เอ่อ……คุณชายเฉิน ฉันพูดเรื่องส่วนตัวหน่อยได้ไหม?”ผู้ช่วยเหยียนพูดอย่างลังเล เพราะที่บริษัทมีข้อบังคับว่าเวลาทำงานห้ามพูดเรื่องส่วนตัว ยิ่งกวานั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับเขา
“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องตามหาเธอแล้ว”หนานกงเฉินยังคงไม่สนใจ สำหรับเขานอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีเรื่องส่วนตัวเรื่องไหนอีกแล้ว
“นี่มันไม่เกี่ยวกับคุณหนูจู”
“งั้นเกี่ยวกับใคร?”
“คุณหญิงน้อย”
“งั้นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว”
ผู้ช่วยเหยียนมองเขาด้วยท่าทางที่จริงจังและพยักหน้าว่า“โอเค”พอพูดเสร็จเธอก็เดินออกจากห้องทำงาน
แต่ทว่า ตอนที่มือเธอกำลังจะบิดลูกบิดประตู หนานกงเฉินที่อยู่ข้างหลังได้พูดว่า“เดี๋ยวก่อน”
เธอเลยเดินกลับไปพูดว่า“ยังมีธุระอะไรเหรอ?คุณชายเฉิน”
“นายหญิงน้อยเธอ……ก่อปัญหาอะไรหรือเปล่า?”เขาถามมาแค่ประโยคเดียว
พอผู้ช่วยเหยียนคนเคร่งขรึมพอได้ยินคำถามนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พูดว่า“ในสายตาของคุณชาย นายหญิงน้อยนอกจากสร้างปัญหาเรื่องอื่นๆก็ไม่ทำเลยอะไรเลยเหรอ?
หนานกงเฉินเลิกคิ้ว อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าเธอเป็นแบบนั้นมาตลอด
“จริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่เมื่อกี้ตอนที่ฉันกลับมา เห็นคุณหญิงน้อยเดินล่องลอยไม่ได้สติอยู่บนข้างทางเหมือนว่ายังร้องไห้อีกด้วย”ผู้ช่วยเหยียนพูดออกมาแบบนั้น
เดินล่องลอยแบบไม่ได้สติ แถมยังร้องไห้อีก?
โตขนาดนี้แล้วจะร้องก็ร้องก็ร้องสิ ไม่ใช้เด็กนะที่จะร้องไห้แล้วเดินหลงทางน่ะ เขาก็คิดไปแบบนั้น หลังจากนั้นเขากลับไปทำงานต่อ
หนานกงเฉินถึงแม้ว่าจะกลับไปทำงานต่อแต่เขากลับเป็นกังวล ในใจเขามัวกังวลมัวแต่คิดถึงหน้าของเธอ
เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมถึงเป็นกังวลกับคำพูดที่ผู้ช่วยเหยียนพูดออกมา ยิ่งกว่านั้นความรู้สึกของตัวเขาที่มีต่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกของเธอสักหน่อย รู้อย่างงี้ไม่ถามประโยคสุดท้ายกับผู้ช่วยเหยียนหรอก
ยังไงก็ทำงานต่อไม่ได้แล้ว เขาเลยรีบปิดคอม หยิบเสื้อกันหนาวที่อยู่บนหลังเก้าอี้และ รีบออกไปจากห้องทำงานของเขา
เลขาเฉินเห็นว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอกเลยรีบเดินเข้าไปพูดว่า“คุณชายเฉิน อีกครึ่งชั่วโมงจะมีประชุมของแผนกการขาย”
หนานกงเฉินเดินไปข้างหน้าไม่หยุดแถมยังพูดว่า“ให้ผู้ช่วยเหยียนเป็นประธานในการประชุมนี้ก็ได้แล้ว”
ตอนที่เขาพูดนั้น ไม่ทันไรเขาออกไปจากบริเวณสำนักงานแล้ว และเดินมุ่งหน้าไปทางลิฟต์
ไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงแตรที่เธอคุ้นเคยมาแต่ไกล แต่เธอไม่ได้สนใจเลย ในใจคิดว่าจะบังเอิญเกินไปแล้วถ้าหนานกงเฉินมาอยู่แถวนี้ได้ เธอเลยเดินต่อไปข้างหน้า ข้างหน้าเป็นที่รอรถพอดี หนานกงเฉินเลยไปหยุดรถตรงข้างๆเธอ
มีร่างสูงใหญ่แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยใกล้เข้ามา แต่ครั้งนี้ไป๋มู่ชิงไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกแล้ว เธอหันหน้าไปด้วยความประหลาดใจ
เธอสูดหายใจเข้าหลายครั้ง เธอจับหน้าที่เปียกชื้นของตัวเอง หน้าที่โดนไป๋ยิ่งอันตบมายังคงรู้สึกเจ็บอยู่ ด้านข้างของหน้าเธอแดงไปหมด เธอรู้สึกไม่ดีที่จะต้องไปเจอหน้าเขา
ตอนที่เจอเธอ เธอรู้สึกลังเลไม่น้อย หนานกงเฉินทนไม่ได้ที่จะพูดกับเธอว่า“รีบขึ้นรถ ที่นี่ไม่มีที่จอดรถ”
ไป๋มู่ชิงทำได้เพียงแต่ต้องเปิดประตูขึ้นไปบนรถ
หนานกงเฉินเห็นว่าบนหน้าเธอมีร้อยนิ้วชัดมากอยู่บนหน้าเธอเลยถามเธอว่า“เธอไปไหนมา”
“ฉัน……”ไป๋มู่ชิงรับเอามือปิดแก้มของเธอ ไม่รู้ว่าในตอนนั้นควรตอบเขาไปว่าอย่างไร
“บอกฉันมา”หนานกงเฉินสั่งให้เธอบอกเขามา
“ฉัน……กลับไปที่บ้านมา”ไป๋มู่งชิงบอกความจริงกับเขาไป ยังไงแล้วก็ได้เจอแม่ลูกคู่นั้น ไม่ต่างอะไรกับกลับบ้านเลยเถอะ?
“ทะเลาะกันอีกแล้วใช่ไหม?”
“ใช่”
“จริงๆเลยนะ!”หนานกงเฉินพูดเยาะเย้ยว่า“ทุกครั้งก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แถมยังทะเลาะกันอีก เธอไม่รู้สึกโกรธบ้างเหรอ?”
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าตัวเองนั้นไม่มีประโยชน์ ใครให้ไป๋ยิ่งอันเป็นคุณหนูหัวแก้วหัวแหวนของพ่อแม่กันนะ?แต่เธอนั้นไม่เหมาะที่จะได้เป็นเลย!
หนานกงเฉินเห็นน้ำตาของเธอหยดลงมา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เธอโกรธจนจะเป็นบ้าแล้ว เขารับมือกับเธอได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอร้องไห้หนักขนาดนี้
“นี่ เธอนี่มันยังไงกัน?อยากให้ฉันไปจัดการเธอไหม?”ผู้ชายน่ะจัดการได้ไม่ยากหรอกนะ แต่ผู้หญิงนี่สิ……เขาไม่มีความชำนาญหรอกนะ
“ไม่ใช่ว่าที่นี่ห้ามจอดรถหรอกเหรอ?”ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างเคร่งครึม
หนานกงเฉินไม่ได้สตาร์ทรถ แต่หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาให้เธอแล้วพูดว่า“ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันจะไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีก”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ใช้กระดาษทิชชู่เช็ดจมูกของเธอ
“ร้องไห้พอหรือยัง?ถ้าพอแล้วฉันจะได้ไปส่งเธอ”
“ร้องไห้พอแล้ว”ไป๋มู่ชิงก็พยักหน้าต่อ
หนานกงเฉินสตาร์ทรถขับไปที่บ้านตระกูลหนานกง
ถึงแม้ว่าเธอจะบอกอะไรเขาไม่ได้ แต่ว่าในเวลานั้นมีคนที่รู้สึกคุ้นเคยอยู่ด้วยในใจของไป่มู่ชิงก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมามากแล้ว
กลับมาถึงบ้านตระกูลหนานกง ไป๋มู่ชิงกังวลว่าถ้าคุณผู้หญิงเห็นหน้าของเธอ หนานกงเฉินเกือบจะเดินเข้าไปในบ้าน
ดีที่คุณผู้หญิงไม่ได้อยู่ในบ้าน ไป๋มู่ชิงเลยเดินตรงขึ้นไปชั้นบนเลย
เธอถึงในห้องได้ไม่นาน ก็มีคนมาเคาะประตูคนนั้นก็คือเสี่ยวลวี่ที่ถือยาขี้ผึ้งเข้ามา“นายหญิงน้อยนี่คือยาขี้ผึ้งที่คุณชายใหญ่ให้เอามาให้ ลมันลดอาการบวมได้ดี”
“ยาขี้ผึ้ง”ไป๋มู่ชิงส่ายหัวทันที“ไม่ ฉันไม่ต้องการ”
“แต่ว่า……”
“เธอรีบเอาออกไปถอะ”ไป๋มู่ชิงเอามือกุมแก้มที่เจ็บปวดของเธอ เธอคิดว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ถ้าคุณผู้หญิงรู้เข้าต้องโดนดุอีกแน่ๆเลย
“เดิมทีหน้านั้นไม่ได้ดูดีอะไรมาก ไหนจะยังมาเป็นแบบนี้อีก เธออยากร้องไห้ให้น่าเกลียดอีกเหรอ?ทันใดนั้นได้ยินเสียงหนานกงเฉินอยู่ตรงหน้าประตู จากนั้นเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง
หนานกงเฉินหยิบครีมขี้ผึ้งนั้นมา เดินไปตรงหน้าเธอพูดว่า“เอามือออกไป”
“ฉันไม่อยากทายาบนหน้าเพราะจะยิ่งทำให้น่าเกลียดกว่าเดิม”ไป๋มู่ชิงยังคงเอามือกุมแก้มของเธอไว้
“ยามันเป็นสีใส มันไม่ทำให้เธอน่าเกลียดหรอก”
ใช่สีใสจริงหรอ?งั้นถือว่ายังรับได้อยู่
ไป๋มู่ชิงเลยเอามือของเธอออก ค่อยๆวางมือไว้ข้างตัวเธอและยื่นหน้าที่แดงเถือกของเธอให้เขา
หนานกงเฉินไม่ลังเลที่จะไปนั่งข้างๆเธอ เปิดฝายาออกใช้สำลีป้ายยาลงบนหน้าของเธอ
ยานี้มีส่วนประกอบของสาระแหน่ พอเอาทาบนหน้าแล้วจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น อาการเจ็บปวดค่อยๆหายไป ยิ่งกว่านั้นท่าทางของหนานกงเฉินอ่อยโยนกว่าที่คิดไว้ ไป๋มู่ชิงเกือบจะเคลิ้มไปกับความรู้สึกที่สบายนี้
ถ้ารู้ว่าผลมันดีขนาดนี้เธอคงใช้ไปตั้งนานแล้ว
“เสร็จแล้ว”หนานกงเฉินยื่นขวดยาให้เสี่ยวลวี่ พอเสี่ยวลวี่รับยาเธอก็เดินออกทันทีไป
ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นมาบอกกับเขาว่า“ขอบคุณนะ”
หนานกงเฉินไม่ตอบเธอได้หยิบกระดาษทิชชู่ไปซับยาบนหน้าของเธอ
“ใช่แล้ว ทำไมวันนี้เลิกงานเร็วล่ะ?”ไป๋มู่ชิงถาม ตอนนี้พึ่งจะห้าโมง ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยแต่เขากลับถึงบ้านแล้ว ท่าทีไม่เหมือนไปเขาทำงานเลย
“วันนี้…….”หนานกงเฉินหยุดไปชั่วครู่ว่า “มีงานน้อยน่ะ”
“โอ้”ไป๋มู่ชิงได้พยักหน้า เห็นเขากำลังจะออกไปเลยถามว่า“งั้นวันนี้คุณจะอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านไหม?”
เธอหวังว่าเขาจะอยู่กินข้าวที่บ้าน แต่เขากลับพูดว่า“ไม่ล่ะ มีนัดกันกับลูกค้า”
ลูกค้ายังต้องการให้เขาไปหาด้วยตนเองเหรอ?ไม่ใช่ว่านัดผู้หญิงไว้หรอกนะ?ไป๋มู่ชิงได้เพียงแต่คิดในใจแต่กลับไม่ได้ถามออกไป
ไม่นาน ข้างนอกหน้าต่างก็มีเสียงรถกำลังเล่นออกไป
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ถึงแม้ว่าหน้าของไป๋มู่ชิงจะหายเจ็บและไม่แดงแล้ว แต่ว่าคุณผู้หญิงเห็นแล้วว่าเธอเป็นอะไรและถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่า“ยิ่งอัน หน้าของเธอไปโดนอะไรมา?”
ไป๋มู่ชิงใช้มือจับหน้าตัวเองที่ไม่ค่อยเจ็บแล้วพูดว่า“ไม่มีอะไรค่ะ แค่มีอาการแพ้เฉยๆ”
“แพ้อะไร?ทายาแล้วหรือยัง?”
“สงสัยจะเป็นเพราะอากาศเย็นขึ้น ทายาแล้วด้วย”เธอก้มหน้าเพราะความรู้สึกผิด
ถึงแม้คุณผู้หญิงจะดีกับเธอ แต่ว่าเธอในตอนนั้นเธอยังรู้สึกว่าทุกข์ทรมานใจอยู่เลย เพราะต้องไม่เก็บเด็กคนนี้ไว้แน่ๆ
เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าคุณผู้หญิงรู้ว่าถ้าไม่มีเด็กคนนี้แล้ว จะมีท่าทีอย่างไร เธอคงจะโกรธไป๋ยิ่งอันจนอยากจะฆ่าเธอไหม?
“เป็นอะไรไปล่ะ?ไม่อยากกินเหรอ?”คุณผู้หญิงได้กวาดตาไปที่เธอ
“ไม่ ไม่ใช่ค่ะ”ไป๋มู่ชิงสะบัดหัว หลังจากนั้นเธอก้มหัวไปกินข้าวในชามของตัวเอง
เรื่องหลังจากนี้เอาไว้ค่อยว่ากันเถอะ ต้องค่อยๆเป็นค่อยไป
ในที่สุดจ้าวเฟยหยางกับหยวนกุยจะมั่นกันแล้ว ไป๋มู่ชิงเคยรับปากไว้ว่าจะวาดรูปงานแต่งงานให้พวกเขา
หยวนกุยที่พึ่งจะได้รับรูปแต่งงานก็รีบส่งรูปให้เธอทันที ว่ากันว่าจะใช้รูปนั้นที่เธอวาดในพีธีแต่งงาน
ครั้งนี้ไป๋มู่ชิงตั้งใจวาดมาก ตั้งใจวาดจนทำให้ลืมเรื่องราวต่างๆได้เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
พอหนานกงเฉินกลับมาถึงบ้าน ได้เห็นเธอกำลังตั้งใจวาดภาพมากอยู่ตรงที่ระเบียง แต่ว่าที่ชั้นวางของรูปงานแต่งงานเสร็จไปหนึ่งในสามแล้ว
มองไปที่ภาพน้ำมันที่กอดกันอย่างกลมเกลียว ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความรัก หนานกงเฉินมองไปและพูดแหย่ว่า“ปกติเธอทำอะไรแบบนี้บ่อยเหรอ?
“หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“วาดรูปผู้ชายคนอื่น”
ไปมู่ชิงหมดคำพูด มองเขาพูดว่า“เรื่องที่สวยงามขนาดนี้ ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้กันล่ะ?
“แล้วไม่ใช่เหรอ?ไม่วาดสามีตัวเองแต่กลับไปวาดคนอื่น”
“ถ้าเธอมีรูปงานแต่งงาน ฉันก็สามารถช่วยเธอวาดได้”ไป๋มู่ชิงจ้องถามเขาว่า“ใช่แล้ว เธอคุณถ่ายรูปงานแต่งงานไหม?”
เธอรู้ว่าเขามีภรรยามาไม่น้อยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าได้ถ่ายรูปกับภรรยาคนไหนมาก่อนไหม?
หนานกงเฉินยิ้มอย่างจองหอง“เรื่องไรสาระแบบนี้ เธอคิดว่าฉันจะทำไหม?”
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดแล้ว เรื่องที่มีความสุขขนาดนี้ยังถูกเขาพูดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ!แน่นอนว่าในสาตาเขามีเพียงแค่งานและเงิน ไม่เข้าใจเรื่องความรักเลย
“พูดว่าไร้สารได้ยังไงกันนะ?นี่เป็นสัญลักษณ์ของความสุข คุณดูวัยรุ่นสมัยนี้ใครกันที่แต่งงานแล้วไม่ถ่ายรูปแต่งงานกัน?ช่างมันเถอะ เรามีความเห็นต่างกัน”เธอส่ายบัดหัวเพราะขี้เกียจจะต้องคุยกับเขาแล้ว
หนานกงเฉินไม่ได้รู้สึกอยากคุยเรื่องนี้อยู่แล้ว และยังพูดว่า“ฉันว่าถ้าเธอมีเวลานะ ไปเรียนเต้นรำกับวิธีการเข้าสังคมไม่ดีกว่าอีกเหรอ ยังไงฐานะทางสังคมตอนนี้ถ้าเต้นรำในงานเลี้ยงไม่เป็น ถือว่ามันเป็นเรื่องน่าอายอยู่นะ”
หนานกงเฉินพูดจบก็ยังพูดอีกว่า“ฉันต้องไปงานเลี้ยงของสัปดาห์นี้ เธอหยุดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ไว้ก่อน ไปเรียนเต้นรำก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เธอเป็นนายหญิงน้องของตระกูลหนานกงเต้นรำไม่เป็นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าอายอยู่นะ เพียงแต่ว่า……ไป๋มู่ชิงได้เอามือไปลูบที่ตรงท้องของเธอ ฉันว่าเวลานี้ไม่น่าจะเหมาที่จะเรียนเต้นรำนะ?
“คือว่า……”เธอคิดแล้วคิดอีกและพูดว่า“ฉันไม่มีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ ยังไงก็ช่างมันเถอะ”
“งั้นเธอหมายความว่าถ้าถึงเวลานั้นแล้วให้ผู้หญิงคนอื่นไปกับฉันเหรอ?เธอน่าจะรู้ไว้นะ งานเลี้ยงหลีกเลี่ยงไม่ได้นะที่จะต้องดื่มเหล้า ถ้าดื่มแล้วไม่ระวังจนไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นล่ะ”
“ไม่ได้นะ……”
“งั้นเธอก็ต้องไปเรียนแล้วล่ะ”
“แต่ว่า……”
“โอเค งั้นเรื่องนี้เธอคิดเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไร เพราะยังไงฉันพาใครไปก็เหมือนกันหมด”หนานกงเฉินยังพูดอีกว่า“งั้นตอนนี้ก็รีบไปล้างมือแล้วเปลี่ยนชุด”
หนานกงเฉินได้แต่ยักไหล่พูดว่า“คุณย่าให้ตั๋วหนังพิเศษมาสองใบ จริงๆแล้วฉันไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ”
เดิมทีคุณย่าออกความเห็นให้พวกเราไปผ่อนคลายด้วยกันเพื่อเด็กคนนี้ ยังไงคุณย่าคงต้องอยากให้ไปอยู่แล้วแหละ ไป๋มู่ชิงคิดแล้วคิดอีก จนเธอวางพู่กันวาดภาพลงและไปเปลี่ยนชุด
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินไม่ชอบเรื่องนี้จริงหรือเปล่า แต่ถ้าพูดความจริงนั้นเธอยังชอบมัน อย่างไรก็ตามมีโอกาสไม่กี่ครั้งที่จะได้ออกไปกับหนานกงเฉิน
ตอนที่ทั้งสองคนถึงโรงหนังแล้วนั้น ยังมีเวลาก่อนหนังเริ่มยี่สิบนาที หนานกงเฉินดูตั๋วหนังในมือเมื่อเขาได้ไปเห็นโปสเตอร์ก็เลิกคิ้วขึ้นมา
ไป๋มู่ชิงเข้าใจทันทีว่าเขากำลังเมินเฉยอะไร ตั๋วที่คุณผู้หญิงซื้อเป็นหนังรัก ยิ่งกว่านั้นยังเป็นหนังที่เรียกน้ำตาอีกด้วย
ตามความชอบของหนานกงเฉินเดาได้ว่าเป็นเรื่องหนังที่เขารู้สึกว่ายากที่จะยอมรับ
“จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ดังมาก เป็นความรักเกี่ยวกับหญิงสาวที่ธรรมาดากับคุณชายที่ร่ำรวย เป็นหนังที่ดีอีกหนึ่งเรื่อง”ยังไงก็มาแล้ว ไป๋มู่ชิงก็พยายามอย่างหนักเพื่อให้เขาสนใจหนังเรื่องนี้
ใครจะไปรู้ว่าหนานกงเฉินจะพูดออกมมาด้วยน้ำเสียงที่เหยียดหยามว่า“มิน่าล่ะในหัวของเด็กสาวถึงเต็มไปด้วยความอยากจะมีแฟนเป็นคนรวย ที่แท้ก็เพราะว่าดูหนังพวกนี้มากเกินไป”
“ฉันว่าคุณนี่เหมือนว่าจะดูถูกผู้หญิงไปทั่วเลยนะ”ไป๋มู่ชิงพูด
งั้นเธอว่าใครพูดถูกกันล่ะ ผู้ชายที่ถูกทำร้ายความรู้สึกส่วนใหญ่มักจะเพี้ยน!
หนานกงเฉินเลิกมองโปสเตอร์นั้นแล้วพูดกับเธอว่า“ไปกันเถอะ หนังจะฉายแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเอื้อมมือไปจับแขนเขาพูดว่า“เดี๋ยวก่อน”
“ทำไมเหรอ?”
“ฉันอยากกินอันนี้”ไป๋มู่ชิงชี้ไปที่ป๊อปคอร์น
หนานกงเฉินแทบจะชินแล้วที่เธอเป็นแบบนี้ ถ้าเธออยากกินก็ไปซื้อเอง พูดยังไม่ทันขาดคำเธอเดินไปตรงที่หน้าเคาน์เตอร์ขายป๊อปคอร์นแล้ว
ซื้อป๊อปคอร์นมาหนึ่งกล่องกับชานมหนึ่งแก้ว พนักงานถามเขาว่าจะเอาชานมร้อนหรือเย็น ไป๋มู่ชิงตอบไปว่า“ฉันจะเอาแบบร้อน”
“ทำไมถึงไม่เอาแบบเย็นล่ะ?”หนานกงเฉินถามเธอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset