หวู่ฉีแสยะยิ้มขึ้นมาทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ ถึงแม้เขาจะทราบดีว่าหลงเฉินนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในสายตาของเขาก็ไม่เคยมีหลงเฉินอยู่แล้ว หากไม่ถูกจำกัดด้วยกฎของหมู่ตึก เขาก็คงจะสังหารหลงเฉินไปตั้งแต่แรกแล้ว
“หลงเฉิน เจ้าควรคิดไตร่ตรองให้ดี หากอีกฝ่ายรับคำท้าขึ้นมาก็จะต้องมีคนใดคนหนึ่งตายเท่านั้นจึงจะถือว่าสิ้นสุดการประลอง เช่นนั้นในตอนนี้ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าร้องเรียนเรื่องราวที่คับข้องใจของเจ้าก่อน” หลิงหวินจื่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ก่อนที่อีกฝ่ายจะตกลงเข้าร่วมการประลองเป็นตาย ท่านเจ้าสำนักมีหน้าที่ที่จะต้องไกล่เกลี่ยความขัดแย้งให้ถึงที่สุดก่อน หากตกลงกันไม่ได้ก็จะเปิดศึกการประลองในทันที
ส่วนอีกด้านหนึ่งของหลิงหวินจื่อก็เป็นกังวลว่าถึงแม้หลงเฉินจะเป็นถึงอี้ซู่แห่งฟ้าดิน ทว่าบุคคลเช่นนี้ย่อมมีแต่จะต้องตายไปตามการลิขิตของฟ้า ฉะนั้นเขาจึงเกรงว่าหลงเฉินจะต้องจบชีวิตลงในศึกการประลองครั้งนี้
เพราะไม่ว่าอย่างไรอี้ซู่แห่งฟ้าดินก็ถือเป็นการคงอยู่ที่ยากจะพบเจอในรอบหมื่นปีเห็นจะได้ และต่อให้ปรากฏตัวขึ้นมาก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกว่าคนผู้นั้นจะได้รับทัณฑ์จากสวรรค์จึงจะทราบว่าตัวเองคืออี้ซู่แห่งฟ้าดิน
“เรียนท่านเจ้าสำนัก เรื่องมีอยู่ว่า……” ถังหว่านเอ๋อรีบกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลงเฉินโบกมือขึ้นมาแล้วกล่าวตัดบทว่า “ท่านเจ้าสำนัก ภายใต้โลกหล้าแห่งนี้มีเพียงพลังฝีมือเท่านั้นที่จะตอบได้ว่าสิ่งใดยุติธรรมหรืออยุติธรรม เพราะความอยุติธรรมเป็นข้ออ้างของพวกอ่อนแอ ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ไม่มีความยุติธรรม เช่นนั้นก็มีแต่ต้องใช้พลังเป็นตัวตัดสิน ขอให้ท่านเจ้าสำนักได้โปรดกรุณาด้วย”
“หลงเฉิน!” ถังหว่านเอ๋อตวาดเสียงดัง ดวงตาคู่งามจ้องมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของหลงเฉิน เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าพวกเราเป็นฝ่ายถูก แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมอธิบายออกไปกัน? เหตุใดจะต้องขอประลองเป็นตายด้วย?
ศิษย์พี่หวู่ฉีก็เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางขั้นสูงสุด ต่อให้หลงเฉินแกร่งกล้ามากเพียงใดก็ไม่อาจต่อสู้กับเขาได้ มีแต่หนทางสู่ความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่ ภายในจิตใจของถังหว่านเอ๋อจึงบังเกิดความขมขืนขึ้นมาอย่างท่วมท้น ในบางเวลาหลงเฉินก็เรียกได้ว่าฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในยามที่โง่เขลาก็แทบจะฉุดรั้งขึ้นมาไม่ได้เลย
“คุณหนูหว่านเอ๋อ อย่าได้ห้ามศิษย์พี่หลงเลย ข้าเข้าใจความรู้สึกของเขาดี เขากำลังจะล้างแค้นด้วยตัวเอง เขาไม่ต้องการให้หมู่ตึกเข้ามาจัดการกับหวู่ฉีอีกต่อไปแล้ว” กัวเหรินกระซิบขึ้นมา
หลังจากที่ได้ติดตามแผ่นหลังของหลงเฉินมาเป็นเวลาหนึ่ง กัวเหรินจึงเข้าใจอุปนิสัยใจคอของหลงเฉินเป็นอย่างดี หลงเฉินเป็นคนที่มีเหตุผลเพียงพอและไม่มีโทสะขึ้นมาโดยง่าย หากเมื่อใดที่มีโทสะบังเกิดขึ้นมา แน่นอนว่าเวลานั้นคงจะเป็นเรื่องที่ยากจะทานรับเอาไว้ได้จนต้องรีบสะสางให้จบสิ้นไปโดยเร็ว
ส่วนหวู่ฉีก็คงจะมีข้อแก้ตัวว่าไม่ทราบว่าเสี่ยวเสว่ยเป็นสัตว์พาหนะของหลงเฉิน เพราะว่ามันยังไม่ถูกผนึกจิตวิญญาณของผู้เป็นนายลงไป แน่นอนว่าท่านเจ้าสำนักคงไม่อาจตัดสินได้ว่าเสี่ยวเสว่ยคือสัตว์มายาของหลงเฉิน
และหวู่ฉีก็คงจะยืนกรานขึ้นมาว่าเขาไปพบกับเสี่ยวเสว่ยโดยบังเอิญจึงหวังที่จะเอามาเป็นสัตว์พาหนะของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าสำนักก็คงไม่อาจจับกุมและลงโทษหวู่ฉีได้
หลงเฉินจึงมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเหตุใดหวู่ฉีถึงไร้ซึ่งความเกรงกลัวเช่นนี้? หากปล่อยให้ทางหมู่ตึกตัดสินโทษ หวู่ฉีก็จะลอยนวลและคงไม่ยอมรามือไปอย่างง่ายดายแน่นอน ฉะนั้นหลงเฉินจึงคร้านที่จะอธิบายออกมาและยังคงยืนกรานที่จะประลองเป็นตาย
ถู่ฟางถอดสีหน้าเล็กน้อย ภายในสายตาของเขาก็พอจะมองออกว่าหลงเฉินและหวู่ฉีคงจะไม่อาจอยู่ร่วมกันภายในหมู่ตึกได้อีกต่อไปแล้ว ส่วนหลงเฉินผู้นี้ก็ช่างดื้อรั้นเสียจริง เหตุใดถึงไม่ยอมเข้าใจหลักการถอยออกไปหนึ่งก้าวกันนะ!
“เจ้าคิดให้ดีนะ เมื่อข้าตัดสินให้มีการประลองเกิดขึ้นก็จะไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้แล้ว” หลิงหวินจื่อกล่าวเตือนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เตือนสติ ศิษย์ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เป็นอย่างดีแล้ว” หลงเฉินโค้งคารวะต่อหน้าหลิงหวินจื่อ
เขาทนไม่ได้ที่มาเห็นเสี่ยวเสว่ยบาดเจ็บและปวดร้าวได้ถึงเพียงนั้น แค่นึกภาพก็แทบจะทำให้จิตใจของเขาแตกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว หากไม่จัดการหวู่ฉีให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ชั่วชีวิตนี้ก็คงจะต้องถูกเหยียดหยามไปตลอดอย่างแน่นอน
ต่อให้หวู่ฉีจะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางแล้วก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะสู้ไม่ได้ ทว่าก็คงต้องลองดูสักตั้งหนึ่ง คิดให้มากความก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา เพราะผู้ใดที่ทำร้ายคนสำคัญของเขา คนผู้นั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นร้อยเท่าพันทวีจึงจะสาสม
“หวู่ฉี เจ้าว่าอย่างไร จะตอบรับหรือไม่” หลิงหวินจื่อปรายตามองไปทางหวู่ฉีแล้วเอ่ยถามออกไป
เมื่อได้สบสายตากับท่านเจ้าสำนัก หวู่ฉีก็รู้สึกได้ว่าถูกล่วงรู้ความคิดของตัวเองทั้งหมด ราวกับว่าประกายในดวงตาของหลิงหวินจื่อสามารถมองเห็นทุกอย่างที่เขาคิดจนทำให้ต้องหลั่งเหงื่อออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ศิษย์……ขอรับคำท้า” หวู่ฉีรีบก้มหน้าแล้วตอบกลับไป เขาไม่กล้าพอที่จะสบตากับหลิงหวินจื่อต่อ และหากเขาไม่ตอบรับคำท้าก็จะต้องถูกขับออกไปจากหมู่ตึก นี่จึงเป็นความโหดร้ายที่แท้จริงของการประลองเป็นตาย
หลังจากที่หวู่ฉีรับคำท้าแล้ว ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เงียบสงัดลงประดุจป่าช้า ภายในจิตใจของผู้คนมากมายเริ่มเกิดความวิตกกังวลขึ้นมา เหล่าผู้คนของพรรคฟ้าดินต่างก็ท้วงขึ้นมาภายในจิตใจว่าการต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าไม่ยุติธรรมกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ไม่อาจทำอันใดได้เพราะเป็นการตัดสินใจของหลงเฉินเอง
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ตามข้ามา”
หลิงหวินจื่อถอนหายใจแล้วโบกมือขึ้น ทันใดนั้นทุกผู้คนต่างก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง พลันที่เบื้องหน้าสายตาก็ปรากฏเป็นพื้นที่โล่งแจ้งที่อยู่หลังเขาของหมู่ตึก
พื้นที่แห่งนี้มีอาณาเขตกว้างขวางราวร้อยลี้เห็นจะได้ แวดล้อมด้วยป้ารกร้างที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบจนน่าหวาดกลัว ใจกลางพื้นที่ว่างเปล่ามีแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ปูเอาไว้ ทุกมุมทั้งสี่มีศิลาขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่าร้อยเซียะตั้งตระหง่านอยู่
“ที่นี่คือเวทีประลองตัดสินความตาย” ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็คงจะไม่มีหนทางใดให้ถอยกลับไปได้อีกแล้ว
จากนั้นเขาก็ล้วงนำเอาศิลาปราณชิ้นหนึ่งออกมาแตะบนขอบเวทีประลองตัดสินความตายเบาๆ ทันทีที่ศิลาปราณแตะลงบนเวที อักขระสายหนึ่งก็ทอประกายแสงสว่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน พื้นที่ว่างเปล่าเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนไปมาจนผู้คนที่อยู่โดยรอบเกิดอาการแตกตื่นจนร่นถอยหลังไปหลายก้าว
ดวงตาทุกคู่จดจ้องไปยังแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่กำลังลอยตัวสูงขึ้นไปพร้อมกับศิลาก้อนใหญ่ทั้งสี่มุม หลังจากที่ศิลาเลื่อนสูงขึ้นไปราวสิบเซียะก็ได้เผยให้เห็นเวทีประลองที่กว้างร้อยเซียะอยู่ด้านล่าง
เมื่อจ้องมองไปที่ใจกลางของเวทีประลองตัดสินความตาย แววตาของผู้คนทั้งหลายก็ทอประกายเจิดจ้ามองไปยังความแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นมา สิ่งนั้นคล้ายกับเป็นภาพวาดผืนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“บุคคลทั้งสองคนนี้….”
เสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมาย พวกเขามองออกว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่คล้ายกับภาพวาดนั้นคือร่างของคนที่ถูกบดจนเป็นเนื้อแผ่นนั่นเอง
ทันใดนั้นเหล่าผู้คนทั้งหมดก็ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเวทีประลองตัดสินความตายจะมีคนตายอยู่ด้วย ทว่าเมื่อกวาดสายตามองไปที่ศิลาก้อนใหญ่ทั้งสี่มุมก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าพวกเขาเหล่านั้นตายไปได้อย่างไร
“ซูม”
ทันใดนั้นก็มีสายลมหอบหนึ่งจากภูผาลุกใหญ่ด้านข้างพัดเข้ามาจนหนังที่แบนราบติดกับเวทีปลิวลับหายไป ด้านบนเวทีจึงเข้าสู่ความปกติเสมือนเวทีทั่วไปในทันที ผู้คนมากมายเกิดอาการขนลุกชูชันขึ้นมาเป็นสาย ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงถูกเรียกว่าเวทีประลองตัดสินความตาย
“เวทีประลองตัดสินความตายจะเปิดให้ต่อสู้กันเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากภายในหนึ่งชั่วยามไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ก็จะถูกทับจนชีวาวาย ด้วยน้ำหนักของเหล็กแผ่นนั้น ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสก็ไม่อาจใช้พลังอันใดหยุดยั้งมันได้ ฉะนั้นพวกเจ้าคงคำนวณเวลาเอาไว้ให้ดี” ถู่ฟางกล่าว
ครืน!
เสียงประตูศิลาเปิดออกจากทางด้านข้าง หลงเฉินจึงหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้ถังหว่านเอ๋อและพวกพ้อง จากนั้นก็ส่งสัญญาณมือเป็นความนับว่าไม่ต้องเป็นห่วง วางใจได้เลย แล้วก็ก้าวเข้าไปในเขตของเวทีประลองตัดสินความตายด้วยท่าทีสงบอย่างถึงที่สุด
“เสี่ยวหมานจื่อ (หมานน้อย) พี่น้องของเจ้าดูไม่เลวเลยทีเดียว น่าสนใจดีเหมือนกัน เหมาะกับนิสัยของข้าเป็นยิ่งนัก” ชายชรามองไปที่หลงเฉินด้วยแววตาเป็นประกายเจิดจ้า ภายในจิตใจรู้สึกชื่นชมอย่างถึงที่สุด
“ในเมื่อเขายอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น เจ้ายังจะต้องเป็นห่วงเขาอีกอย่างนั้นหรือ?” ชายชราเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่ พี่หลงของข้าแข็งแกร่งอย่างไร้ผู้ต้าน ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน” อาหมานรีบส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด
ภายในจิตใจของผู้คนทั้งหมดที่ยืนดูอยู่ คงจะมีเพียงอาหมานคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เป็นห่วงหลงเฉินเลย เพราะเขานั้นติดตามหลงเฉินมานาน ภายในจิตสำนึกของเขาจึงมองเห็นหลงเฉินเป็นเสมือนเทพสงครามผู้ไร้พ่าย
ต่อให้หลงเฉินกับหลิงหวินจื่อต่อสู้กัน เขาก็ยังคิดว่าหลงเฉินจะเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย นี่จึงเป็นความมั่นคงทางจิตใจเดียวของอาหมานเลยก็ว่าได้
ชายชราจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างอดสูเพราะว่าเขานั้นมองถึงพลังการฝึกยุทธ์ของหลงเฉินออกตั้งแต่แรก อย่างมากสุดก็แค่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุด ที่พอจะมีดีก็คือกายเนื้อที่มีพลังโลหิตเดือดพล่านและเปี่ยมไปด้วยพลังการต่อสู้
ทว่ากายเนื้อของหลงเฉินก็ยังเทียบไม่ได้กับเนื้อเยื่อของอาหมาน ส่วนอาวุธกระดูกที่ถืออยู่ในมือนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด ทว่ากลับไม่ใช่ศาสตราวุธที่แท้จริงจึงมีพลังทำลายที่จำกัด
ฉะนั้นภายในสายตาของเขาจึงมองว่าหลงเฉินไม่อาจเอาชนะหวู่ฉีได้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่าหากหลงเฉินสามารถยื้อชีวิตจนศิลาร่วงหล่นลงไปได้ก็ถือว่าได้รับชัยชนะแล้ว
“หากเขาสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ ข้าจะตีศาตราวุธที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายมหาศาลให้เขาด้วยตัวเอง” ชายชราพึมพำขึ้นมา
“ตาแก่ ท่านกลับไปก่อนเถิด” อาหมานกล่าว
“หือ เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
“พี่หลงของข้าจะต้องชนะอย่างแน่นอน ฉะนั้นท่านก็รีบไปตีมาก่อนได้เลยในช่วงที่พี่หลงกำลังต่อสู้ อย่าได้ชักช้าไปเลย” อาหมานกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ชายชราผู้นั้นทราบนิสัยของอาหมานเป็นอย่างดีว่าเขาคงจะเทิดทูนหลงเฉินเป็นอย่างมาก จึงไม่ได้กล่าวอันใดตอบกลับไปอีก พลันก็เบนสายตาไปสนใจที่เวทีประลองตัดสินความตาย ซึ่งในขณะนี้หวู่ฉีก็ได้ก้าวเข้าไปแล้วเช่นกัน
“กร่อบ”
เมื่อหวู่ฉีก้าวเข้าสู่เวทีประลองตัดสินความตาย ประตูศิลาก็ทอดตัวปิดลงในทันที อีกทั้งยังทอประกายแสงเจิดจ้าไปตามรอยแล้วค่อยๆ ยุบลงตัวไป
การประลองเป็นตายได้เริ่มขึ้นแล้ว