ผู้คุมกฎผู้หนึ่งถูกซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางพร้อมกับผู้คนอีกหลายสิบคนกุมรุมเข้าไปอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ผู้คุมกฎคนนั้นระเบิดโทสะขึ้นมา โซ่ตรวนที่อยู่ในมือสะบัดไปกลางอากาศ พลังทั้งหมดของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงจนผู้คนทั้งหมดต้องรีบร่นถอยหลังออกไป
เนื่องจากพลังฝีมือของพวกเขาต่างชั้นกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องจะเป็นถึงศิษย์สายตรง ทว่าพวกเขาก็ได้แค่ต้านทานโซ่ตรวนเส้นนั้นเอาไว้เท่านั้น ไม่อาจออกกระบวนท่าใดที่ทำให้ผู้คุมกฎคนนั้นบาดเจ็บได้เลย
วงต่อสู้ของพวกเขานั้นแตกต่างจากฝั่งของอาหมานและหวู่ฉีเป็นอย่างมาก ฝ่ายนั้นยิ่งสู้ก็ยิ่งคึกคัก ไม่มีทีท่าว่าอาหมานจะพ่ายแพ้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนทางด้านถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวนั้นก็กำลังรับมือกับผู้คุมกฎอีกคนหนึ่งในบริเวณที่ห่างไกลออกไป ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบอยู่บ้าง ทว่าก็คงไม่มีปัญหาใหญ่อันใด
ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องจึงได้แต่กัดฟันสู้ต่อไปไม่หยุด ในเมื่อผู้คนภายในขุมกำลังยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาก็สมควรที่จะยื้อต่อไปให้ได้นานที่สุด ทันทีที่คนที่ถูกโจมตีลอยกระเด็นออกไปก็จะมีคนพุ่งขึ้นมาแทนที่เสมอ หากไม่ได้รับบาดเจ็บจนลุกไม่ไหว พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้เลยแม้แต่คนเดียว
“เจ้าพวกโง่เขลา คิดจะหาที่ตายอย่างนั้นหรือ”
ผู้คุมกฎที่กำลังถูกปิดล้อมตะโกนขึ้นมาอย่างเดือดดาล ถึงแม้ว่าจะกล่าวออกไปว่าหากสังหารผู้คนลงไปก็จะไม่ได้รับโทษ ทว่าภายในจิตใจของเขากลับไม่มีความหาญกล้าพอที่จะสังหารผู้คนจริงๆ เฉกเช่นที่ข่มขู่ออกไป
อีกส่วนหนึ่งก็ทราบดีอยู่แก่ใจว่าพวกเขากระทำการได้ไม่หมดจดจึงได้ถูกตามรอยมาถึงที่ ในขณะนี้จึงมีแต่จะต้องรับมือผู้คนเหล่านี้เท่านั้น หากสังหารผู้ใดไปก็ยากที่จะพ้นโทษด้วยเช่นกัน
ทว่าการที่ตกอยู่ในวงล้อมคล้ายกับเป็นสุนัขจนตรอกตัวหนึ่งเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจึงได้ลงมือให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทีละคน
โซ่ตรวนสายนั้นลอยระบำอยู่กลางอากาศประดุจมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น พลังที่มีอยู่ภายในร่างกายถูกไหลเวียนขึ้นมาทั้งหมด พลันก็กวาดโซ่สายนั้นซัดผู้คนนับสิบลอยกระเด็นออกไปในทันที
“ไสหัวไปให้พ้น” ผู้คุมกฎผู้นั้นแผดเสียงร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
ทว่าในขณะที่เสียงตะโกนเพิ่งจะหยุดลงไป จู่จู่บรรยากาศโดยรอบก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง รังสีสังหารอันน่าหวาดกลัวพุ่งเข้ามาผนึกร่างกายของเขาเอาไว้ประดุจถูกแช่อยู่ในธารน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
อาวุธกระดูกขนาดใหญ่หอบลมพายุเข้ามาประดุจดาบมรณะที่หมายจะชิงวิญญาณของมนุษย์ฟาดขวางเบื้องหน้าของเขาอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็กวัดแกว่งไปหลายกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง
ผู้คุมกฎผู้นั้นสัมผัสได้ถึงสภาวะอันน่าหวาดกลัวที่ผนึกอยู่บนอาวุธกระดูก หากถูกอาวุธชิ้นนี้ฟาดลงมาที่ศีรษะของตัวเอง แน่นอนว่าสมองคงจะแหลกละเอียดไปในทันทีแน่นอน
“นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ” ผู้คุมกฎร่ำร้องขึ้นมาด้วยความแตกตื่นอย่างถึงที่สุด ภายในจิตใจก็สัมผัสได้ว่าคนผู้นี้ต้องการที่จะเอาชีวิตของเขาด้วยการรวบรัดให้จบในกระบวนท่าเดียว
โซ่ตรวนเส้นนั้นฟาดไปที่อาวุธกระดูกอย่างรุนแรง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาแตกตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อคนผู้นั้นสามารถรับกระบวนท่าของเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นอาวุธกระดูกก็ถูกชักออกไปแล้วพุ่งเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขาอย่างรวดเร็ว
กว่าเขาจะมีปฏิกิริยากลับคืนมาก็ได้อาวุธกระดูกกระแทกเข้าไปกลางหว่างคิ้วไปแล้ว ความรุนแรงสะเทือนไปทั่วทั้งร่างกายจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“ชิ”
ถึงแม้ว่าส่วนนี้จะไม่ใช่จุดตาย ทว่าก็ทำให้มีโลหิตไหลออกมาไม่น้อยเลยทีเดียว หากเมื่อครู่นี้เขาไม่ได่เบี่ยงศีรษะหลบออกไปเล็กน้อย อาวุธกระดูกนั้นคงจะทุบเข้าไปเต็มศีรษะของเขาจนตายคาที่ไปเลยก็ว่าได้
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องต่างก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าฝ่ายของเขามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
“หลงเฉิน!”
ทันทีที่ฝุ่นละอองเริ่มเจือจางลงไป เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏเงาร่างอันคุ้นตาที่กำลังหันอาวุธกระดูกชี้ไปยังผู้คุมกฎ ใบหน้าของหลงเฉินเย็นเยียบอย่างถึงที่สุด แววตาทั้งสองไม่หลงเหลือรังสีสังหาร มีเพียงความสงบนิ่งราวกับเป็นคนตายอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าความสงบเช่นนั้นกลับยิ่งทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้คุมกฎที่ถูกหลงเฉินจ้องมองอยู่ยังรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
“ซูม”
หลงเฉินขยับอาวุธกระดูกพุ่งไปยังเบื้องหน้าแล้วฟันเข้าไปที่ลำคอของผู้คุมกฎอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหลงเฉินลงมือด้วยตัวเอง ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องทั้งหมดจึงหยุดมือลงไปในทันที พวกเขารู้ตัวเองว่าถึงแม้จะเข้าไปก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ ในทางกลับกันอาจจะเข้าไปเป็นตัวถ่วงของหลงเฉินเสียมากกว่า
ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยจิตใจที่เต้นระรัวอยู่ภายในอก พลังการต่อสู้ของหลงเฉินกำลังปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังน่าหวาดกลัวจนทำให้ผู้คนโดยรอบมีโลหิตสูบฉีดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
ผู้คุมกฎผู้นั้นมองไปที่หลงเฉินด้วยดวงตาเบิกกว้าง ภายในจิตใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจนอยากที่จะหันกายหลบหนีไปจากตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ที่เข้ามาอยู่ในหมู่ตึกก่อนและฝึกยุทธ์มานานกว่า ทว่าหลังจากที่ได้เห็นหลงเฉินต่อสู้มาหลายครั้ง ในขณะนี้จึงทราบได้ทันทีว่าตัวเองไม่มีโอกาสที่จะรอดพ้นจากความตายได้เลย
และที่สำคัญก็คือหลงเฉินได้รอดพ้นจากความตายมาได้ทุกครั้ง ฉะนั้นความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณจึงสูงส่งกว่าเขามากอย่างถึงที่สุด เพียงส่งจิตสังหารออกมาก็พอจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความหนาวเหน็บจนไม่อาจจะต่อสู้ต่อไปได้อีกแล้ว
“ตูม”
โซ่ตรวนของผู้คุมกฎถูกหลงเฉินกวาดออกไปจนพ้นทาง แล้วหลงเฉินก็หมุนกายหนึ่งรอบฟันอาวุธกระดูกเข้าไปที่เอวของผู้คุมกฎในทันที
ผู้คุมกฎถูกพลังอันมหาศาลของหลงเฉินกดดันจนเกิดอาการแตกตื่นอย่างถึงที่สุด พลันก็พยายามตวัดโซ่ตรวนเข้าต้านทานอาวุธกระดูกอย่างเอาเป็นเอาตาย การโจมตีของหลงเฉินนั้นกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังปิดกั้นทุกทางหนีรอดจนเขาไม่อาจป้องกันไม่ไหว
หากเป็นการต่อสู้ตามปกติของเขาก็ยังพอที่จะใช้โซ่ตรวนรับการจู่โจมเอาไว้ได้อยู่ จากนั้นก็ค่อยถอยร่นออกไปเพื่อหาโอกาสตอบโต้หรือถอยหนี ทว่าตั้งแต่ที่เห็นหลงเฉินปรากฏตัว ร่างกายของเขาก็คล้ายกับว่าไม่ใช่ของตัวเอง ลืมเลือนการต่อสู้ทั้งหมดที่เคยมีไปจนหมดสิ้น
ด้วยแววตาของหลงเฉินที่มองมาก็สามารถสังหารเขาได้แล้ว หากหลงเฉินยังหมายที่จะฟาดอาวุธกระดูกมา แน่นอนว่าร่างกายของเขาต้องขาดออกเป็นสองท่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ภายในจิตใจจึงได้กระวนกระวายจนถึงขั้นโง่งมไปเลยทีเดียว
“กร่อบ”
อาวุธกระดูกของหลงเฉินฟาดเข้าไปบนร่างกายของผู้คุมกฎจนเกิดเสียงกระดูกแตกหักเป็นสาย ผู้คุมกฎจึงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับลอยกระเด็นออกไปกลางอากาศ
ผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบต่างก็ทอสีหน้าโง่งมกันไปทั้งหมด พวกเขาทราบดีว่าพลังการต่อสู้ของผู้คุมกฎผู้นั้นเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับซัดพวกเขาจนกระเด็นออกไปหลายต่อหลายคน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลงเฉินกลับเป็นเพียงทารกที่ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว อีกทั้งยังถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ฉากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเพราะหลงเฉินมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า ทว่าเป็นเพราะว่าผู้คุมกฎผู้นั้นถูกพลังสภาวะของหลงเฉินเข้าควบคุมสติสัมปชัญญะเอาไว้อย่างหมดจด หากผู้ใดมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นภายในจิตใจ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ก็จะเข้ามากล้ำกรายในทันที
ภายในจิตใจของผู้คนจึงรู้สึกยกย่องนับถือหลงเฉินอย่างหมดใจ และเข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่าพลังสภาวะ ความเด็ดเดี่ยว และความเชื่อมั่นนั้นเป็นเช่นไร
โดยเฉพาะกู่หยาง เหร่ยเชียนซัง กวานเหวินหนาน และเหล่าศิษย์สายตรงที่มองดูจากบริเวณหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าเพราะเหตุใดหลงเฉินถึงได้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ นั่นก็เป็นเพราะหลงเฉินมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าจนไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้เลย
ต่อให้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความตายก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของหลงเฉินสั่นคลอนไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นคุณสมบัติของยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
พวกเขาต่างก็ถูกผู้อาวุโสประจำตระกูลปลูกฝังความคิดหนึ่งมาโดยตลอด ‘พรสวรรค์เป็นรากฐานของยอดฝีมือที่แท้จริง’ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์
เพราะต่อให้มีรากฐานที่ดีมากเพียงใด หากไม่มีความเชื่อมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ แม้กระทั่งความตายที่มาจ่ออยู่ตรงหน้า พรสวรรค์ที่มีก็คงไม่อาจต้านลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงได้อย่างแน่นอน ก็คล้ายกับผู้คุมกฎผู้นั้นนั่นเอง
ทว่าหลงเฉินกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงที่แม้ว่าภายนอกจะดูสามัญอย่างถึงที่สุด แม้แต่พลังก็ไม่ถึงกับแกร่งกล้ามากนัก ทว่าทุกครั้งที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย หลงเฉินก็จะคล้ายกับเป็นเหล็กกล้าบริสุทธิ์ชั้นดีอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนทั้งหมดจึงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินที่ราวกับกำลังทอประกายแสงสีทองอร่ามขึ้นมา แล้วภายในจิตใจของพวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งและหวาดเกรงต่อหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่หลงเฉินซัดผู้คุมกฎจนลอยออกไปไกลก็ได้ขยับอาวุธกระดูกติดตามไปในทันที พลันก็พลิกอาวุธกระดูกฟาดเข้าไปที่ผู้คุมกฎอีกระลอกหนึ่ง
“อะไรกัน?”
ผู้คนทั้งหมดส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าผู้คุมกฎผู้นั้นได้รับบาดเจ็บหนักจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหลบเลี่ยงได้อีกแล้ว หากเป็นเช่นนี้เกรงว่ากระบวนท่าของหลงเฉินคงหมายที่จะปลิดชีพของผู้คุมกฎอย่างแน่นอน
“หยุดมือ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันเย็นเยียบดังขึ้นมาสะท้อนเข้าไปในโสตประสาทของผู้คนมากมาย ในขณะที่หลงเฉินกำลังฟาดอาวุธกระดูกไปที่ศีรษะของผู้คุมกฎอยู่นั้นก็ได้มีลำแสงสีดำลอยตัดเข้ามาแล้วอาวุธกระดูกของหลงเฉินก็หยุดเคลื่อนที่ไปในทันที
หลงเฉินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาทั่วแขน พลังขุมหนึ่งกำลังไหลเวียนเข้ามาภายในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่งจนโลหิตแทบจะพุ่งออกมาเป็นสาย ดวงตาคู่คมกวาดมองไปทั่วจนสะดุดหยุดอยู่ที่ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดของผู้อาวุโสซุน
เมื่อผู้อาวุโสซุนได้ปรากฏตัว ผู้คนทั้งหมดต่างก็รีบหยุดมือกันไปตามๆ กัน ถังหว่านเอ๋อ เยี่ยจื่อชิว และพวกพ้องกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ผู้อาวุโสซุนที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย ความคิดที่น่าหวาดกลัวก็แล่นเข้ามาในห้วงสมองจนไม่อาจหยุดยั้งได้
ผู้อาวุโสซุนชี้นิ้วไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ได้ไม่นานก็ก่อเรื่องที่เผ็ดร้อนไม่หยุด เจ้าเป็นมารร้ายหรืออย่างไรกัน? หากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าให้เข็ดหลาบ คงจะต้องโทษว่าสวรรค์ไม่มีตาแล้ว”
ทันทีที่กล่าวจบ ผู้อาวุโสซุนก็แผ่รังสีกดดันอันแกร่งกล้าไปทั่วทุกสารทิศจนทำให้ผู้คนทั้งหมดหายใจติดขัด ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกายราวกับกำลังถูกบดขยี้กระดูกและเส้นเอ็นอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนมากมายต่างก็มีใบหน้าขาวซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัด บ้างก็มีโลหิตไหลรินออกมาที่มุมปาก ร่างกายทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างระเนระนาด
“หลงเฉิน เจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว ถึงกับระดมกำลังพลเพื่อก่อกบฏ ปิดล้อมโจมตีใส่ที่พักของผู้คุมกฎ ถือเป็นโทษที่ไม่อาจให้อภัยได้ ยังไม่คุกเข่าลงอีกหรือ?”
ผู้อาวุโสซุนตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด เพียงพริบตาเดียวก็ได้แผ่รังสีกดดันไปทั่วทุกแห่งหน รวมไปถึงบริเวณที่หลงเฉินยืนอยู่ด้วยเช่นกัน
ทว่าหลงเฉินกลับสาดรังสีสังหารอันเย็นเยียบออกมาไม่หยุด ดวงตาคู่คมจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสซุน พลันก็ค่อยๆ ฝืนสถาวะยกอาวุธกระดูกในมือขึ้นมา
“หาที่ตาย เจ้าคิดจะต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสซุนแผดเสียงดังขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม พลันก็เพิ่มพูนแรงกดดันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าทันใดนั้นก็ได้มีสายลมหอบเงาร่างสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง
“ตาแก่ กล้าทำพี่หลงของข้าอย่างนั้นหรือ ไสหัวไปซะ!”
เสียงคำรามของสัตว์ป่าดังกึกก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เขี้ยวหมาป่าขนาดมหึมาหอบสายลมกรรโชกแรงฟาดเข้ามาที่ศีรษะของผู้อาวุโสซุนอย่างรวดเร็ว