บนลานประลอง
มู่เฉินยืนนิ่งประหนึ่งหอกศักดิ์สิทธิ์กำจายรัศมีคมชัดออกมา การประลองมาถึงรอบที่สิบแล้ว ซึ่งการต่อสู้ของเขาเป็นการชี้ขาดที่สำคัญที่สุด
ถ้ามู่เฉินได้รับชัยชนะ มั่นถัวหลัวก็จะสามารถทำลายค่ายกลได้ มิฉะนั้นนางจะต้องสิ้นเปลืองพลังในการทำลายค่ายกลซึ่งนั่นจะทำให้นางเหนื่อยมาก ถ้าพวกเขาต้องเจอกับประมุขสำนักคนอื่นๆ ระหว่างทาง นางก็จะเสียเปรียบในการแย่งชิงของเหลวหลิงเสิน
ซึ่งจะเป็นผลกระทบใหญ่หลวงต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์
ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะต้องทำให้มั่นถัวหลัวอยู่ในสภาพพร้อมรบเพื่อลงชิงชัยคว้าของเหลวหลิงเสิน
ดังนั้นรอบการต่อสู้ของมู่เฉินจึงเป็นตัวชี้ขาด
ด้านนอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการจ้องมองร่างมู่เฉินอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าโอกาสไม่ได้มีสูงมากสำหรับมู่เฉินที่จะชนะด้วยพลังระดับจื้อจุนขั้นห้า แต่พวกเขาก็คาดหวังลึกๆ สำหรับชายหนุ่มคนนี้
ความคาดหวังมาจากปาฏิหาริย์ที่มู่เฉินสร้างขึ้นตลอดทาง
ในสมรภูมิหยุ่นลั้วเหล่าผู้บัญชาการเห็นมู่เฉินพลิกสถานการณ์สร้างปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์มานักต่อนัก ดังนั้นไม่มีใครฟันธงได้ว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ครืน!
อึดใจหลังจากที่มู่เฉินขึ้นไป ตำหนักโบราณก็สั่นคลอนอีกครั้ง ทุกคนขยับสายตาไปหยุดที่เสาหินต้นสุดท้าย
เปลือกทองคำหลุดร่วงอย่างรวดเร็ว ร่างสูงตระหง่านราวกับหอคอยทะยานลงมากระแทกตัวอย่างหนักหน่วงบนลานประลอง ผลกระทบที่น่ากลัวทำให้พื้นลานประลองสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเลยทีเดียว
รัศมีที่น่ากลัวกวาดออกไปจากร่างสูงตระหง่านนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
ทุกคนที่นอกลานประลองเพ่งสายตาไปยังร่างสูงตระหง่าน รัศมีร้ายกาจหดตัวลง ร่างนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ร่างนั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรสีดำ กล้ามเนื้อหนั่นแน่นราวกับเหล็ก พลังงานระเบิดที่ซ่อนอยู่ประหนึ่งมังกรหลับใหล มันมีหัวเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้าย แต่บนหน้าผากกลับมีเขามังกรสีดำสาดแสงเย็นเยือกออกมา
“หนึ่งในสิบมารอสูรแห่งวังสวรรค์บรรพกาล พยัคฆามังกรฟ้า” มั่นถัวหลัวจ้องมองร่างที่กดดัน ม่านตาสีทองคำก็หดลง พยัคฆามังกรฟ้ามีชื่อเสียงดุร้ายอย่างยิ่งในบรรดามารอสูรแห่งวังสวรรค์บรรพกาล ว่ากันว่ามันมีสายเลือดของมังกรฟ้าไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ในเผ่ามังกร มังกรฟ้าด้อยกว่ามังกรเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น พูดให้เข้าใจง่ายก็คือถือว่าเป็นเทพอสูรชั้นสูงเลยทีเดียว
แม้ว่าสายเลือดมังกรฟ้าที่ไหลอยู่ในร่างพยัคฆามังกรฟ้าจะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังมีพลังที่น่ากลัว ฝ่ายตรงข้ามที่มู่เฉินพบในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
ซิวหลัว จิ่วโยวและคนอื่นก็รู้สึกได้ถึงแรงกดขี่ที่มาจากพยัคฆามังกรฟ้า ใบหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดลงหลายส่วนทันที
พลังของพยัคฆามังกรฟ้าน่าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก เมื่อผนวกกับอานุภาพของมัน แม้แต่ผู้บัญชาการเสี่ยยิ่งและคนอื่นๆ ก็ด้อยกว่า มู่เฉินจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้ด้วยพลังที่มีได้จริงหรือ?
โฮก!
ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกกังวลใจในใจ พยัคฆามังกรฟ้าก็เปล่งเสียงคำรามของเสือ คลื่นเสียงกระจายออกไปทำให้เกิดระลอกคลื่นผันผวนในมิติ
ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดขณะจ้องมองพยัคฆามังกรฟ้า เขาอัดอากาศเข้าเต็มปอด ไม่กล้าที่จะประมาทคู่ต่อสู้ประเภทนี้เลย
หัวใจของมู่เฉินเต้นรัว ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็เรียบเฉยลง
คัมภีร์หวูซังซินหลัว สภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้น!
เวลาเดียวกันคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งรอบตัวเขาก็หดลง ถ้าคลื่นหลิงของมู่เฉินราวกับภูเขาไฟรุนแรงเมื่อก่อน คลื่นหลิงในตอนนี้ก็ราวกับกระแสน้ำวนในมหาสมุทร แม้ว่าจะดูสงบแต่กลับอันตรายและน่ากลัวกว่าเดิมนัก
เมื่อเลี่ยซันและคนอื่นๆ สังเกตเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงละเอียดขึ้นของคลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉิน ม่านตาก็หดเกร็งโดยไม่สามารถควบคุมได้ เพราะกระทั่งพวกเขาเองยังควบคุมคลื่นหลิงในระดับยอดเยี่ยมแบบนี้ไม่ได้เลย
“การควบคุมคลื่นหลิงยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้” ซิวหลัวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ด้วยการควบคุมยอดเยี่ยมเช่นนี้ พลังที่มู่เฉินสามารถนำออกมาใช้ก็จะไม่เหมือนกับจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน มู่เฉินมีปัจจัยที่น่าชื่นชมจริงๆ มิน่าล่ะเขาถึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ตู้ม!
ในช่วงเวลาที่มู่เฉินเร้าสภาวะฤทัยปีศาจขั้นต้นขึ้นมา พยัคฆามังกรฟ้าก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นหลิงรอบตัว มันปลดปล่อยเสียงคำรามลึกขณะกระทืบเท้าลงกับพื้น รอยแตกปรากฏขึ้นบนแผ่นหินเบื้องล่าง ก่อนที่ร่างมันจะเคลื่อนไปที่เบื้องหน้ามู่เฉิน กำปั้นเหวี่ยงออกด้วยคลื่นหลิงโหยหวนแรงกล้า คลื่นพลังก่อร่างเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน
แสงกะพริบในดวงตาสีดำมืดของมู่เฉิน เท้าเขาเคลื่อนไหว ร่างเอี้ยวตัวหลบกำปั้นไป แต่มวลลมที่ห่อบนกำปั้นก็ยังคงทิ้งบาดแผลไว้บนไหล่ของเขา
ร่างทั้งสองแลกกระบวนท่ากันราวกับสายฟ้า สองนิ้วของมู่เฉินราวกับหอก เมื่อเทคลื่นหลิงลงไปกระทั่งมิติยังเป็นรอย นิ้วเสือกแทงไปที่ลำคอของพยัคฆามังกรฟ้า
ด้วยความช่วยเหลือของสภาวะฤทัยปีศาจ การโจมตีของมู่เฉินก็รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด กลยุทธ์การโจมตีหนักแน่นนี้ ทำเอากระทั่งผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกยังต้องหดตาลง
ตึง!
ทว่าแม้พยัคฆามังกรฟ้าจะไร้สติปัญญา แต่ก็มีประสบการณ์การต่อสู้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ ประสบการณ์เหล่านั้นถูกฝังลึกอยู่ในแกนกระดูก ดังนั้นมันจึงดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็วและป้องกันลำคอเอาไว้
เคร้ง!
ดัชนีหอกของมู่เฉินฟาดเข้ากับฝ่ามือ ประกายไฟแล่นพล่านราวกับโลหะชนกัน
พยัคฆามังกรฟ้ากระตุกยิ้มชั่วร้าย ก่อนที่จะพลิกมือคว้าข้อมือของมู่เฉินดึงเข้าหา พลังงานที่น่าสะพรึงกลัวพวยพุ่ง พยายามฉีกแขนของมู่เฉินให้ได้
บึ้ม!
แต่ในเวลานั้น ลูกเตะก็เหวี่ยงออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขต เล็งไปที่หัวของพยัคฆามังกรฟ้า
การโจมตีกะทันหันนี้ขัดจังหวะกระบวนท่าของพยัคฆามังกรฟ้า บีบให้ต้องตั้งแขนกันเอาไว้ ส่วนมู่เฉินก็ใช้โอกาสเสี้ยววินาทีนี้หลุดพ้นจากการยับยั้งไว้ได้ ร่างของเขาทะยานขึ้นบนท้องฟ้า เขากำหมัดเสาปีศาจก็ปรากฏขึ้น จากนั้นคลื่นหลิงถูกเทลงไป เงามหึมาก็เหวี่ยงลงปกคลุมร่างพยัคฆามังกรฟ้า
ขณะที่เสาปีศาจครางพุ่งลงมา พยัคฆามังกรฟ้าก็แผดเสียงคำราม แสงสีดำยิงออกมาจากเขาตรงหน้าผาก แผ่ขยายพุ่งออกไปปะทะกับเสาปีศาจ
ตึง!
การปะทะกันสร้างเสียงดังสนั่น คลื่นกระแทกที่น่ากลัวกระจายออกไป ทำให้พื้นบนลานประลองแตกเป็นเสี่ยง
ร่างของมู่เฉินปลิวไปตามแรงกระแทกที่น่าสะพรึงกลัว ฝ่าเท้าลากไถลไปหลายสิบเมตรบนพื้นดิน ก่อนที่เขาจะทรงตัวได้ เยื่อหนังระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขาดออก เลือดไหลลงมา
เขามองไปยังที่ต้นตอของผลกระทบอย่างเคร่งขรึม ตรงนั้นพยัคฆามังกรฟ้ายังคงยืนตระหง่าน สายตาดุร้ายสีแดงฉานจ้องเขม็งมาที่เขา
นอกลานประลองเหล่าผู้บัญชาการไม่สามารถละสายตาจากการต่อสู้รอบนี้ได้ การปะทะกันกระบวนท่าก่อนทั้งสองฝ่ายปลดปล่อยพลังการโจมตีที่โหดเหี้ยมและมากฝีมือ แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นฝ่ายได้รับผลเสียจากการปะทะกันสั้นๆ
เพราะไม่ว่าอย่างไร ด้วยพลังทรงประสิทธิภาพของพยัคฆามังกรฟ้าที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหก ถ้านี่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าธรรมดาละก็ คนคนนั้นอาจถูกสังหารโดยพยัคฆามังกรฟ้าในกระบวนท่าแรกไปแล้ว
มีเพียงคนอย่างมู่เฉินเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาพลังที่มีเผชิญหน้ากับพยัคฆามังกรฟ้า
แต่เห็นได้ชัดว่าแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะพยัคฆามังกรฟ้าและได้รับชัยชนะครั้งสุดท้ายไป
ตู้ม!
ขณะที่ความคิดเหล่านั้นไหลวนอยู่ในใจของทุกคน เสาปีศาจราชันพระสุเมรุก็พุ่งออกจากมือของมู่เฉินขยายตามสายลมพุ่งเข้าใส่ศัตรู
โฮก!
พยัคฆามังกรฟ้าคำราม หางราวกับกระบองขยายตัวประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ส่งเสาปีศาจบินกลับไปด้วยการฟาดหางเพียงครั้งเดียว
แต่ในเวลาเดียวกันเมื่อเสาปีศาจถูกซัดกลับไปโดยพยัคฆามังกรฟ้า เสียงคำรามของมังกรและช้างก็ดังขึ้นจากข้างหน้า มู่เฉินยืนอยู่ในอากาศ มิติที่ด้านหลังบิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่ผันผวนขณะที่ลำแสงแปดสายยิงออกมา
โฮก!
เกลียวแสงทั้งแปดเปล่งแสงคำรามของมังกรและช้าง เมื่อทุกคนมองเข้าไปใกล้ก็เห็นมังกรสี่ตัวและช้างสี่ตัวยืนอยู่ในอากาศ
วิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเกือบเต็ม วิชาเก้ามังกรคชสาร!
เมื่อมังกรและช้างอย่างละสี่ตัวปรากฏขึ้น คลื่นหลิงน่าสะพรึงก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ความผันผวนเหล่านั้นทำให้เปลือกตาของเหล่าผู้บัญชาการกระตุก พวกเขารู้ว่ายามนี้มู่เฉินงัดไพ่ตายออกมาใช้แล้ว
“มังกรและช้างสี่ตัวรึ?” สายตาของจิ่วโยววูบไหว นางทราบดีว่ามู่เฉินฝึกฝนวิชาเก้ามังกรคชสาร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นมู่เฉินเรียกพวกมันอย่างละสี่ตัวออกมาได้
ทว่าขณะที่ดวงตาของจิ่วโยวกะพริบ มู่เฉินก็กวาดตามองภาพมังกรและช้าง ก่อนที่จะสูดลมหายใจ ตราประทับบนฝ่ามือไม่หยุดนิ่งยังคงเคลื่อนไหวต่อไป
“หรือว่าเขาจะกลั่นมังกรกับช้างออกมาอีก?” เมื่อจิ่วโยวเห็นภาพนี้ นางก็ตกตะลึงในหัวใจ
โฮก!
ภายใต้การจับจ้องของจิ่วโยว มู่เฉินก็กระทืบฝ่าเท้าลงบนพื้นดิน แสงพวยพุ่งออกมาจากดวงตาสีดำมืด อึดใจถัดมามิติที่อยู่ข้างหลังก็บิดเบี้ยว จุดจื้อจุนไห่กลิ้งไปตามแรงคลื่นที่รุนแรง ขณะที่แสงสองสายทะยานออกมา
เสียงคำรามของมังกรและช้างดังสะท้อนไปทั่ว
เมื่อคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้น พวกเขาก็อดตกใจไม่ได้
บนท้องฟ้า มู่เฉินยืนอยู่กับพร้อมกับม่านตาสีดำราวกับหลุมดำ มีมังกรและช้างอยู่ข้างหลังอย่างละห้าตัว แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าอัศจรรย์ปกคลุมประหนึ่งภูเขาไท่ซัน
นี่เป็นการโจมตีที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกก็รู้สึกหวาดกลัว!
แต่ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเผชิญหน้ากับพยัคฆามังกรฟ้าด้วยพลังของมังกรคชสารได้จริงหรือไม่!