“ในอนาคตเขาจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป…”
เมื่อมู่เฉินพูดประโยคนี้ออกมา ไม่เพียงแต่ใบหน้าของหงหยูจะเปลี่ยนไป กระทั่งเหล่าผู้บัญชาการเองก็ยังตัวสั่นเทาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นไปได้ไง?” หงหยูสีหน้าซีดเผือด อัจฉริยะของพวกนางแค่พ่ายศึกเท่านั้น คลื่นหลิงในร่างกายเขาก็ยังคงมีความเสถียร แล้วทำไมเขาจึงไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป?
มู่เฉินไม่ได้สนใจสีหน้าซีดเผือดของหงหยู เขาจ้องมองอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจ “ไม่เพียงแต่คนของเจ้าจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้ เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้เขาเป็นแค่อัมพาต แต่เมื่อคลื่นหลิงที่หล่อเลี้ยงแห้งลง ร่างกายก็จะค่อยๆ เน่าเปื่อยไป”
ทีนี้หงหยูพูดไม่ออกไปเลย ใช้เวลานานกว่าที่นางจะเรียกสติคืนมาได้ ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเลยทีเดียว
นางรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้โกหก ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจเป็นง่อยจากฝีมือของหลินหมิง
“วิธีของหลินหมิงแปลกประหลาดและไร้ความปรานี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคลื่นจิตของจอมยุทธ์ถูกทำลาย”
มู่เฉินขมวดคิ้ว เพราะเขารู้สึกว่าคลื่นจิตของอัจฉริยะแดนปีศาจคนนี้เหมือนถูกกระชากออกและกลืนกินเข้าไป ความแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกว่าหัวใจบีบรัด
ดูเหมือนว่าในสงครามล่าจะมีความชั่วร้ายทุกประเภทที่จะต้องระวัง
“แดนปีศาจของข้าจะจำความแค้นนี้ไว้ พวกข้าจะคืนสิ่งนี้ให้กับจวนยมโลกแน่นอน!” หงหยูกัดฟันแน่น ม่านตาอัดแน่นด้วยความเกรี้ยวกราด นางรังเกียจวิธีชั่วช้าของจวนยมโลกนัก แดนปีศาจใช้ทรัพยากรไปมหาศาลเพื่อฟูมฟักอัจฉริยะคนนี้ แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นผักจากการกระทำของหลินหมิง
“แม่นางหงหยู พวกเจ้ามีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของจวนยมโลกไหม?” มู่เฉินถาม แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ปะทะกับหลินหมิง แต่เขารู้สึกว่าหลินหมิงจะมาหาในท้ายที่สุด
หงหยูครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า “กองทัพจวนยมโลกของหลินหมิงเพิ่งจะเริ่มลงมือในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ชายคนนี้มีข้อมูลน้อยมากในอดีต”
“ภายในสองสัปดาห์หลินหมิงได้นำจวนยมโลกปะทะกับแปดกองทัพและกองทัพทั้งหมดมีปัจจัยคล้ายคลึงกันบางอย่าง นั่นคือพวกเขามีแม่ทัพมากพรสวรรค์ ผลของการต่อสู้เห็นได้ชัดหลินหมิงทำลายศัตรูทั้งหมด ตอนนี้ใครๆ ก็กลัวชื่อเสียงเหม็นเน่านี้นัก”
สายตามู่เฉินหดลง เอ่ยถาม “แล้วคนที่พ่ายแพ้ต่อเขา ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หงหยูคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว “รู้สึกจะไม่ได้ยินข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย…หรือว่าพวกเขาก็?”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ขณะที่ความตกใจพล่านในใจ หากจอมยุทธ์คนอื่นมีผลลัพธ์เช่นนี้หลังจากที่พ่ายแพ้ หลินหมิงคนนี้จะต้องมีวิธีการที่โหดเหี้ยมในการสกัดคลื่นจิตของผู้อื่น
ศัตรูคนนี้รับมือลำบากนัก
“หลินหมิงเอาชนะการประลองอย่างราบรื่นจนกระทั่งพบกับจินไถหลิวหลี การเผชิญหน้าของทั้งสองจบลงที่เสมอกัน ไม่มีใครได้เปรียบใคร” หงหยูกล่าวต่อ
“ดูเหมือนว่าหมิงหมิงจะเป็นจั้นเจิ้นซือแล้ว” มู่เฉินพยักหน้า เผชิญหน้ากับจินไถหลิวหลีที่ได้รับการสืบทอดมรดกจากจักรพรรดิเทียนเจิ้นได้ นั่นก็หมายความว่าหลินหมิงจะต้องเป็นจั้นเจิ้นซือด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ใบหน้าของหงหยูก็บิดเบี้ยวจนดูไม่น่าดู เพราะนี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพวกนางเลย
“แม่นางหงหยูมีแผนอะไรต่อหรือ?” มู่เฉินยิ้มบาง
“ตอนนี้ก็เข้ามายังด้านในของสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้ว พวกข้าน่าจะต้องรีบไปรวมตัวกับกองทีพอื่นของแดนปีศาจให้เร็วที่สุด ข้าเชื่อว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็คิดเช่นเดียวกันใช่ไหม?” หงหยูไม่ได้ซ่อนเจตนาของตน เพราะสุดท้ายกองทัพเข้ามาในส่วนในก็ล้วนมีความคิดเช่นเดียวกัน ตราบใดที่สามารถรวมพลังเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกล้อมตีจากกองทัพสำนักอื่นๆ
หากกองทัพสำนักอื่นๆ รวมตัวกันหมดแล้ว ก็จะก่อให้เกิดต่อต้านที่ทรงพลัง หากการต่อสู้ถึงขั้นแตกหักในเวลานั้น ก็จะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
มู่เฉินพยักหน้าพลางยิ้ม “ไม่รู้ว่าแดนปีศาจคิดอย่างไรกับจวนยมโลก?”
“ในฐานะขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเหมือนกัน แดนปีศาจไม่อาจยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เมื่อพวกข้ารวมตัวเป็นกองทัพใหญ่ ข้าจะตามไปล้างบางพวกมัน” เสียงของหงหยูเย็นเยือกลงหลายส่วน เห็นได้ชัดว่านางโกรธแค้นหลินหมิงมาก
มู่เฉินยิ้ม “แต่ในเวลานั้นจวนยมโลกก็คงรวบรวมกองทัพแล้วเช่นกัน พวกเขาไม่อ่อนแอกว่าแดนปีศาจ ยิ่งเมื่อรวมหลินหมิงเข้าไปด้วย ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะรับมือพวกเขา แม้ว่าแดนปีศาจจะทุ่มสุดตัวก็ตาม”
หงหยูอึ้งไปจากนั้นก็มองมู่เฉิน ส่วนโค้งที่มีเสน่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากขณะที่หัวเราะเสียงพลิ้ว “พี่มู่พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”
“ร่วมมือกันกำจัดหลินหมิง เพื่อให้จวนยมโลกรับทุกข์ทรมานไปซะ” มู่เฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ก่อนหน้ามีข่าวว่าหลินหมิงสนใจพี่มู่มาพักใหญ่แล้ว จากการคาดเดาข้าคิดว่าพวกมันคงจะตามหาเจ้าพบไม่นานจากนี้แน่ แบบนี้พี่มู่คืออยากรวมพลังกับแดนปีศาจเพื่อจัดการกับพวกมันใช่ไหม?” หงหยูมองไปรอบๆ ขณะยิ้ม
“ถึงแม้ว่าหลินหมิงจะเก่งกาจ แต่ข้าไม่กลัวเขา” มู่เฉินยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่ความมั่นใจในตัวเองที่กำจายอยู่ ทำให้หงหยูไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้ เนื่องจากนางได้เห็นปาฏิหาริย์มากมายที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นต่อหน้ามาแล้ว
“จวนยมโลกไม่อ่อนแอ ดังนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่จะเขมือบพวกเขา แต่ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากแดนปีศาจ เราก็จะสามารถสร้างหายนะใหญ่หลวงใส่พวกเขาได้ ดังนั้นข้าเชื่อว่าความร่วมมือของเราเป็นประโยชน์ต่อกัน”
หงหยูอยู่ในภวังค์ความคิด นางมีความคิดที่จะถูกโน้มน้าว ทว่านางก็ไม่ตกปากรับคำทันทีตอบว่า “ข้าจะแจ้งเรื่องนี้กับทางสำนัก ข้าไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้”
“นอกจากนี้แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน แต่เป้าหมายของเราก็เป็นเพียงจวนยมโลก สำหรับกองทัพอื่นแดนปีศาจไม่ขอยุ่งเกี่ยว”
หงหยูฉลาดเฉลียว นางรู้ข่าวเป็นอริกันระหว่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ดังนั้นนางไม่ต้องการที่จะไปกระตุ้นกองทัพสูงสุดทั้งสองที่ไม่กินเส้นกับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เพียงเพื่อจัดการกับจวนยมโลก
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มู่เฉินก็พยักหน้าสบายๆ เนื่องจากเขาไม่ได้คาดหวังชัดเจนว่าแดนปีศาจจะปะทะกับหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภากับพวกเขา ในสงครามล่านี้มีเพียงความร่วมมือเกี่ยวกับผลประโยชน์เท่านั้น
“งั้นข้าไปก่อนนะ เมื่อแดนปีศาจรวมตัวกันเรียบร้อย ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบหากมีการเคลื่อนไหวใดๆ จากทางข้า เมื่อเวลานั้นหงหยูจะรอดูพี่มู่ปลดปล่อยพลังทั้งหมด” จบคำพูดนางก็ไม่ได้อ้อยอิ่ง นางส่งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้มู่เฉิน ก่อนที่จะโบกมือหันกลับไปยังกองทัพของตน จากนั้นพวกนางก็ผิวปากส่งสัญญาณ ร่างกายเป็นลำแสงพุ่งหายไปทางขอบฟ้า
“เจ้าคิดจะร่วมมือกับแดนปีศาจเหรอ?” เมื่อกองทัพแดนปีศาจจากไป เหล่าผู้บัญชาการก็หันมามองมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะเพิ่งบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า แต่กระทั่งจอมยุทธ์บางคนที่ทรงพลังเช่นเดียวกับเลี่ยซันก็ยังไม่กล้าดูแคลนมู่เฉินจากการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ ดังนั้นไม่มีใครคิดว่าเขากำลังประมาทในการตัดสินใจ
“แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจว่าความร่วมมือนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยเราลดแรงกดดันบางอย่างได้ เราไม่สามารถมีเรื่องกับขั้วอำนาจสูงสุดทุกขั้วอำนาจที่นี่ได้” มู่เฉินกล่าว
เขาไม่ได้หวังจะให้ความร่วมมือมั่นคง แต่อย่างน้อยแดนปีศาจมีเรื่องกับจวนยมโลก ถ้าจวนยมโลกยังกล้าที่จะเคลื่อนไหวมาหาเรื่องพวกเขา เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะร่วมมือกับแดนปีศาจเพื่อทำให้จวนยมโลกเลือดตกยางออกเสียบ้าง
“ไปกันเถอะ เราควรเดินทางต่อ สถานการณ์ตอนนี้ชักจะวุ่นวายมากขึ้น ดังนั้นเราสามารถป้องกันตัวเองเมื่อรวบตัวกับผู้บัญชาการที่เหลือเท่านั้น” มู่เฉินกล่าว
เมื่อคนอื่นได้ยินก็พยักหน้า แม้แต่กองทัพสูงสุดอย่างแดนปีศาจยังต้องจ่ายราคาหนักหนาดังนั้นพวกเขาจึงต้องปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน มู่เฉินก็ทะยานตัวออกไปพร้อมกับหน่วยรบทั้งห้าติดตามเบื้องหลัง
สองวันถัดมาพวกมู่เฉินก็ไม่ได้ชะลอตัวจน มุ่งหน้าไปที่จุดรวมพล ระหว่างทางก็เจอหลายกองทัพ แต่ไม่ได้ถูกขัดขวางเลย
ด้วยความเร็วนี้ เมื่อเข้าวันที่สามภาพหุบเขาใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา กองทัพมหึมาครอบคลุมท้องฟ้าของหุบเขา บรรยากาศแกร่งกร้าวแผ่ขยายออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงเชี่ยวกรากกระจายไปทั่วบริเวณ
เมื่อพวกมู่เฉินเห็นการรวมพลใหญ่ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายก็มาจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และสถานที่แห่งนี้เป็นที่รวมพลใหญ่
“ในที่สุดเราก็มาถึงที่นี่”
หลังจากสามเดือนที่เหล่าผู้บัญชาการแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์แยกตัวก็ถึงเวลากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่สามเดือนที่แล้วพลังของมู่เฉินที่รั้งท้ายเหล่าผู้บัญชาการ ตอนนี้ในแง่ของความแข็งแกร่งทั่วไป เขาติดหนึ่งในสามอันดับแรกแล้ว!
พัฒนาการของมู่เฉินในช่วงสามเดือนที่ผ่านมายอดเยี่ยมมาก
ฮึ่ม!
ทว่าเมื่อพวกเขาปรากฏตัวเบื้องหน้าหุบเขาและกำลังจะรวมเข้ากับกองทัพใหญ่ เสียงดังกระหึ่มก็ดังมาจากภายใน
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเสียง
นั่นเป็นเพราะนี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์!