หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 846 ค่าสู้ห้าร้อย
“…ดวลกับข้า”
ฟังยี่ยืนอยู่บนยอดเขา หนึ่งมือไพล่ไว้ข้างหลัง สายลมยกชายเสื้อสีขาวพลิ้วไสว ซึ่งทำให้เขาดูมาดมั่นจนจอมยุทธ์จากกองทัพอื่นๆ แอบชื่นชม ฟังยี่ช่างน่าทึ่งสมกับที่เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคทางเหนือ
ต่อให้ในศึกมังกรกงส์ เขาต้องประสบกับความพ่ายแพ้จากฝีมือของไฉ่เซียว แต่เขาก็ไม่ได้หมดสิ้นกำลังใจ ตรงกันข้ามเขากลับใช้ประสบการณ์นี้เพื่อสำรวจตัวเอง ซึ่งทำให้เขาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ความยึดมั่นในการแสวงหาความก้าวหน้าจากสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ ทุกคนคงได้แต่ชื่นชม
นี่คือคุณสมบัติสำคัญของจอมยุทธ์แท้จริง
ภายใต้สายตาจ้องมองมานับไม่ถ้วน ฟังยี่ก็ยิ้มบางขณะมองไปที่มู่เฉิน “ตราบใดที่เจ้าเอาชนะข้าได้ หมู่ตึกเทวะจะถอยแบบไม่มีบิดพลิ้วจากเรื่องในวันนี้”
โห่!!!
เสียงโห่ร้องดังขึ้นเนื่องจากคำพูดดังกล่าวที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการประลองกับมู่เฉิน การกระทำนี้ทำเอาดวงตาเหล่าคนมุงสว่างวาบเลยทีเดียว
นั่นเพราะชายหนุ่มทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ คนหนึ่งคือเจ้าบันทึกมังกรหงส์ ขณะที่อีกคนเป็นม้ามืดพุ่งแรงราวกับดาวหาง
ทั้งสองมีชื่อเสียงเลื่องลือ ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจไม่ใช่เล่น นั่นเพราะทุกคนอยากรู้ว่าเมื่อม้ามืดอย่างมู่เฉินปะทะเจ้าบันทึกมังกรหงส์ เขาจะไปได้ไกลอีกหรือจะล้มเหลวไปเลย?
ทว่าเมื่อเทียบระหว่างทั้งสองคน ฟังยี่มีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นจึงมีคนรู้สึกว่าข้อเสนอฟังยี่ไม่ยุติธรรมนัก เพราะตอนที่ชื่อเสียงของเขาดังก้องในภูมิภาคทางเหนือ มู่เฉินยังเป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่ออยู่เลย…
“เจ้าคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ เจ้าสามารถเลือกต่อสู้ได้ตามต้องการจริงเรอะ?” สายตาของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่เค้นเสียงเย็น ด้วยพลังที่มีนางบอกได้ว่าฟังยี่ก้าวเข้าสู่ระดับจื้อจุนขั้นห้ามานานแล้ว ถ้าพวกเขาต่อสู้กัน กระทั่งนางก็มีปัญหา แต่ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ดังนั้นการต่อสู้ตัวต่อตัวมีแต่ข้อเสียเปรียบทั้งนั้น
“ฮ่าๆ ถ้าเจ้าต้องการสู้ กองทัพจระเข้สวรรค์ของข้าพร้อมเสมอ แต่แค่กลัวว่าจะมีนักรบวิหคโลกันตร์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่รอดชีวิตไปได้นะสิ” สูป้าหัวเราะเสียงน่าขนลุกแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเข้มข้นในน้ำเสียง
“งั้นกองทัพจระเข้สวรรค์ก็ต้องตายไปด้วยกันทั้งหมด” จิ่วโยวตอบโต้อย่างเย็นชา
ฟังยี่ยิ้มพลางห้ามปรามสูป้าที่ต้องการจะตอกกลับและมองไปที่มู่เฉิน “เจ้าเป็นคนฉลาด คงรู้สถานการณ์ได้ดี น่าชื่นชมที่เจ้าทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์สามารถชำระวิญญาณสงครามได้ แต่พวกเจ้าก็มีข้อเสียด้านจำนวน ดังนั้นผลลัพธ์จะต้องหนักหน่วงสำหรับทั้งสองฝ่ายหากเราเปิดศึกกัน”
พูดถึงจุดนี้ ฟังยี่ก็ชี้ไปยังเหล่ากองทัพที่รวมตัวอยู่รอบๆ ยิ้มเอ่ย “ในกลุ่มคนพวกนี้ เจ้าก็รู้ว่ามีคนที่เห็นโอกาสแล้วจะแย่งทรัพย์ซ่อนอยู่เท่าไร ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ มันไม่ดีต่อเราทั้งสองฝ่ายหรอก”
“ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือเปลี่ยนจากทัพปะทะกัน เป็นจอมยุทธ์ประลองกัน…”
มู่เฉินยิ้มมองไปที่ฟังยี่ “คำพูดของเจ้าดูหรูหราจริงๆ แต่ข้าเห็นไอสังหารในนัยน์ตาเจ้า… ข้าคิดว่าเจ้าคงเกิดเจตนาจะฆ่าข้าใช่ไหมล่ะ?”
ฟังยี่หรี่ตาแคบลง คำพูดของมู่เฉินแทงใจดำมาก ตอนแรกเขาไม่ได้วางมู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หลังจากที่เห็นมู่เฉินสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิด นั่นเพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงภัยคุกคามที่เกิดจากศักยภาพของมู่เฉิน
ถ้าปล่อยให้มู่เฉินเติบโตไปอีก เขาจะต้องกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของหมู่ตึกเทวะในอนาคตแน่นอน
ดังนั้นศัตรูแบบนี้ต้องถูกกำจัดก่อนที่จะเติบใหญ่
“ถ้าเจ้าไม่กล้ารับคำท้า ข้าก็เข้าใจ” ฟังยี่พูดเบาๆ “เพราะเจ้าเป็นพวกมือใหม่ แค่มาไกลถึงจุดนี้ก็ยากมากแล้ว ต้องบอกเลยว่าแม้แต่ข้ายังชื่นชมมากๆ”
“จิตวิทยาโจมตีของเจ้าอ่อนเกินไป” มู่เฉินยิ้ม
ฟังยี่ขมวดคิ้ว ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่ามู่เฉินรับมือยากขนาดไหน แม้ชายหนุ่มคนนี้จะอายุน้อย แต่สติปัญญากลับเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ไม่มีความจองหองในวัยที่ควรมี การที่มู่เฉินไม่ตะครุบเหยื่อแบบนี้ทำให้ฟังยี่รู้สึกหงุดหงิดไปเล็กน้อย
“แต่…” ขณะที่ฟังยี่กำลังขมวดคิ้วคิดหนัก มู่เฉินก็ยิ้มตาหยี “ถ้าเจ้าประลองกับข้าจริงๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ มิหนำซ้ำยังง่ายนิดเดียว…”
“ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด” มู่เฉินกางนิ้วมือทั้งห้าออกด้วยดวงตายิ้มหยี
บรรยากาศที่ตึงเครียดแข็งค้างไปในทันที แม้กระทั่งคนอย่างฟังยี่ยังอึ้งไปเลย…
ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะใช้น้ำเสียงรีดไถ นอกจากนี้สาเหตุของเขาก็ทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด?” เมื่อได้ยินคำพูดมู่เฉิน สูป้าก็กระตุกยิ้มด้วยความโกรธ สายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขม่นมองพลางเยาะเย้า “ไอ้เด็กเวร แกคิดว่าชีวิตของตัวเองมีค่าถึงยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดเรอะ?”
นี่มุกตลกบ้าอะไร ยาหลุ่นยั้วห้าร้อยเม็ดเท่ากับผลเก็บเกี่ยวในมือพวกเขาทั้งหมดเลยนะ ยิ่งกว่านั้นนี่ยังได้มาเพราะพวกเขาค่อนข้างโชคดี ด้วยพบซากอารยธรรมหลายแห่ง สามารถกลั่นยามาได้อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้มู่เฉินจะตบทรัพย์เป็นยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ด มันคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!
“เจ้าไม่ได้เป็นคนตัดสินว่าคุ้มค่าหรือไม่”
มู่เฉินยังคงยืนยันด้วยดวงตายิ้มหยี ขณะที่มองไปยังฟังยี่ที่มีใบหน้าเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เขายื่นมือออกไป “พี่ฟังยี่ ถ้าเจ้าต้องการฆ่าข้า ข้าคิดว่าคงต้องยอมจ่ายแพงเพื่อให้สมหวัง แน่นอน… ถ้าเจ้ารู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ดี…”
พูดถึงจุดนี้รอยยิ้มบนใบหน้ามู่เฉินก็หุบลง ไอหนาวเหน็บและจิตสังหารพวยพุ่งในม่านตาสีดำ “งั้นเราก็เปิดศึกกันเลย ข้าก็อยากเห็นว่ากองทัพจระเข้สวรรค์จะทำให้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ของข้าต้องจ่ายมหาศาลได้ไหม!”
ทันใดนั้นจิตสังหารก็อัดแน่นในน้ำเสียงของมู่เฉิน ทำเอาอุณหภูมิบริเวณนี้ลดฮวบลง สีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลันของเขาทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนตกใจ เพราะพวกเราเริ่มตระหนักว่าชายหนุ่มที่อบอุ่นอ่อนโยนคนนี้มีพยัคฆ์ร้ายซ่อนเร้นอยู่ในแก่นกระดูก
เมื่อเส้นบางอย่างถูกแตะต้อง ความอบอุ่นที่มีก็จะถูกแทนที่ด้วยความเฉียบคม
ใบหน้าของสูป้าเปลี่ยนไปขณะที่กำลังจะระเบิดความโกรธออก ก็ถูกฟังยี่ที่อยู่ด้านข้างหยุดไว้อีกครั้ง ฟังยี่มองมู่เฉินอย่างเยือกเย็นพูดย้ำช้าๆ ว่า “มู่เฉิน ทำเรื่องแบบนี้มีความหมายอะไร? ของบางอย่างต่อให้อยู่บนตัวเจ้า เจ้าก็เอาไปไม่ได้หรอก”
“ห้าร้อยเม็ด ขาดเม็ดเดียวก็ไม่ได้ ถ้าเจ้ายินดีจ่ายเราก็สู้กัน ไม่งั้นก็สั่งเคลื่อนทัพเลย” มู่เฉินโบกมือพร้อมกับยิ้มบาง ท่าทางของเขาทำเอาใบหน้าของสูป้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับต้องการแล่เนื้อเถือหนังอีกฝ่ายเลยทีเดียว
จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นนางก็กลอกตาใส่มู่เฉิน เห็นชัดนางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจากท่าทางของมู่เฉินที่เรียกเงินในการต่อสู้
ฟังยี่จ้องมองมู่เฉินขณะที่ไอเย็นเยือกพวยพุ่งในดวงตา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้วู่วามกลับยิ้มอย่างใจเย็นออกมา “ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ พวกข้าก็จะจัดให้”
“เจ้าภูเขาเอ่อ รบกวนด้วย” ฟังยี่หันไปมองที่สูป้า
ใบหน้าของสูป้ากระตุกและรู้สึกเจ็บปวดหัวใจนักที่ต้องหยิบเม็ดยาออกมา เพราะยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดแทบจะเท่ากับผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดของพวกเขาเลยทีเดียว หากต้องจ่ายออกไป ความพยายามของพวกเขาไม่เท่ากับไร้ค่าเรอะ
“พวกมันจะไม่ได้ออกจากที่นี่” ฟังยี่พูดช้าๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของฟังยี่ สูป้าก็ทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วสะบัดมือออกไป ยาหยุ่นลั้วห้าร้อยเม็ดบินไปหามู่เฉิน ภายใต้สายตาโลภมากนับไม่ถ้วน
เพราะช่วงเวลานี้เม็ดยาห้าร้อยเม็ดหอมหวนสำหรับกองทัพมากมายในสมรภูมิหยุ่นลั้วนัก
มู่เฉินกำมือเม็ดยาก็ลอยอยู่รอบตัว เขาปรายตามองแวบหนึ่งก่อนจะเก็บไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่แคบลง “พี่ฟังใจกว้างจริงๆ”
ฟังยี่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร ข้าแค่ฝากไว้ที่เจ้าชั่วคราว เดี๋ยวข้าจะเอาคืนทั้งทุนและดอก”
มู่เฉินพยักหน้า “หวังว่านะ”
“นี่ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?” จิ่วโยวพูดเสียงต่ำ การที่ฟังยี่กล้าให้เม็ดยาแบบนี้ ชัดว่าเขามีความมั่นใจในการสังหารมู่เฉิน มาสู้กันในเวลานี้รู้สึกจะไม่ค่อยดีเท่าไร
“ถ้าสองทัพปะทะกัน เราต้องจ่ายราคาพอสมควร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่ต้องการจ่าย” มู่เฉินพูดเสียงเบา เหมือนที่ฟังยี่พูดไว้ ถ้าเปิดศึกกันจริงๆ ถึงแม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะได้รับชัยชนะ พวกเขาก็ต้องจ่าย ต่อให้มู่เฉินรู้ว่าราคานั้นจะน้อยกว่าที่ฟังยี่พูด แต่เขาก็ไม่เต็มใจ
ดังนั้นถ้าสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวเพื่อตัดสินก็เป็นตามที่มู่เฉินหวัง แต่ก่อนหน้านี้ เขาต้องให้พวกฟังยี่จ่ายมาบางส่วนก่อน และทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์สักหน่อย
จิ่วโยวพยักหน้าเงียบๆ นางรู้ว่าการข่มขู่อย่างเดียว ไม่มีประโยชน์ในการช่วยหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจากหมู่ตึกเทวะ มีเพียงการสู้กันจริงๆ ถึงจะสามารถหยุดสถานการณ์นี้ลงได้
แต่ฟังยี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จัดการได้ง่าย เขาเป็นเจ้าบันทึกมังกรหงส์ที่รักษาบัลลังก์ไว้ได้หลายปี แม้ว่าพลังของมู่เฉินจะแข็งแกร่งขึ้น แต่กระนั้นจิ่วโยวก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะเผชิญหน้ากับฟังยี่ได้หรือไม่
หลังจากเก็บกวาดยาเรียบร้อย มู่เฉินก็ย่างเท้าออกไป ม่านตาของเขาค่อยๆ คมกล้าขึ้น รัศมีที่กำจายออกจากร่างเริ่มแหลมคมราวกับหอกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกขัดเกลา
เมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของมู่เฉิน เปลือกตาของฟังยี่ก็ยกขึ้นเบาๆ
“ข้าต้องการหัวไอ้นั่น” สูป้าพูดพร้อมกับขบฟันแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาคั่งแค้นมู่เฉินจนเข้ากระดูก จากการต้องเสียยาหยุ่นลั้วถึงห้าร้อยเม็ด
“ตามที่ต้องการ วันนี้มันตายแน่”
ฟังยี่ยิ้มจากนั้นก็ก้าวออกไป พริบตาก็ไปปรากฏตัวที่หน้ามู่เฉิน
ทุกสายตาจ้องเขม็งมายังบริเวณนี้
เจ้าบันทึกมังกรหงส์กับม้ามืดตัวฉกาจ ในที่สุดก็ระเบิดศึกกันแล้ว