หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 825 มอบตำแหน่งผู้บัญชาการ
มิติเบื้องหน้ามู่เฉินแปรปรวนราวกับระลอกคลื่นน้ำ
ร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นร่างนี้หัวใจตึงเครียดของมู่เฉินก็ผ่อนคลายลงเต็มที่
มั่นถัวหลัวเผยตัวหน้ามู่เฉิน ขณะใบหน้าเย็นชาของนางมองสิงโตคลื่นหลิงอย่างเฉยเมย จากนั้นนางก็กางมือออกตบสิงโตเบาๆ
ปัง!
เพียงแค่การตบเบาๆ กลับทำให้สิงโตคลื่นหลิงที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังยากจัดการแตกสลายราวกับแก้วบาง
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นางเอื้อมมือออกไป แสงก็รวมตัวกันบนฝ่ามือก่อร่างเป็นลูกกลมแสง คลื่นหลิงรุนแรงสงบลงราวกับลูกไก่ในกำมือนาง
นางมองลูกกลมแสงก่อนจะยกสายตาจ้องมองอย่างเย็นชาไปยังชิวไท่ยิงที่มีใบหน้าเปลี่ยนเป็นไม่มีสีพลางเอ่ยเสียงไม่แยแส “ตราประทับราชสีห์สุดนภา? ทำไมของที่เป็นเอกลักษณ์ของตำหนักสุดนภาถึงมาอยู่ในมือเจ้าได้?”
ความโกลาหลโดยรอบหายวับไปในตอนนี้ สายตาตะลึงงันนับไม่ถ้วนจับอยู่ที่ร่างชิวไท่ยิง ใครก็รู้ว่าตำหนักสุดนภากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นศัตรูกัน แต่ชิวไท่ยิงกลับมีวิชาเอกลักษณ์ของตำหนักสุดนภาอยู่กับตัวแล้วจะไม่เป็นที่สงสัยได้อย่างไร?
ชิวไท่ยิงมองใบหน้าไร้อารมณ์ของมั่นถัวหลัวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าไม่มีสีเลือดอยู่เลย เขารู้สึกเสียใจทันทีที่ใช้ตราประทับราชสีห์สุดนภาออกไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสูญเสียสติหลังจากตกอยู่ในความโกรธขึ้งเพราะมู่เฉิน
“ท่าน…ท่านประมุข ตราประทับสุดนภานี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาจากการสังหารผู้อาวุโสคนหนึ่งของตำหนักสุดนภาขอรับ” ชิวไท่ยิงฝืนตัวพูดออกมา
“งั้นหรือ?” ดวงตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวมองชิวไท่ยิง สัมผัสได้ถึงแววตานั่น ชิวไท่ยิงก็รู้สึกว่าทั่วสรรพางค์กายเย็นเยือกไปหมดแล้ว
“วิชานี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะถึงจะใช้งานตราประทับราชสีห์สุดนภาได้ ซึ่งมีเพียงผู้อาวุโสบางคนเท่านั้นที่ทำได้ จากคำพูดเจ้าบอกว่าฆ่าผู้อาวุโสของตำหนักสุดนภาไปคนหนึ่งงั้นหรือ?”
รังสีสังหารเย็นเยือกแผ่ออกจากน้ำเสียงเนิบนาบของมั่นถัวหลัว “ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่เจ้าฆ่าคือใคร? นอกจากนี้ทำไมถึงไม่รายงานเรื่องใหญ่แบบนี้? ถ้าเจ้าฆ่าผู้อาวุโสของตำหนักสุดนภาได้ ต่อให้เจ้าแพ้ในวันนี้ ข้าก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้ทันที”
ทั้งร่างของชิวไท่ยิงสั่นเทิ้มขณะเหงื่อเย็นไหลจนเปียกชุ่มเสื้อผ้า เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจเมื่อถูกม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมองมา
ทั้งจัตุรัสเงียบกริบ ผู้คนต่างมองไปที่ชิวไท่ยิง แรงกดดันมหาศาลทำให้สติของชิวไท่ยิงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
“ตู้ม!”
เมื่อชิวไท่ยิงทนต่อแรงกดดันไม่ได้อีกต่อไป เขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แผดคำราม ก่อนที่คลื่นหลิงจะระเบิดออกจากร่างเปลี่ยนเป็นร่างแสงพุ่งออกไปที่นอกเขตต้าหลัวเทียนอย่างรวดเร็ว
มั่นถัวหลัวมองชิวไท่ยิงที่หนีอย่างสูญเสียการควบคุมด้วยสายตาเย็นชาก็สะบัดมือเบาๆ ทำให้มิติบริเวณนั้นหยุดนิ่ง ส่วนร่างของชิวไท่ยิงก็ราวกับแมลงวันติดบนกระดาษเหนียวไม่อาจขยับเขยื้อนได้…
มั่นถัวหลัวพลิกนิ้ว ชิวไท่ยิงก็ถูกดึงเข้ามาในลานพิธีอย่างรุนแรงก่อนจะกระแทกพื้น คลื่นหลิงในร่างสลายหายไปจนหมดจากฝีมือของมั่นถัวหลัว ตรึงร่างไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้
“พาตัวเขาไป ดูเหมือนตำหนักสุดนภาจะส่งไส้ศึกเข้ามาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์อยู่ไม่น้อย ข้าคิดว่ามันน่าจะรู้ตัวคนเหล่านั้น”
มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเรียบขณะหน่วยผู้คุมกฎมาถึงคุมตัวชิวไท่ยิงที่คลื่นหลิงในร่างแตกสลายออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้คนมองชิวไท่ยิงที่ถูกพาตัวไป ก่อนจะเบนสายตามาทางมั่นถัวหลัวที่ใบหน้าเย็นชาลงหลายส่วน ยามนี้ไม่มีใครกล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ถึงเพลิงโทสะในใจของมั่นถัวหลัว
มั่นถัวหลัวมองลงมาที่เหล่าจอมยุทธ์ ก่อนเสียงนุ่มนวลจะดังขึ้นข้างหูทุกคน “สงครามล่ากำลังจะมาถึงในไม่ช้า พวกเจ้าควรรู้ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร แม้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเป็นขั้วอำนาจสูงสุดในภูมิภาคทางเหนือ แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะถูกกลืนกินระหว่างสงครามล่า ถ้าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่คงอยู่อีกต่อไป พวกเจ้าก็จะสูญเสียสถานะและที่พึ่งพิงไปด้วย”
หัวใจของเหล่าจอมยุทธ์สั่นสะท้าน ในภูมิภาคทางเหนือที่มีการแข่งขันโหดร้าย หากไม่มีการปกป้องจากขั้วอำนาจใหญ่เช่นนี้ ก็เป็นเรื่องอันตรายหลายเท่า หากคิดจะฝึกฝนด้วยตัวเอง
“ดังนั้นถ้าพวกเจ้าไม่ต้องการสูญเสียที่พึ่งพิงนี้และกลายเป็นเหยื่อของคนอื่น ก็จงแสดงความภักดีออกมา ข้าไม่เคยละเลยกับผู้ที่ภักดีต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์”
“พวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านประมุขด้วยความจริงใจ” เหล่าจอมยุทธ์ส่งเสียงพร้อมเพรียงด้วยความเคารพนับถือ เหตุผลที่พวกเขาสามารถยืนหยัดอยู่ในภูมิภาคทางเหนือและเพลิดเพลินกับทรัพยากรทั้งหลายก็เป็นเพราะมั่นถัวหลัว จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่เป็นเกราะกำบังภัยอย่างแท้จริง
มู่เฉินเฝ้ามองภาพนี้เงียบๆ รู้สึกใจสั่นไหวเล็กน้อยกับพลังของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน มีเพียงจอมยุทธ์ดังกล่าวที่สามารถยืนหยัดคุ้มครองคนอื่นได้
ม่านตาสีทองคำของมั่นถัวหลัวเบนไปทางมู่เฉิน “ในเมื่อผลลัพธ์พิธีมอบยศราชันเผยแล้ว ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่านับจากนี้ มู่เฉินคือผู้บัญชาการลำดับสิบแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเรา”
สายตาอิจฉานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาที่มู่เฉิน เส้นทางนี้ช่างน่าเหลือเชื่อกับการได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทั้งที่อายุน้อยเท่านี้
เหล่าผู้บัญชาการต่างถอนหายใจพลางพยักหน้า เสี่ยยิงมองไปที่มู่เฉินด้วยความผวาและแววเสียใจฉายในดวงตา เขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะเติบโตรวดเร็วเพียงนี้ หากเขารู้ก็คงไม่ก่อปัญหาให้มู่เฉินตอนนั้นหรอก
การท้าทายคู่ต่อสู้ผู้มีศักยภาพสูงเช่นนี้ ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่โง่เง่านัก
“ในฐานะผู้บัญชาการลำดับสิบ เจ้ามีคุณสมบัติที่จะสร้างกองกำลังของตัวเอง” มั่นถัวหลัวมองมู่เฉิน พูดโดยทั่วไปก็คือการเป็นผู้บัญชาการจะได้รับทรัพยากรมากมายจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ซึ่งเพียงพอที่จะสนับสนุนในการสร้างหน่วยรบเหมือนกับผู้บัญชาการคนอื่นๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการพัฒนา
ผู้คนจ้องมองไปที่มู่เฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกหอวิหคโลกันตร์ ดวงตาพวกเขาเปี่ยมด้วยความอึกอักและไม่อยากให้ไป
เพราะทันทีที่มู่เฉินสร้างหน่วยรบของตัวเอง เขาก็จะพ้นจากสภาพสมาชิกหอวิหคโลกันตร์ ไม่ได้เป็นแม่ทัพวิหคโลกันตร์อีกต่อไป ถึงตอนนั้นไม่ว่ากองกำลังของเขาจะเข้ากับหอวิหคโลกันตร์ขนาดไหน ก็ต้องแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน
แม้มู่เฉินจะอยู่ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้เพียงปีเดียว แต่ทุกคนในหอวิหคโลกันตร์รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะมู่เฉินต่อสู้เป็นตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า หอวิหคโลกันตร์ก็ไม่พัฒนาได้เร็วเช่นนี้หรอก
“คิกๆ มู่เฉินน่าสะพรึงจริงๆ เขาสามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการได้รวดเร็วเหลือเกิน” ในใจของถังโหยวไร้เดียงสานัก นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักรู้สึกเป็นสุขไปกับมู่เฉินด้วย
พอได้ยินประโยคดังกล่าว ถังปิงก็ส่งสายตาถมึงทึงให้น้องสาวหัวทึบพลางกอดอก เพลิงโทสะคุกรุ่น นางไม่มองมู่เฉินที่โดดเด่นในตอนนี้เลย เพราะนางทราบดีว่าการสูญเสียมู่เฉินจะเป็นการทุ่มระเบิดลูกใหญ่ใส่หอวิหคโลกันตร์ แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้โทษมู่เฉินไม่ได้ เพราะตำแหน่งระหว่างผู้บัญชาการและแม่ทัพแตกต่างกันมากจริงๆ
จิ่วโยวดูเฉยเมยกับเรื่องนี้มากที่สุด ไม่เพียงแต่ไม่กังวล นางยังมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้ม ความสัมพันธ์ของนางกับมู่เฉินลึกล้ำมาก พันธะโลหิตผูกเราพี่น้องเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้นนางจึงไม่กังวลเกี่ยวกับการที่มู่เฉินจะสร้างกองกำลังของตัวเอง
บนท้องฟ้า มู่เฉินก็อึ้งไปวูบหนึ่งกับคำพูดของมั่นถัวหลัว ก่อนจะเหลือบมองไปทางหอวิหคโลกันตร์ จ้องมองสายตาร้อนรนเหล่านั้นก็เผยยิ้มออกมา “ข้าไม่ต้องการสร้างกองกำลังของตัวเองหรอก ข้าจะอยู่กับหอวิหคโลกันตร์ นั่นคงไม่กระทบกับการที่ข้าได้ทรัพยากรใช่ไหม?”
เขารู้ว่าการสร้างกองกำลังขึ้นมาเองซับซ้อนเพียงใดจากหนึ่งปีที่เขาอยู่ในหอวิหคโลกันตร์ หากเขาทุ่มเทไปกับสิ่งนี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการฝึกฝน ดังนั้นเขาไม่อยากขี่ช้างจับตั๊กแตน ทำลายตัวเองเพียงเพราะสิ่งที่เรียกว่ากองกำลังของตัวเองได้
ยิ่งกว่านั้นเขายังใช้หน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้เต็มที่ ไม่ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จิ่วโยวก็ไม่เคยขัดขวาง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องแยกตัวออกมา
มู่เฉินรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสียหายกับการตัดสินใจเช่นนี้ แต่เมื่อเขาพูดออกมา ก็ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากถึงกับอึ้งไป เห็นชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนละทิ้งโอกาสที่จะสร้างกองกำลังของตนเอง เพราะถ้าสร้างกองกำลังก็หมายความว่าจะมีหน่วยรบของตน ซึ่งหน่วยรบนั้นจะเป็นของเขาคนเดียวเลย
สมาชิกหอวิหคโลกันตร์อ้าปากตาค้าง แต่เพียงครู่เดียว เสียงโห่ร้องก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ทุกคนมองมู่เฉินด้วยสายตาตื่นเต้นระยิบระยับ พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะละทิ้งโอกาสในการสร้างกองกำลังและเลือกอยู่กับหอวิหคโลกันตร์เหมือนเดิม
ถังปิงก็อึ้งไปอดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉินก่อนจะจือปาก “เจ้าโง่”
แม้จะเอ่ยประโยคเช่นนั้น แต่ในดวงตากลับฉายแววปีติจนไม่อาจปิดบัง ชายคนนี้มีความสำนึกอยู่บ้าง ความพยายามของนางในการรวบรวมของเหลวจื้อจุนเพื่อการฝึกยุทธ์ของเขาไม่ได้สูญเปล่าแล้ว
จิ่วโยวยิ้ม แม้คำตอบนี้จะไม่ได้เหนือความคาดหมายสำหรับนางนัก แต่สายตานางที่มองมู่เฉินก็อ่อนโยนลงหลายส่วน
บนท้องฟ้า มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน ก่อนจะยิ้มเอ่ย “ตามสบายเลย ในเมื่อเจ้าละทิ้งโอกาสสร้างกองกำลังของตัวเอง ทรัพยากรทั้งหมดก็จะถูกเติมให้กับหอวิหคโลกันตร์ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าก็สามารถใช้ได้เท่าที่ต้องการเลย”
มู่เฉินพยักหน้าเขยิบเข้าไปใกล้มั่นถัวหลัวพลางกระซิบ “เทียบกับทรัพยากรเหล่านั้น ข้าอยากได้รางวัลที่ตกลงมากกว่า…ฮี่ๆ”
ลงตอนท้ายประโยค มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะสมใจพลางถูนิ้วด้วยกัน ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดก็คือเลือดของเทพอสูรทั้งสิบในการฝึกคัมภีร์หลงเฟิ่ง
มั่นถัวหลัวมองมู่เฉินที่ตาลุกวาวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทำได้แค่ก็กลอกตาใส่
“ไม่ต้องห่วง เจ้าได้รับแน่”