หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 815 ข่าวคราวของลั่วหลี
เมื่อมู่เฉินกลับมาถึงอาณาเขตกงเวทสวรรค์
สิ่งที่รอคอยก็คือพิธีเฉลิมฉลองใหญ่โตตามที่เขาคิดไว้ ชัดว่าทั่วทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์รู้ข่าวคราวของเขาในศึกมังกรหงส์ผ่านช่องทางรับชมพิเศษ
ความสำเร็จของเขาให้หน้ากับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ใหญ่หลวง
ตลอดหลายปีผ่านมานี้ แม้จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุด แต่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ยังมีตำแหน่งรั้งท้ายในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ท่ามกลางขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในภูมิภาคทางเหนือ โดยเฉพาะเรื่องที่หัวกะทิของสำนักถูกสังหารด้วยฝีมือจอมยุทธ์จากจวนยมโลกตั้งแต่เริ่มศึก ยิ่งสร้างความอับอายให้กับทางสำนักจนเหลือประมาณ ดังนั้นอาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงไม่ส่งจอมยุทธ์เข้าร่วมศึกมังกรหงส์นานหลายปี จนกระทั่งครั้งนี้…
ตอนแรกที่มั่นถัวหลัวประกาศการเข้าร่วมศึกของมู่เฉินและการเป็นตัวแทนของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้จอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนักจะไม่พูดอะไร แต่ในใจพวกเขากลับไม่ยอมรับ
แม้ว่าพลังที่มู่เฉินแสดงออกมาจะทำให้พวกเขารู้ถึงศักยภาพที่เขามี แต่เขาก็ยังห่างไกลจากจอมยุทธ์อัจฉริยะในบันทึกมังกรหงส์
ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครมองโลกในแง่ดีที่มู่เฉินเข้าร่วมศึก บางทีอาจมีบางคนคิดว่าเขาจะสร้างความอับอายขายหน้าในศึกมังกรหงส์เสียด้วย
แต่ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร มู่เฉินก็เข้าร่วมศึกเพียงลำพัง
จนสุดท้ายอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็ได้รับข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงพรึงเพริด
มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียน เผชิญหน้าโยวหมิงไม่เกรงกลัว สุดท้ายก็ก้าวขึ้นบันไดมังกรหงส์ขั้นสิบสำเร็จ คว้ามรดกมีค่าสูงสุดในเขตหลงเฟิ่งมาครอบครอง ชื่อของมู่เฉินแห่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์เบียดชื่อจอมยุทธ์อัจฉริยะมีชื่อทั้งหลายจนหมด
เรื่องนี้ทำให้ทั้งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ปั่นป่วน
พวกจอมยุทธ์ชั้นสูงที่เคยเกิดความสงสัยในใจก็ทำเอาพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว แม้พวกเขาจะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญใดๆ กลับปรากฏขึ้นในภูมิภาคทางเหนือราวกับดาวหาง
บางทีอีกไม่นานหลังจากนี้เขาก็จะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงดังเป็นพลุแตกในภูมิภาคทางเหนือ
ระหว่างการเฉลิมฉลอง ผู้คนในหอวิหคโลกันตร์ต่างรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจอย่างที่สุด มู่เฉินมาที่หอวิหคโลกันตร์พร้อมกับจิ่วโยว ขณะเดียวกันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งแม่ทัพวิหคโลกันตร์ ความสามารถอันโดดเด่นของเขาทำให้หอวิหคโลกันตร์ที่ซบเซามานานรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง
ในอนาคตจะไม่มีใครในอาณาเขตกงเวทสวรรค์กล้าดูถูกหอวิหคโลกันตร์ของพวกเขาอีกแล้ว
งานเฉลิมฉลองกินเวลาสองวันเต็ม ก่อนที่ความตื่นเต้นจะค่อยๆ ซาลง ในที่สุดมู่เฉินก็หลุดพ้นจากการพัวพันของทุกคนกลับคืนหอวิหคโลกันตร์เพื่อพักผ่อน สำหรับเขางานฉลองแบบนี้ทำให้รู้สึกอ่อนกำลังและลำบากมากกว่าการต่อสู้ในศึกมังกรหงส์เสียอีก
ในหอวิหคโลกันตร์ ดวงจันทร์กระจ่างใสแขวนบนท้องฟ้ากำจายแสงจันทร์เย็นฉ่ำลงมา
มู่เฉินนอนลงบนหลังคาหอวิหคโลกันตร์เอามือรองท้ายทอย เขามองดวงจันทร์สุกสว่างด้วยสายตาเกียจคร้านขณะที่สายลมเย็นพัดเอื่อย ร่างกายที่เกร็งเครียดมานานก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงในตอนนี้
กลิ่นคาวเลือดที่ติดตัวมาจากศึกมังกรหงส์ราวกับค่อยๆ จางหายไปในตอนนี้
มู่เฉินมองดวงจันทร์ร่างงดงามที่มีเรือนผมสีเงินยวงก็ปรากฏในหัวสมอง ใบหน้าเย็นใสของนางราวกับใบมีดสลักลงในส่วนลึกของหัวใจมู่เฉิน
นั่นคือลั่วหลี
“ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างในตระกูลลั่วเสิน…?” มู่เฉินพึมพำ หลังจากที่เราสองคนต้องแยกกัน เขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่มหาพันภพที่อันตราย ผ่านประสบการณ์การต่อสู้นองเลือดและแขวนชีวิตไว้ระหว่างความเป็นความตาย เขาทำทุกอย่างเพื่อทำตามสัญญาที่ครั้งหนึ่งเคยให้ไว้กับหญิงสาวคนรัก เขาจะต้องเป็นยอดยุทธ์ให้ได้ เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในสงครามเทพยุทธ์ที่เขาจะยืนตรงหน้าเป็นอัศวินปกป้องเจ้าหญิงของเขา ตะลุยผ่านไม่ว่าอุปสรรคใดก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีมารดาของเขาอีกด้วย สตรีสองนางที่มีความสำคัญที่สุดในชีวิต เขาจะต้องเดินหน้าต่อไปไม่ว่าเส้นทางในการเป็นยอดยุทธ์จะยากเย็นเพียงใด คนอย่างเขาก็ต้องไม่ท้อถอย
นั่นเป็นเพราะเขาต้องการพลังในการปกป้อง
มู่เฉินหรี่ตาลงค่อยๆ กำหมัด
“เจ้าดูสบายเนอะ” เสียงหัวเราะพลิ้วไหว มู่เฉินลืมตาก็เห็นจิ่วโยวยืนอยู่ใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แสงจันทร์กระทบผิวกายนาง ขับเน้นส่วนโค้งเว้าน่ามองให้เด่นชัด
มู่เฉินยกยิ้มเนือยๆ ตอบรับ
“มีข่าวอยู่สองข่าว ข้าคิดว่าเจ้าคงจะสนใจนะ” จิ่วโยวนั่งลงข้างกายมู่เฉินอย่างอ่อนช้อย รูปร่างโค้งเว้าเต็มไปด้วยความเย้ายวน กลิ่นหอมระรวยทำให้หัวใจของผู้คนหวั่นไหว
“ข่าวแรกข้าได้ข้อมูลเกี่ยวกับฉินจงกับชิวไท่ยิงมาแล้ว” จิ่วโยวยิ้ม นางและมู่เฉินมีความสัมพันธ์เหนียวแน่น ดังนั้นเป็นธรรมดาที่รู้ว่ามั่นถัวหลัวต้องการให้มู่เฉินลงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบ
พอได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็ทำเพียงปรือตาขึ้น เห็นชัดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสนใจอะไร
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองนั่น จิ่วโยวก็ไม่ได้วอแวอะไร นางยิ้มตาหยีพูดต่อ “ส่วนอีกข่าว…รู้สึกจะมาจากดินแดนซีเทียน”
“ดินแดนซีเทียน?!” มู่เฉินผงะไปก่อนที่จะผุดลุกนั่งจ้องมองจิ่วโยวด้วยความดีใจ เขารู้อยู่แล้วว่าตระกูลลั่วเสินอยู่ในดินแดนซีเทียน!
และเหตุผลที่จิ่วโยวบอกเขาในเรื่องนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับลั่วหลีแน่นอน
“ดินแดนซีเทียนอยู่ห่างจากทวีปเทียวหลัวมาก หากไม่ใช้ช่องทางพิเศษ ก็เป็นเรื่องยากที่ข้อมูลจะถูกส่งมาถึง ข้าจ่ายไปเยอะอยู่กว่าจะได้ข่าวมา” จิ่วโยวมองมู่เฉินพลางยิ้มตาหยีเอ่ยเย้า “เป็นยังไง? สนใจไหม?”
มู่เฉินถูจมูกพลางหัวเราะแห้งๆ
จิ่วโยวไม่หยอกล้ออะไรมู่เฉินอีก นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยออกมา “จากข้อมูลที่ได้มา หลังจากที่ลั่วหลีกลับไปตระกูลลั่วเสิน ตระกูลเสี่ยเสินก็โจมตีหนักข้อมากขึ้น ทั้งสองตระกูลเปิดศึกกันนับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเลือดไหลชโลมราวกับสายน้ำ”
“คนรักตัวน้อยของเจ้าฝีมือดีทีเดียว ว่ากันว่าหลังจากที่นางกลับตระกูล นางก็ไม่ได้นั่งกำกับอยู่ในตระกูลใหญ่แต่กลับนำกองทัพใหญ่ออกมาปกป้องดินแดน กวาดล้างทัพตระกูลเสี่ยเสินหลายต่อหลายครั้ง” ในน้ำเสียงของจิ่วโยวเจือแววชื่นชม
แต่ได้ยินคำพูดของนางแล้ว มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป พลังของตระกูลลั่วเสินกับตระกูลเสี่ยเสินแข็งแกร่งกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ระดับการต่อสู้นั้นก็ต้องมีจอมยุทธ์จำนวนมากเข้าร่วมกระทั่งขุมพลังจื้อจุนก็ไม่นับว่าเป็นชั้นยอด การที่ลั่วหลีนำทัพด้วยตัวเองย่อมเป็นเรื่องอันตรายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“นางคิดถูกแล้วที่ทำเช่นนั้น”
จิ่วโยวเหลือบมองมู่เฉินและเอ่ยเบา ๆ “ว่ากันว่าราชวงศ์ลั่วเสินวุ่นวายมาก เป็นเพราะลั่วเทียนเสิ่นจึงไม่ได้แตกเป็นเม็ดทราย แม้ว่าลั่วหลีจะมีสถานะสูงส่ง แต่ก็ยังเยาว์วัยนัก การที่นางนำทัพด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนตัวเองและเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับตระกูลลั่วเสิน ยังเพิ่มจุดยืนให้นางในตระกูลลั่วเสิน เอาชนะใจของคนในตระกูลและผู้อาวุโสได้มากขึ้น”
“และความเป็นจริงก็พิสูจน์ว่าการกระทำของนางถูกต้อง ปีที่ผ่านมานางนำกองทัพชั้นยอดของตระกูลลั่วเสินเข้าต่อสู้กับตระกูลเสี่ยเสินนับครั้งไม่ถ้วน ชื่อเสียงของนางในตระกูลลั่วเสินก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลลั่วเสิน พวกเขาเหล่านั้นเข้าข้างนางอย่างต่อเนื่อง บวกกับการสนับสนุนของลั่วเทียนเสิ่น บางทีอีกไม่นานนางก็จะดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสินแท้จริงแล้ว”
“ถึงตอนนั้นตระกูลลั่วเสินอาจจะผงาดขึ้นอีกครั้งในมือของนาง”
จิ่วโยวถอนหายใจเบาๆ “นางไม่ได้มีชีวิตสุขสบาย แต่ก็ทำได้ดีมาก”
ครั้นได้ยินคำพูดของจิ่วโยว แววตาปีติของมู่เฉินก็ถอยกลับ เขามองดวงจันทร์กระจ่างใส จากนั้นก็สูดหายใจลึกและหลับตาลงช้าๆ
เขาเหมือนจะได้ยินเสียงโห่ร้องของสงครามดังมาจากทั่วชั้นฟ้า ริ้วแสงพุ่งไปมาจากทุกทิศทางก่อนปะทะกันพร้อมกับเลือดและคลื่นหลิงระเบิดออกมาในขณะเดียวกัน
ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน
บนเนินเขาในสนามรบหญิงสาวถือกระบี่ยาว ผมยาวสีเงินยวงปลิวสยายไปในสายลม ม่านตาใสราวกับแก้วมองภูเขาซากศพและทะเลโลหิต ภายใต้ทั่วบริเวณที่ถูกย้อมด้วยสีแดงและเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ร่างของนางดูเล็กลงอย่างถนัดตา
ดวงตามู่เฉินเบิกโพลง ภาพนั้นทำให้เขารู้สึกปวดใจ ที่แท้ขณะที่เขาเข้าสู่มหาพันภพ ลั่วหลีที่กลับตระกูลลั่วเสินก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นกัน อันตรายและแรงกดดันที่นางต้องแบกรับเกินกว่าเขามากนัก
ขณะที่เขาก้าวบนเส้นทางความเป็นตาย ลั่วหลีก็นำทัพใหญ่เปิดฉากโรมรันกับตระกูลเสี่ยเสิน
บางทีนางอาจเข้าใจมู่เฉินและรู้ว่าเพราะคำสัญญาที่เขาให้ไว้ เขาจะไม่ย่นย่อไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายใดก็ตาม ดังนั้นนางจึงทำงานหนักในแบบของตนด้วยหวังว่าวิธีนี้นางจะสามารถแบ่งรับแรงกดดันให้เขาได้
นางไม่ใช่สตรีที่ชอบมานั่งคอยเงียบๆ มองดูมู่เฉินโชกเลือดไปด้วยบาดแผลบนเส้นทางแห่งการเป็นหนึ่ง ส่วนนางทำได้เพียงยืนไกลๆ และรู้สึกเจ็บปวดใจเพื่อเขา
เว้นแต่ว่าการทำเช่นนั้น มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจเช่นกัน
“ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ…”
มู่เฉินพึมพำ ขณะที่เขาคิดว่าตนเองทำงานหนักมาพอแล้ว เขากลับลืมไปว่าในสถานที่ที่ไกลออกไป ยังมีสตรีนางหนึ่งที่ทำงานหนักเพื่อที่เขาจะไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้
“วางใจเถอะลั่วหลี ข้าจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน”
มู่เฉินกำหมัดพร้อมกับแววคมกล้าพวยพุ่งในม่านตาสีดำ ท่าทางเกียจคร้านก่อนหน้าหายไปจนหมดสิ้น เขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้
พอมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของมู่เฉินแล้ว จิ่วโยวก็ยิ้มออกมาพึมพำในใจ ‘มู่เฉินจะต้องมีสักวันที่เจ้าจะกลายเป็นยอดยุทธ์ ข้าเชื่อมั่นมาตลอดตั้งแต่แรกเจ้าน้องชาย’
“บอกข้อมูลเกี่ยวกับสองคนนั้นให้ข้าเถอะ ตอนนี้ข้าชักสนใจแล้ว”
มู่เฉินยิ้มให้จิ่วโยวก่อนจะยื่นมือออกมา ดูเหมือนเพื่อให้มั่นถัวหลัวรวบรวมเลือดเทพอสูรสิบชนิดมาได้ เขาไม่สามารถยอมแพ้ต่อตำแหน่งผู้บัญชาการคนที่สิบแล้ว
เพื่อหญิงอันเป็นที่รักที่กำลังทำงานหนักในตอนนี้