หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 812 เพลิงจักรพรรดิ
“ถ้าเจ้าอยากได้ข้าไป ก็มาลองดูสิ?”
หญิงสาวยืนอยู่บนท้องฟ้าฉายรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้า เมื่อเสียงใสเย็นดังก้อง ก็ทำให้จอมยุทธ์จำนวนมากตะลึงไป เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไฉ่เซียวถึงยังสงบได้ขนาดนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างวั้นตู๋เสอ
นางไม่รู้หรือว่าวั้นตู๋เสอเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่น่าสะพรึงกลัวตัวจริงน่ะ?!
แน่นอนว่าไม่เพียงแต่พวกเขาที่อึ้งไป แม้แต่วั้นตู๋เสอก็เป็นไปด้วย จากนั้นรอยยิ้มประหลาดก็เผยบนใบหน้าซูบตอบ เขามองไฉ่เซียวและเอ่ยเสียงแหลมลึก “เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้างั้นหรือ คึๆ น่าสนใจนัก ตอนนี้ข้าชักอยากได้เจ้ามากขึ้นแล้ว!”
จบคำพูด วั้นตู๋เสอก็อดรนทนไม่ไหว เขาเคลื่อนกายทะลุผ่านมิติไปปรากฏตัวตรงหน้าไฉ่เซียวอย่างลึกลับ จากนั้นมือซีดก็คว้าข้อมือบางไว้
ความเร็วของเขาไม่ได้ดูเร็วหรือช้า แต่ทันทีที่ลงมือ มิติรอบตัวไฉ่เซียวก็หยุดนิ่ง ไม่เพียงแต่นางจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างก็ถูกผนึกไว้
เมื่อเห็นภาพดังนี้ มู่เฉินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่คิดจะลงมือ เขาก็เห็นรอยยิ้มโค้งขึ้นบนมุมปากของไฉ่เซียว ทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างงุนงง
หรือว่านางยังมีวิธีรับมือกับสถานการณ์นี้?
ไฉ่เซียวมีท่าทีนิ่งสงบขณะจ้องมองวั้นตู๋เสอด้วยสายตาเย็นชา ทันทีที่อีกฝ่ายกำลังจะคว้าข้อมือนางได้ มือของนางก็พลิกกลับป้ายหยกสีแดงปรากฏขึ้น
บนป้ายหยกมีลวดลายเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนสลักอยู่ จากนั้นมันก็ถูกไฉ่เซียวบดขยี้จนแหลกละเอียด
ฟู่!
เมื่อป้ายหยกถูกทำลาย เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็พลุ่งพล่านออกมาโอบล้อมรอบร่างไฉ่เซียว เปลวไฟแผ่กระจายทำให้เหล่าม่านตาจอมยุทธ์ในบริเวณนี้ถึงกับหดเกร็ง
เปลวไฟรอบร่างไฉ่เซียวพิเศษอย่างยิ่ง พวกมันไม่ได้มีเพียงสีเดียว แต่มีสีสันสดใสเหมือนจะมีส่วนประกอบของเปลวไฟมากกว่าหนึ่งชนิดในลูกเพลิงนั่น
นอกจากนี้ความจริงที่น่าตกใจที่สุดก็คือเปลวไฟงดงามนี้พันรอบตัวของไฉ่เซียวราวกับกระแสธาร ความแปลกประหลาดของเปลวไฟและน้ำทำให้หลายคนรู้สึกตะลึงงันเมื่อได้เห็นภาพนี้
เปลวไฟเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ สีสันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง แต่ในความบริสุทธิ์กลับปลดปล่อยคลื่นพลังน่ากลัวที่สามารถทำลายทุกสรรพสิ่งได้
มู่เฉินเคยเห็นเปลวไฟที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเช่นร่างมหาเพลิงนภาที่หลิ่วเหยียนฝึกฝน แต่เทียบกับเปลวไฟนี้แล้ว เปลวไฟจากร่างมหาเพลิงนภาดูกระจอกไปถนัดตา
“เปลวไฟนั้น…” มั่นถัวหลัวหดตาลงเมื่อเห็นเปลวไฟพร้อมกับสีหน้าดูเคร่งขรึมลงหลายส่วน สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เพลิงงดงามและบริสุทธิ์ที่ม้วนตัวรอบไฉ่เซียว แม้แต่คนอย่างนางยังรู้สึกถึงอันตรายแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากเปลวไฟนั้น
ขณะที่ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเคร่งขรึมลง ใบหน้าของวั้นตู๋เสอที่กำลังยื่นมือมาหาไฉ่เซียวก็เปลี่ยนแปลงรุนแรงทันทีเช่นกัน เขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนจึงมีประสาทสัมผัสเหนือกว่าคนธรรมดา ดังนั้นเมื่อเขาเห็นเปลวไฟรอบตัวไฉ่เซียว เขาก็รู้สึกหนาวเยือกในหัวใจรีบถอยกลับไปในทันที
ร่างเขาพุ่งทะลุมิติด้วยความเร็วที่ไม่สามารถจับได้ทัน
ทว่าไฉ่เซียวที่ปกคลุมด้วยเพลิงบริสุทธิ์กลับชี้นิ้วออกมาแตะลงเบาๆ
ฟิ้ว!
เปลวไฟรอบตัวนางลุกโชนขึ้นแล้วหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน จากนั้นวั้นตู๋เสอที่กำลังหลบหนีผ่านมิติก็ส่งเสียงร้องแหลม นั่นเป็นเพราะเปลวไฟเหล่านั้นทะลวงผ่านมิติปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พัวพันกับตัวเขาแบบแยกไม่ออก
เหล่าจอมยุทธ์พากันสูดหายใจลึก เปลวไฟนี้พิลึกเกินไป พวกมันดูราวกับละเรื่องระยะทางมิติออกไปแล้วมาปรากฏตัวรอบร่างวั้นตู๋เสอเลย
ความเร็วนั้นเร็วเกินไปจนไม่สามารถตั้งรับได้
“เจ้า!”
วั้นตู๋เสอทั้งอึ้งทั้งโกรธ เขาสะบัดแขนเสื้อ สายธารคลื่นหลิงกวาดตัวออกมา คลื่นหลิงนั้นเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถก่อเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่เพื่อทำลายล้างโลกได้ แต่ในตอนนี้กลับระเหยในทันทีด้วยเปลวไฟงดงาม
“เป็นไปได้ยังไง?!” วั้นตู๋เสอคำราม บนใบหน้าของเขาไม่มีแววสุขุมของจอมยุทธ์ทรงพลังเหลืออยู่อีกแล้ว ถูกแทนที่ด้วยอาการตกตะลึง ภาพตรงหน้าเป็นสิ่งที่แม้แต่คนที่มีฝีมืออย่างเขายังไม่สามารถต้านทานได้ เขาคิดไม่ออกเลยว่าหญิงสาวอ่อนแอบอบบางคนหนึ่งจะมีทักษะน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!
ตู้ม!
แม้ในใจของวั้นตู๋เสอจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าชักช้าอะไร เขารีบวาดตราประทับขึ้น หมอกเลือดพวยพุ่งออกมาจากร่างเขา ก่อตัวเป็นปราการป้องกันล้อมรอบกาย
เมื่อหมอกเลือดปรากฏขึ้น คลื่นหลิงในบริเวณนี้ก็ถูกกัดกร่อน ชั้นมิติพังทลายลงไปเรื่อยๆ นี่คือพิษเจ้าอสรพิษที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของวั้นตู๋เสอ หมอกพิษนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนด้วยกันยังต้องหวาดกลัว
เมื่อหมอกเลือดสีแดงเข้มกวาดออก ก็ราวกับเปลี่ยนเป็นมังกรโลหิตพุ่งใส่เปลวไฟงดงามพร้อมกับคำรามออกมา
ชี่! ชี่!
พลังสองสายปะทะกันจังใหญ่ ภาพที่น่าตกใจก็ปรากฏขึ้น มังกรโลหิตส่งเสียงร้องโหยหวน ก่อนพิษที่สามารถย่อยสลายแม้กระทั่งมิติถูกระเหยไปอย่างรวดเร็วด้วยเปลวไฟงดงาม
เปลวไฟงดงามมาถึงอย่างรวดเร็วครอบร่างวั้นตู๋เสอไว้
ในที่สุดแววหวาดผวาก็พล่านในดวงตาของวั้นตู๋เสอ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าหากเปลวไฟน่าสะพรึงนี้โดนตัวเข้า แม้แต่เขาเองก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่
แต่ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้กลยุทธ์ใด ก็ยังไม่สามารถขัดขวางเปลวไฟงดงามนี้ได้ สิ่งนี้ราวกับจะไม่หยุดพักจนกว่าเขาจะถูกเผามอดไหม้อย่างสมบูรณ์
“เวรเอ๊ย!”
ดวงตาของวั้นตู๋เสอเปลี่ยนไปรุนแรง ทว่าตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน ดังนั้นเขาจึงขบฟันวาดตราประทับเร็วรี่ ร่างกายเขาระเบิดออกเลือดสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง เหลือไว้เพียงหางงูหลากสีสันขณะที่ร่างอันตรธานหายไป
บนท้องฟ้าห่างออกไปหลายหมื่นจั้ง มิติแตกออกเป็นเสี่ยง ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือวั้นตู๋เสอ ทว่าตอนนี้เขาเหลือเพียงร่างกายท่อนบน ร่างกายท่อนล่างเละเทะโชกไปด้วยเลือดที่กระฉูดออกมาไม่หยุด
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างตกตะลึงกับสภาพน่าสังเวชของวั้นตู๋เสอ มากจนแม้แต่มั่นถัวหลัวกับหลิ่วเทียนเต้ายังมีสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ในด้านพละกำลัง แม้วั้นตู๋เสอจะเพิ่งบรรลุระดับตี้จื้อจุนไม่นาน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว ต่อให้พวกเขาลงมือโจมตี ก็จะต้องใช้ความพยายามส่วนหนึ่งถึงจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าได้ แต่ในตอนนี้… วั้นตู๋เสอกลับมีสภาพน่าอนาถด้วยฝีมือของหญิงสาวที่ดูอ่อนแอคนหนึ่ง!
“นางเป็นใครกันแน่?!”
จอมยุทธ์จำนวนมากอกสั่นขวัญแขวนขณะพุ่งสายตาตรงไปทางไฉ่เซียวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า มู่เฉินก็จ้องมองนางด้วยสายตาตกตะลึงเช่นกัน แม้เขาจะรู้ว่าที่มาของไฉ่เซียวไม่ธรรมดา แต่เขาไม่คิดว่าไพ่ตายของนางจะทรงพลังขนาดนี้!
“เจ้า! เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
วั้นตู๋เสอยืนอยู่บนท้องฟ้าห่างออกไปหลายหมื่นจั้งด้วยสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองไฉ่เซียว เพลิงโทสะในดวงตากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า แต่สุดท้ายเขาก็ข่มรังสีสังหารไว้ในใจ ตะโกนเสียงแหลม
วั้นตู๋เสออดไม่ได้ที่จะตกใจ เปลวไฟเมื่อครู่ไม่ใช่ของไฉ่เซียวแน่นอน แต่เป็นวัตถุภายนอก ส่วนเจ้าของวัตถุชิ้นนั้นถึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้วั้นตู๋เสอหวาดกลัวขึ้นมา
แค่ป้ายหยกชิ้นเดียวก็บีบให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์น่าสังเวชแล้ว หากเป็นตัวจริงพลังที่สำแดงจะน่าสะพรึงขนาดไหนกัน?!
หรือว่าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน?!
แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้วั้นตู๋เสอหนังหัวชาหนึบแล้ว
“ไหนว่าอยากจับตัวข้าไง” ไฉ่เซียวมองวั้นตู๋เสอด้วยรอยยิ้มเหยียด จากนั้นก็ยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล เปลวไฟงดงามพุ่งกลับมารวมตัวอยู่เหนือร่างนาง ก่อร่างเป็นอักขระไฟที่ดูเหมือนจะมีหม้อกลั่นที่มีคนอยู่บนนั้น
คนผู้นั้นยืนเอามือไพล่หลัง ผมสีดำปลิวไปตามลม เบื้องหลังเป็นดาบใหญ่สองคมสีดำ แม้นี่จะเป็นเพียงภาพเงา แต่ก็ราวกับว่าทั้งฟ้าดินสยบแทบเท้าของเขา
นี่เป็นพลังอำนาจเหนือฟ้าดิน!
จอมยุทธ์จำนวนมากไม่คุ้นกับอักขระไฟนั้น แต่เมื่อวั้นตู๋เสอเห็นอักขระนั้นเข้า ความกลัวลึกซึ้งก็ผุดในส่วนลึกของดวงตา จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอุทานลั่น “อักขระไฟนี่… เจ้ามาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วเรอะ?! เทพจักรพรรดิอัคคีเป็นอะไรกับเจ้า?!”
น้ำเสียงของเขาฟังดูหวาดผวาสุดขีด เนื่องจากเขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่!
“อย่างนี้นี่เอง…” มั่นถัวหลัวมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองไฉ่เซียวด้วยสายตาแปลกประหลาด “ที่แท้นางมาจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว งั้นเปลวไฟเมื่อครู่…ก็น่าจะเป็นเพลิงจักรพรรดิในตำนาน มิน่าถึงได้มีพลังครอบงำและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!”
“เพลิงจักรพรรดิ?” มู่เฉินอึ้งไป
“นั่นเป็นเพลิงที่ครอบครองโดยผู้ก่อตั้งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคี… ว่ากันว่าถูกชำระโดยเทพจักรพรรดิอัคคีจากเปลวไฟทุกชนิดบนโลก ถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเปลวไฟทุกชนิด ในมหาพันภพแทบไม่มีเปลวไฟชนิดไหนสามารถเทียบได้” มั่นถัวหลัวยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ “ในเมื่อนางสามารถใช้เพลิงชนิดนี้ ดูท่าคงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเทพจักรพรรดิอัคคี ฮ่าๆ วั้นตู๋เสอเอามือนาบเหล็กร้อนซะแล้ว”
ไฉ่เซียวยืนไว้สง่า ไม่สนใจสายตาตื่นตะลึง ดวงตาของนางจ้องมองวั้นตู๋เสอที่กำลังหวาดกลัวพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดโค้งขึ้นบนมุมปาก ยิ่งกว่านั้นประโยคต่อมาของนางยังทำให้วั้นตู๋เสอหนาวเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย ขนทุกเส้นลุกชูชัน
“เทพจักรพรรดิอัคคี… เขาคือพ่อของข้า ถ้าเจ้าต้องการจับตัวข้า ควรจะบอกเขาก่อนไหม?”