หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 805 กระบวนท่าสุดท้าย
“เพลิงเทพใต้พิภพล้างผลาญ!”
เมื่อเสียงเย็นเยือกไร้ที่สิ้นสุดดังจากปากของโยวหมิง เพลิงสีดำก็กวาดตัวออกมา ในเส้นทางของเพลิงเหล่านั้น แม้แต่คลื่นหลิงยังหยุดนิ่ง กลายเป็นเศษผลึกสีดำรวมเข้ากับเปลวเพลิงสีดำ ทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
ทุกคนหนังหัวชาหนึบเมื่อเห็นเพลิงสีดำพาดผ่านขอบฟ้า เมื่อเพลิงสีดำกวาดผ่านก็ดูราวกับว่าสิ่งกีดขวางที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดล้วนหลอมละลายรวมเข้ากับมัน
“นี่คือสุดยอดคัมภีร์เทพของจวนยมโลก ซึ่งเป็นกระบวนท่าเสินซู่ขั้นเกือบเต็ม… ว่ากันว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้ไปจนถึงขีดสุด ทุกสรรพสิ่งในรัศมีหมื่นลี้จะถูกหลอมกลายเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นหลิงและเป็นพลังให้กับเพลิงสีดำ”
“ลือกันว่าตอนที่ประมุขจวนยมโลกใช้วิชานี้เมื่อในอดีต เพลิงสีดำก็หลอมละลายหนึ่งสำนักจนสูญสิ้น…”
“แม้โยวหมิงยังมีฝีมือด้อยกว่าเมื่อใช้วิชานี้ แต่พลังนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับนี้จะสามารถต้านทานได้”
“…”
คนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็กระซิบกระซาบด้วยความตกตะลึง เห็นชัดว่าพวกเขาตกใจกับท่าไม้ตายที่โยวหมิงแสดงออกมา
หลังจากที่ตกใจก็อดรู้สึกเห็นใจมู่เฉินไม่ได้ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างหลิ่วเหยียน ซูปี้เยี่ยและหงหยูก็อาจต้องตายภายใต้การโจมตีกระบวนท่านี้จากโยวหมิง
“พวกมู่เฉินคงแพ้ยับเยินแล้ว” มีบางคนเอ่ยด้วยความเสียดาย เพราะจากสถานการณ์ตอนนี้ทันทีที่เพลิงสีดำกวาดผ่าน มู่เฉินก็คงถูกหลอมเข้ากับเปลวเพลิงในพริบตา ขณะที่ฟังยี่ยังทนอยู่ได้นานมากกว่า แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ตอนนี้
เมื่อโยวหมิงจัดการมู่เฉินได้แล้วร่วมมือกับฟังยี่ ผลลัพธ์การต่อสู้นี้ก็ตัดสินได้แล้ว
ในสมรภูมิหนึ่งที่การต่อสู้ยันกันอยู่ หางตาของไฉ่เซียวกับฟังยี่ก็ถูกอีกสมรภูมิดึงดูด เมื่อเหลือบมองไปสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยทั้งคู่
ทว่าฟังยี่มีสีหน้าดีใจ ส่วนไฉ่เซียวมีสีหน้ามืดครึ้ม เพราะพวกเขารู้สึกได้ว่าเพลิงสีดำที่โยวหมิงปลดปล่อยออกมาครอบงำมากเพียงใด
แม้แต่พวกเขายังมีปัญหาในการรับมือเช่นนี้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม… แม้เขาจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้เมื่อครู่และไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีก แต่เทียบกันแล้วโยวหมิงแข็งแกร่งกว่ามาก…
ฟังยี่ยืนบนดอกบัวสีฟ้าอมเขียวมองไปทางไฉ่เซียวพลางเอ่ยเบาๆ “ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจกับเจ้าแล้วสินะ”
ขณะที่พูดเขาก็หมุนดอกบัวอย่างเงียบๆ เพื่อต้านแรงดูดที่น่ากลัวที่มาจากกระแสน้ำวนสายรุ้ง เห็นชัดว่าเขาพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจของไฉ่เซียวเพื่อประวิงเวลาให้ตัวเองมากขึ้น
ทว่าแผนการของเขาไม่ได้ผล ไฉ่เซียวทำเพียงเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่แรงดูดที่มาจากกระแสน้ำวนสายรุ้งจะเพิ่มขึ้นแทนที่จะแผ่วลง สิ่งนี้ทำให้ฟังยี่ถึงกับขมวดคิ้ว เขาได้แต่เร้าคลื่นหลิงอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้าน
จัดการหุบปากฟังยี่ได้แล้ว ไฉ่เซียวก็เบนสายตาไปทางมู่เฉินอีกครั้งพลางกัดริมฝีปาก ตอนนี้แม้แต่นางก็ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ กับมู่เฉินได้
ผลลัพธ์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวมู่เฉินเองแล้ว
“มู่เฉิน… เจ้าต้องทนได้นะ…” ไฉ่เซียวกำหมัดเบาๆ ขณะเอ่ยพึมพำ ทันทีที่มู่เฉินแพ้ การเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้นี้ของนางก็จะสลายหายไปหมด ดังนั้นสิ่งเดียวที่นางทำได้ตอนนี้ก็คือเชื่อมั่นในตัวมู่เฉิน
แม้นางจะรู้ว่าการเผชิญคู่ต่อสู้ทรงพลังอย่างโยวหมิงตอนนี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับมู่เฉิน แต่บางทีเขาอาจสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาก็ได้
ขณะที่ทุกสายตาพุ่งตรงมาจากท้องฟ้าและเสียงถอนหายใจหลายเสียงดังขึ้น มู่เฉินที่ยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะกลับไม่ได้ดูสิ้นหวังอย่างที่พวกเขาคิด ม่านตาสีดำของเขาใสกระจ่างและคมกริบมากขึ้นด้วย
เพลิงสีดำพวยพุ่งราวกับกระแสธารสีดำ ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางเส้นทางของเปลงเพลิงได้
มู่เฉินก็รู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัวในเพลิงสีดำ โยวหมิงรับมือยากเย็นจริงๆ พลังของเขาเหนือกว่าหลิ่วเหยียนหลายขุม
ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่จะสยบคนอย่างมู่เฉินได้!
มู่เฉินเม้มปากขณะที่สาดสีหน้าเคร่งขรึม อึดใจมือทั้งคู่ก็ประสานกันเริ่มวาดตราประทับโบราณแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อตราประทับเปลี่ยนไปก็มีเสียงบทสวดแผ่ออกมาในพื้นที่นี้
สายตาประหลาดใจนับไม่ถ้วนพุ่งตรงมา พวกเขามองว่ากระบวนท่านี้ของมู่เฉินเป็นการโจมตีกลับอย่างสิ้นหวัง ความกล้าหาญของเขาควรค่าแก่การยกย่อง แต่ผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยความกล้าหาญ
ถ้ามู่เฉินยังไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ที่น่าตกใจได้ ผลลัพธ์น่าสิ้นหวังก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
เสียงบทสวดดังก้องทั่วบริเวณนี้ ขณะที่มู่เฉินหลับตาลง แสงหลิงสีม่วงเข้มเบ่งบานออกมาบนผิวกายก่อนจะรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นกลีบดอกไม้สีม่วงลึกลับและงดงามชวนสะกดใจเลือนราง
ขณะที่กลีบดอกไม้เหล่านั้นค่อยๆ มารวมตัวกัน พวกมันก็ก่อตัวเป็นดอกไม้ลึกลับใต้ร่างมู่เฉิน
ดอกไม้นั้นมีสีม่วงเข้มขนาดร้อยจั้ง กลีบดอกลึกลับและงดงามนัก มีลวดลายโบราณนับไม่ถ้วนบนกลีบดอก เสียงบทสวดที่ดังอย่างต่อเนื่องทำให้คนฟังรู้สึกสงบสุข
มู่เฉินมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่สูญเสียอย่างรวดเร็วในจุดจื้อจุนไห่ กระทั่งเลือดในร่างยังสะเทือนเบาๆ คลื่นหลิงในร่างเขาเทใส่ดอกไม้ลึกลับนั้นทั้งหมดในเวลานี้
ฝ่ามือมู่เฉินยื่นออกมาช้าๆ จากนั้นสร้างตราประทับสองนิ้ว ดอกไม้ลึกลับนั้นก็เบ่งบาน เกสรดอกเล็งไปที่เปลวเพลิงสีดำที่กวาดเข้ามา
ใบหน้าของมู่เฉินซีดลงจากคลื่นหลิงที่สูญเสียอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิก ดวงตาสีดำกลับฉายประกายเจิดจ้ามากขึ้น
“แกคิดจะสยบข้าเรอะ… ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
กระบวนท่านี้คือทักษะเทพโบราณที่มู่เฉินได้มาจากมั่นถัวหลัว ตลอดช่วงเวลานี้มู่เฉินก็ไม่เคยหยุดฝึกเลยแม้แต่น้อย ถึงเขาจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มเข้าใจจากการล้มเหลว
ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ขณะที่เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องขึ้นในใจ ลวดลายโบราณบนกลีบดอกไม้ก็เปล่งแสงสว่างมากขึ้น จนสุดท้ายลวดลายเหล่านั้นดูราวกับว่ามีชีวิตรวมตัวกันที่ใจกลางดอก
ดังนั้นที่เกสรดอกจึงมีแสงสีม่วงเข้มเริ่มมารวมตัวกัน
ในบริเวณนี้ไม่มีใครรู้ว่าท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มตั้งแต่เมื่อใด มีเพียงเกสรดอกไม้เท่านั้นที่ปล่อยแสงสว่างจ้าออกมา ช่างเป็นภาพที่คล้ายกับแหล่งกำเนิดแสงทั้งหมดถูกดูดเข้าไปในเกสรดอกไม้
จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนสั่นสะท้านกับภาพนี้และรู้สึกได้เลือนรางถึงระลอกคลื่นผิดปกติ กระบวนท่าที่มู่เฉินงัดออกมาใช้ ทำให้พวกเขารู้สึกหัวใจโยกคลอนโดยไม่รู้สาเหตุ
พื้นที่มืดลง แม้แต่มิติก็ยังสั่นไหวในตอนนี้ ใบหน้าของมู่เฉินซีดเผือดยิ่งขึ้น แต่ดวงตากลับฉายประกายคมกล้ามากขึ้น อึดใจต่อมานิ้วเรียวก็ชี้ไปที่ท้องฟ้าเบาๆ
“ไป แสงบุปผาทำลายฟ้า!”
เมื่อมู่เฉินพึมพำในใจ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิท มีเพียงดอกไม้โบราณงดงามที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงเหลืออยู่หนึ่งเดียว จากนั้นทุกคนก็เห็นดอกไม้โบราณสั่นไหวพร้อมกับแสงสีม่วงเข้มพวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
ลำแสงสีม่วงไม่ได้นำพามากับการเคลื่อนไหวที่ทำลายล้างใดๆ แต่เมื่อมันพาดผ่านขอบฟ้าไป ทุกคนก็ราวกับได้ยินเสียงมิติแตกออก
ทุกสรรพชีวิตถูกดับลงในเส้นทางของลำแสง การครอบงำนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเยือกลึกลงในหัวใจ
แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าเรียบเฉยของโยวหมิง แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม เขาไม่อนุญาตให้เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ในขณะนี้
เขาต้องกำจัดมู่เฉินซะ!
มือของโยวหมิงประสานกัน ความเร็วที่พุ่งออกมาของเพลิงสีดำก็ดุร้ายยิ่งขึ้น มันทำลายมิติจนแตกร้าว ราวกับมังกรดำจากใต้พิภพนำพาความหนาวเย็นไม่มีที่สิ้นสุด ปะทะเข้ากับแสงสีม่วงภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
ตู้ม!
จังหวะที่พุ่งชนกันนั้น แสงพร่างพรายก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าที่มืดครึ้มตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นจ้าตา ทำให้หลายคนหรี่ตาลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้
จากนั้นคลื่นกระแทกคล้ายกับภูเขาไฟระเบิดก็ปะทุขึ้น ทำให้เกิดระลอกคลื่นในมิติรัศมีหมื่นจั้งเห็นจะได้
ลานประลองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเกือบจะสลายลงอย่างสมบูรณ์
ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนกระเด็นออกมาอย่างทุลักทุเลพร้อมกับเร้าคลื่นหลิงทรงพลังก่อร่างเป็นม่านพลังป้องกันตรงหน้า ต้านทานคลื่นกระแทกเอาไว้
คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะไปทั่ว แต่แสงจ้าก็ค่อยๆ อ่อนลง ดังนั้นทุกสายตาจึงพุ่งตรงไปที่ท้องฟ้าในเวลาเดียวกัน
พวกเขาอยากรู้ว่าใครจะยังยืนหยัดอยู่ได้จากแรงปะทะน่ากลัวนั่น
โยวหมิงผู้เหี้ยมโหดจะสามารถสยบทุกสิ่งได้ไหม หรือมู่เฉินจะจัดการพร้อมกับการตอบโต้ของเขา?
เมื่อแสงจางหายภาพบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ กระจ่างขึ้น แต่เมื่อภาพปรากฏ เสียงสูดหายใจนับไม่ถ้วนก็ดังไปทั่วบริเวณ
บนท้องฟ้าดอกไม้งดงามหุบกลีบดอกลงและค่อยๆ สลายตัว เมื่อแสงกระจายออกไป ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็เผยขึ้นต่อหน้าสายตาของทุกคน
แม้ใบหน้าเขาจะซีดลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะล้มลง!
นั่นคือมู่เฉิน!
โห่!
เสียงโห่ร้องไม่อยากเชื่อดังราวกับภูเขาไฟระเบิด ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนถึงกับตกตะลึง
มู่เฉินสามารถต้านท่าไม้ตายของโยวหมิงได้!
ชายคนนี้ทำสำเร็จจริงๆ!