หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 798 เวลาหนึ่งก้านธูป
บนขอบฟ้าห่างไกล
จอมยุทธ์แปดคนยืนอยู่กลางอากาศ แม้ว่าพวกเขาจะยืนกันเงียบๆ ไร้สุ้มเสียง ทว่าความผันผวนของคลื่นหลิงกว้างใหญ่ที่แผ่ซ่านก็ราวกับพายุกวาดหายนะไปทั่วบริเวณ มากจนแม้แต่ชั้นเมฆหนาบนท้องฟ้ายังแตกออก
คนจำนวนนับไม่ถ้วนกลั้นหายใจ แรงกดดันจากการต่อสู้ที่จะมาถึง ทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก
จอมยุทธ์ทั้งแปดบนท้องฟ้าเป็นตัวแทนของความสุดยอดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ แม้จะอยู่ในขั้วอำนาจชั้นสูง พลังของพวกเขาก็นับว่าเป็นจอมยุทธ์หัวกะทิที่มีศักยภาพไร้ขอบเขต
แต่ตอนนี้เมื่อจอมยุทธ์อัจฉริยะเหล่านี้มารวมตัวกัน ก็เหมือนกับการชนกันของดาวหาง สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
“ไม่รู้ว่าใครจะสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในครั้งนี้…”
“น่าจะเป็นฟังยี่หรือโยวหมิงนะ…สองคนนั่นครองตำแหน่งที่หนึ่งและที่สองในบันทึกมังกรหงส์มาหลายปี ไม่มีใครมาเขย่าตำแหน่งของพวกเขาได้เลย”
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่นะ แม่นางลึกลับคนนั้นก็ไม่ได้อ่อนหัด แม้แต่ฟังยี่ยังกลัวนางเลย…”
“คนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนะ พวกซูปี้เยี่ย หงหยูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายๆ เหมือนกัน หากประมาทพวกเขา ก็อาจจมลงได้”
“สถานการณ์ตอนนี้สูสีมาก เพราะไม่มีใครที่ทรงพลังจนถึงขนาดลอยตัวเหนือคนอื่นได้”
“…”
บรรยากาศหยุดนิ่งไม่สามารถปกคลุมเสียงถกเถียงกันได้เลย ทุกคนที่มาที่นี่ได้ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา พวกเขามีความสามารถบางอย่างจึงมีสายตากว้างไกล ดังนั้นการวิเคราะห์ของพวกเขาจึงเป็นไปตามตรรกะเหตุผล
เมื่อเสียงกระซิบกระซาบกระจายออกไป มู่เฉินก็สัมผัสถึงบรรยากาศหยุดนิ่ง ม่านตาสีดำของเขาก็วูบไหวเบาๆ
เขาถือว่ารู้จักกับเจ็ดคนตรงหน้ามาบ้าง นอกจากไฉ่เซียว อีกหกคนต่างเป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อในบันทึกมังกรหงส์ คนที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยก็คงจะเป็นติงเซวียนแห่งตระกูลจู้หลิง ส่วนอีกหกคนที่เหลือก็เคยประหน้ามาบ้างแล้ว
ในหมู่ทั้งหกคน เขาไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกับติงเซวียน แล้วก็ไม่นับว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกับซูปี้เยี่ยและหงหยู แต่อีกสามคนที่เหลือนับว่ามีปัญหามากกว่า
หลิ่วเหยียนนี่ไม่ต้องพูดถึง พวกเขานับเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ไม่มีวันญาติดีกันได้ ส่วนฟังยี่กับโยวหมิงก็เคยสู้กับเขาและไฉ่เซียวด้วยเรื่องก่อนหน้า ดังนั้นโดยทั่วไปก็มีความเป็นศัตรูระหว่างพวกเขา แต่แค่ไม่รู้ว่าความเป็นศัตรูลึกหรือตื้นเพียงใด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ แม้แต่ตัวเขายังรู้สึกว่ายากที่จะลงมือ
ขณะที่มู่เฉินกำลังคิดว่าจะทำลายสถานการณ์หยุดชะงักนี้อย่างไรดี เขาก็รู้สึกถึงสายตาคมกริบราวมีดพุ่งตรงมาเปี่ยมด้วยรังสีสังหาร
มู่เฉินหันหน้าไปเล็กน้อย ตามคาดเขาเห็นหลิ่วเหยียนที่ไม่มีอารมณ์บนใบหน้า เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขามองมา รอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่งก็ผุดขึ้นช้าๆ บนริมฝีปาก
ภายในบรรยากาศหยุดนิ่ง หลิ่วเหยียนกำมือขึ้นเรียกหอกยาวขึ้นมาในพริบตา ปลายหอกชี้ตรงไปที่มู่เฉินพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ครั้งก่อนแกโชคดีหนีไปได้ แต่ครั้งนี้แกไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว”
“คนที่วิ่งหนีหางจุกตูดไป ไม่ใช่ข้านะ” มู่เฉินยิ้มบาง
ได้ยินคำพูดนั่น หลิ่วเหยียนก็ไม่ได้โกรธกลับเอ่ยเสียงนิ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะนาง แกคิดว่าข้าจะปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่รึ?”
เขาหมายถึงไฉ่เซียว ความจริงครั้งก่อนที่สู้กับมู่เฉิน เขาไม่ใช่จะสู้ต่อไม่ได้ แต่แค่รู้สึกถูกข่มขู่ที่เห็นไฉ่เซียวสังหารชื่อเสี่ย ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหนีไปอย่างน่าสมเพช ทำให้ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เพราะเขาเชื่อว่าตอนนั้นมู่เฉินก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน ดังนั้นหากการต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาก็จะเป็นคนหัวเราะในท้ายสุดแน่นอน
และสถานการณ์ตอนนี้ หากเขาสู้กับมู่เฉิน ไฉ่เซียวก็เข้ามาขวางไม่ได้ เพราะคนอื่นๆ คงไม่เต็มใจที่จะเห็นพวกเขาร่วมมือกันอย่างแน่นอน
มู่เฉินยิ้ม “งั้นดูท่าแกจะหาเรื่องข้าที่นี่ใช่ไหม?”
หลิ่วเหยียนยิ้มไม่แยแส จากนั้นก็หันไปหาคนอื่นๆ “ดูเหมือนข้าต้องลงมือก่อนแล้ว ทุกคนคงไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ?”
“ฮ่าๆ แขนขาเป็นของเจ้า ไม่มีใครหยุดเจ้าได้ แต่สหายจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ใช่ไก่อ่อนนะ หลิ่วเหยียนอย่าไปเตะแผ่นเหล็กจนเจ็บเท้าเข้าล่ะ” หงหยูแสร้งยิ้ม นางแมวยั่วสวาทตัวน้อยแห่งแดนปีศาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แม้นางดูเหมือนไม่ช่วยอะไรใครเลย แต่ชายใดที่ได้ยินคำพูดของนางก็จะรู้สึกไม่พอใจและจัดเต็ม
คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทว่าชัดเจนที่พวกเขายินดีที่จะเห็นหลิ่วเหยียนประมือกับมู่เฉิน เนื่องจากพวกเขารู้ว่าสถานการณ์หยุดชะงักไม่สามารถดำเนินไปตลอด ดังนั้นจึงเป็นความคิดที่ดีที่จะให้หลิ่วเหยียนรับเกียรติเบิกฤกษ์ก่อน
ขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในความเงียบ สายตาของไฉ่เซียวกลับเย็นชาลงพลางก้าวออกไปข้างหน้า
แม้นางจะก้าวออกไปข้างหน้าก้าวเดียว ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนมาที่นาง การเป็นคนลึกลับที่สุดที่นี่ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไฉ่เซียวนัก
ม่านตาของหลิ่วเหยียนหดเกร็งทันทีที่ไฉ่เซียวเดินออกมา ถ้าเวลานี้ไฉ่เซียวยังช่วยมู่เฉิน ก็จะเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์สำหรับเขาแน่นอน
“ฮ่าๆ แม่นาง ข้าคิดว่าเวลานี้ไม่จำเป็นต้องลงมือช่วยหรอกนะ?” ทว่าขณะที่หลิ่วเหยียนมีสีหน้าน่าเกลียดเพราะการกระทำของไฉ่เซียว ฟังยี่ที่เงียบมาตลอดก็ยิ้มบางมองไฉ่เซียวเอ่ยอย่างนุ่มนวล
“แล้วเจ้าจะทำอะไรได้บ้างถ้าข้าคิดลงมือ?” ไฉ่เซียวแค่นเสียงเย็น
ฟังยี่ยิ้ม “งั้นข้าคงทำได้เพียงขัดขวางเจ้า ยังไงก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่แหกกฎนะ”
เขาก้าวออกไป เสื้อผ้าสะพัดไหว มิติรอบตัวบิดเบี้ยวรุนแรงพร้อมกับระลอกคลื่นมิติปรากฏเลือนรางพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงน่าตกใจแผ่ออกมา
เมื่อหงหยูกับคนอื่นรู้สึกถึงแรงกดดันที่มาจากฟังยี่ ดวงตาก็ไหวระริกอย่างควบคุมไม่ได้ ดูจากการกระเพื่อมไหวนี้ ฟังยี่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาไปแล้ว
“แค่เจ้าเหรอ?” ไฉ่เซียวมองฟังยี่พร้อมกับนิ้วเรียวเปล่งแสงอีกครั้ง นิ้วเรียวที่ดูบอบบางของนางเปี่ยมด้วยพลังที่ทำให้จอมยุทธ์อย่างฟังยี่ยังรู้สึกหวาดกลัว
ขณะที่สายตาฟังยี่ที่มองไฉ่เซียวค่อยๆ ขรึมลง โยวหมิงที่อยู่เบื้องหลังไฉ่เซียวก้าวเท้าไปข้างหน้าหลายก้าว สร้างรูปแบบกับฟังยี่ขนาบไฉ่เซียวเอาไว้
“รวมข้าด้วยพอไหม?” โยวหมิงเอ่ยเสียงเรียบเฉยขณะแสงมืดมนพวยพุ่งออกจากร่างกาย ราวกับว่าดูดกลืนแสงในบริเวณนี้ เสียงต่ำพร่าของเขาทำให้คนฟังขนลุกชันเลยทีเดียว
คนจำนวนนับไม่ถ้วนมองภาพนี้อย่างตกตะลึง แม้แต่ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นๆ ก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ เห็นชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่าอันดับหนึ่งและสองที่ทรงอิทธิพลบนบันทึกมังกรหงส์จะมายืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้!
ในอดีตไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างฟังยี่กับโยวหมิงเลย
ฮา!
ความโกลาหลระเบิดขึ้น ถ้าความจริงนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าจะสร้างความตกตะลึงให้จอมยุทธ์รุ่นใหม่มากขนาดไหน เพราะฟังยี่กับโยวหมิงเป็นตำนานในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือเลยทีเดียว แต่ตอนนี้ตำนานทั้งสองกลับร่วมมือกันเพื่อต่อกรกับคนคนหนึ่ง มิหนำซ้ำนางยังเป็นหญิงสาวที่ดูเยาว์วัยอีกด้วย!
สีหน้าสงบนิ่งของมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปกับภาพนี้ เขาไม่คิดว่าการกระทำของไฉ่เซียวที่หวังจะช่วยเขาจะทำให้ฟังยี่กับโยวหมิงรวมตัวกันกำจัดนาง
“ผู้ชายสองคนรุมผู้หญิงคนเดียว อันดับหนึ่งและอันดับสองของบันทึกมังกรหงส์น่าขำแท้จริง” มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ว่าไฉ่เซียวเป็นคนลึกลับ แต่อย่างที่นางพูดเนื่องจากผนึกในร่างกายทำให้มีข้อจำกัดพลังที่นางสามารถใช้ได้ จากการประเมินของมู่เฉิน นางน่าจะสามารถเอาชนะได้หากสู้กับฟังยี่หรือโยวหมิงแค่คนเดียว แต่ถ้าสองคนรวมพลังกันละก็ แม้แต่ไฉ่เซียวก็ไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ
โยวหมิงเหลือบมองมู่เฉินอย่างไม่แยแสขณะเอ่ยเสียงแหบพร่า “แกไม่มีสิทธิ์มาสะเออะเรื่องนี้ ควรพูดหลังจากเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ก่อน นางอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะแก ถ้าแกแน่นัก ก็พูดหลังจากจัดการสถานการณ์ของแกได้ก่อนเถอะ ไม่งั้น…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองมู่เฉินอย่างเฉยเมย ในดวงตาไม่ได้ปรากฏแววดูถูกอะไร แต่แค่ไม่ได้มองมู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา “แกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด”
“งั้นหรือ?” แสงเข้มข้นรวมตัวกันในม่านตาสีดำของมู่เฉินขณะที่จ้องโยวหมิงเขม็ง
ทั้งบริเวณเงียบไป เพราะทุกคนไม่ได้คิดว่าสถานการณ์จะเกินเลยถึงจุดนี้ ซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นก็ฉลาดเลือกเอาตัวรอด ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของคนส่วนน้อยนี้ ยิ่งกว่านั้นสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะมองคนต่อสู้กัน
ไฉ่เซียวเอี้ยวหน้า เรือนผมปลิวสยายไปกับสายลม นางเหลือบมองโยวหมิงกับฟังยี่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่งดงามจนล่มเมืองได้ มากจนหญิงงามอย่างซูปี้เยี่ยและหงหยูยังด้อยกว่านางหลายขุม
ไฉ่เซียวเบนสายตาไปทางมู่เฉินพลางหัวเราะเบาๆ “ยุ่งยากเล็กน้อยในการจัดการกับสองคนนี้ แต่นับจากนี้พวกเขาก็ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้เช่นกัน ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปจัดการกับหลิ่วเหยียน และ…”
เรียวนิ้วของนางที่เปล่งประกายงดงามก็วาดไปที่โยวหมิงที่อยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงใสกระจ่างดังขึ้นทั่วบริเวณ
“เจ้ามาขวางคนหนึ่ง ส่วนข้าก็ฆ่าคนหนึ่ง ทำได้หรือไม่?”
สายตาตกตะลึงพุ่งตรงไปที่มู่เฉิน ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไฉ่เซียวถึงมีความมั่นใจในตัวมู่เฉินมากขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าหลิ่วเหยียนยากจะจัดการอย่างไรเลย ต่อให้มู่เฉินเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ ก็คงเป็นเรื่องบ้าระห่ำที่สุดที่คิดจะขัดขวางโยวหมิงได้ด้วยพลังที่มี
แต่มู่เฉินไม่สนใจกับสายตาตกตะลึงเหล่านั้น เขาจ้องมองไฉ่เซียว ไม่ได้เอ่ยกล่าวอะไร เพียงแค่หันหลังดวงตาจับจ้องไปที่หลิ่วเหยียน
“หนึ่งก้านธูปเพียงพอแล้ว”