การรวมตัวของจอมยุทธ์
เมืองหลงเฟิ่งตั้งอยู่ในใจกลางเขตหลงเฟิ่ง
ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากข่าวลือว่าจัตุรัสมังกรหงส์มีมรดกของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าอยู่ที่นั่น
สถานการณ์ในบริเวณนี้ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร ในสถานที่แห่งนี้ไม่มีสัตว์อสูรใดกล้าเข้ามาเนื่องจากเป็นสุสานของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงในอดีต
แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี แรงกดดันที่เหลืออยู่ก็ยังทำให้สัตว์อสูรเหล่านั้นที่ดูดซับแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าไม่กล้าเข้ามาใกล้
ดังนั้นบริเวณนี้จึงเงียบสงบโดยปกติ มากจนแม้แต่ไม่มีเสียงลมพัดราวดินแดนที่ตายไปแล้ว
แต่ความเงียบสงบก็ไม่ได้คงอยู่ในเวลานี้ กลับถูกแทนที่ด้วยความโกลาหล บนท้องฟ้าที่กำจายรัศมีโบราณ ร่างคนนับไม่ถ้วนเหาะเหินมาจากทุกทิศทางราวกับฝูงตั๊กแตนอัดแน่นเต็มท้องฟ้า ความโกลาหลทำให้ความเงียบในสถานที่แห่งนี้หายวับไปกับตา
ร่างแสงเหล่านั้นก็คือจอมยุทธ์ที่เข้ามาในเขตหลงเฟิ่ง แม้ว่าพวกเขาจะพบกับอันตราย แต่ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เช่นกัน ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ต่างรู้ว่าจะเกิดการต่อสู้น่าตื่นตะลึงระเบิดขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนคนที่มารวมตัวกันที่นี่ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง เสียงดังรวมตัวกันเป็นคลื่นเสียงพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้า ทำให้แม้แต่ชั้นเมฆหนายังกวนตัว
ฟิ้ว!
ขณะที่จำนวนคนในบริเวณนี้มาถึงจุดที่น่าตกใจ คลื่นหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกที่ขอบฟ้าไกลออกไป จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานผ่านขอบฟ้าราวกับอุกกาบาตพลิ้วลงบนยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งภายใต้สายตาตะลึงนับไม่ถ้วน
บึ้ม!
เมื่อร่างนั้นยืนบนยอดเขา รอยร้าวขนาดใหญ่ก็กระจายที่ใต้ฝ่าเท้า ในไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมไปทั่วยอดเขา ทำให้โยกคลอนคล้ายกับจะถล่มลงมา
แสงบนยอดเขาสลายลง ร่างใหญ่สูงราวห้าถึงหกจั้งก็ยืนจังก้า เขาสวมชุดเกราะหนาหนักพร้อมควงขวานใหญ่แผ่รัศมีแก่กล้าออกมา ดูราวกับยักษ์โบราณป่าเถื่อนที่องอาจอย่างยิ่ง
“นั่นติงเซวียนจากตระกูลจู้หลิง!”
เมื่อเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาในทันที เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ไร้ชื่อ กลับเป็นหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในภูมิภาคทางเหนือ
“ว่ากันว่าติงเซวียนครอบครองสระมังกรหงส์และสร้างกายามังกรพรางได้ ตระกูลจู้หลิงชำนาญในด้านการต่อสู้ด้วยกำลังกายอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีกายามังกรพรางก็ราวกับติดปีกให้พยัคฆ์ ดูท่าครั้งนี้อันดับในบันทึกมังกรหงส์ของเขาจะคราวขยับขึ้นแล้ว”
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ขณะที่ความปั่นป่วนโหมกระพือจากการปรากฏตัวของติงเซวียน เสียงลมสองสายก็ครางกระหึ่มบนท้องฟ้าไกลออกไป เสียงลมหวีดหวิวมาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าตกใจ
วาบ!
สองร่างจากด้านหน้าและด้านหลังเหาะเหินมาจากระยะไกล ไม่นานพวกเขาก็สวนกันบนท้องฟ้าขณะคลื่นหลิงทรงพลังกวาดออกมาปะทะกันเปรี้ยงปร้าง
ขณะที่คลื่นหลิงระเบิดออกก็กวาดหายนะไปทั่ว ร่างคนทั้งสองผละถอยจากกัน สุดท้ายก็พลิ้วลงบนยอดเขาคนละลูก
“คิกๆ พี่ซูมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นไม่น้อยนะเนี่ย แหมน้องสาวคนนี้ชักจะอิจฉาแล้วสิ” เมื่อแสงจางหายไป หงหยูในชุดสีแดงสดใสก็ปรากฏตัวพร้อมยิ้มจือปากเล็กน้อย รอยยิ้มของนางทรงเสน่ห์น่าดึงดูดนัก ทำให้สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้จ้องมองมาอย่างละเมอเพ้อพก
“น้องหงหยูก็ไม่เลวทีเดียว เจ้าฝึกคัมภีร์เทพปีศาจจนประสบความสำเร็จขั้นสุดแล้วใช่ไหม?” บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ร่างแสงอีกร่างก็เผยตัวออกมา นางเป็นโฉมงามสวมชุดขาวส่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ออกมา นางก็คือซูปี้เยี่ยแห่งยอดเขาหมื่นเทพนั่นเอง
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเผยตัวออกมา บรรยากาศในบริเวณนี้ก็ลุกฮือพร้อมกับสายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงมาทางพวกนาง ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ บางทีพลังของหญิงสาวสองคนนี้อาจไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่เสน่ห์ของพวกนางเป็นสิ่งที่แม้แต่อันดับหนึ่งในบันทึกมังกรหงส์อย่างฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะก็ไม่อาจเทียบได้
“ข้าอยากรู้ว่าพี่ซูสร้างกายาหงส์ฟ้าพรางสำเร็จไหม” หงหยูป้องปากพลางยิ้มแย้ม เสียงหัวเราะยั่วเย้าของนางจุดไฟปรารถนาในใจของคนอื่นๆ
ซูปี้เยี่ยยิ้มอย่างไม่ถือสา “อย่าบอกนะว่าน้องหงหยูอยากทดลองดูตอนนี้เลย?”
“ข้าก็อยากนะ แต่ถ้าเราต่อสู้กันตอนนี้ ข้ากลัวผลประโยชน์จะกลายเป็นของคนอื่นไป ตัวข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ข้าแค่เกรงว่าชื่อเสียงของพี่สาวในฐานะเทพธิดาไร้พ่ายจะเสียหายเอาน่ะสิ” หงหยูกลั้วหัวเราะ
หญิงสาวสองคนที่เป็นโฉมสะคราญ ชัดว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเลย แม้พวกนางจะพูดคุยสนิทสนมใกล้ชิดว่าเป็นพี่เป็นน้อง แต่อันที่จริงทั้งคู่ระแวงกันและกันอยู่ลึกๆ
พอได้ยินคำพูดอีกฝ่าย ซูปี้เยี่ยก็ส่ายหน้าเบาๆ นางรู้ว่าหงหยูรับมือยากเพียงใด จึงไม่พูดอะไรต่อ สายตาของนางกวาดออกไปหยุดอยู่ที่ติงเซวียนที่มาถึงก่อนแล้วก็ละออกไป
หลังการปรากฏตัวของหญิงสาวทั้งสองหงหยูและซูปี้เยี่ย บรรยากาศก็เริ่มร้อนรุ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเวลาผ่านไปจอมยุทธ์จำนวนมากที่มีคลื่นหลิงทรงพลังก็มาถึง แรงกดดันบางจางแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา ซึ่งเกิดจากการดูดซับเลือดมังกรและหงส์ฟ้าเอาไว้
เห็นชัดว่าจอมยุทธ์เหล่านั้นต่างได้สมบัติธรรมชาติที่มีแก่นเลือดมังกรแท่จริงกับหงส์ฟ้าประกอบอยู่ พวกเขาจึงมีคุณสมบัติเข้าสู่จัตุรัสมังกรหงส์ด้วยเช่นกัน
และในหมู่จอมยุทธ์เหล่านี้ หลิ่วเหยียนเป็นจุดสนใจมากที่สุด ทว่าหลังจากที่เขาปรากฏตัวใบหน้าก็มืดครึ้ม เขาพลิ้วตัวลงบนยอดเขาพร้อมกับคลื่นหลิงมหาศาลพลุ่งพล่านรอบตัว รังสีสังหารน่ากลัวกระจายออกมาจุดความหวาดผวาขึ้นในใจของคนอื่นๆ
แต่ท่าทางของเขากลับทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้น
“ว่ากันว่าหลิ่วเหยียนแพ้มู่เฉินในการชิงสระมังกรหงส์… สระมังกรหงส์แห่งนั้นก็ถูกมู่เฉินครอบครองไป”
“มู่เฉิน? ไอ้เด็กที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสามนนั่นนะ?”
“เขานั่นแหละ อย่าคิดว่าพลังของเจ้านั่นอยู่ระดับจื้อจุนขั้นสาม ข้าก็อยู่ที่นั่นตอนที่มู่เฉินกับหลิ่วเหยียนฟัดกัน ไอ้นั่นไม่ธรรมดาจริงๆ นะ แม้หลิ่วเหยียนจะเรียกใช้ทักษะเทห์สวรรค์ก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้”
“ไม่ควรด่วนตัดสินคนจากภายนอกจริงๆ มิน่าล่ะอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงส่งเขามา”
“…”
ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น ใบหน้าของหลิ่วเหยียนก็อดกระตุกไม่ได้ ไอมืดครึ้มเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม รังสีสังหารรอบพวยพุ่งข้นคลั่กเลยทีเดียว
ซูปี้เยี่ยกับหงหยูอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหลิ่วเหยียนที่มีใบหน้ามืดครึ้ม พวกนางก็ได้ยินข่าวมา แต่ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อ เพราะชื่อเสียงของหลิ่วเหยียนโด่งดังมากเมื่อเทียบกับมู่เฉินที่เป็นจอมยุทธ์ไร้ชื่อ ดังนั้นหากพวกเขาต่อสู้กัน ผลลัพธ์ก็บอกได้ชัด
แต่สุดท้ายความเป็นจริงกลับทรยศจินตนาการของพวกนาง หลิ่วเหยียนที่น่าจะชนะกลับพ่ายแพ้ในการประลองแย่งสระมังกรหงส์…
“มู่เฉินทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?” สองสาวมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่ในใจกลับสั่นไหว ก่อนหน้าที่หอหลงเฟิ่ง พวกนางแค่ประหลาดใจไปกับความกล้าที่มู่เฉินแสดงออกมา แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสามเมื่อมองแต่ผิวเผิน ไม่เพียงแต่จะมีความกล้าหาญเขายังมีพลังพอจะทำอีกด้วย
หงหยูกับซูปี้เยี่ยเลื่อนดวงตาก่อนจะหดเกร็งฉับพลัน สายตาพวกนางพุ่งตรงไปที่ยอดเขาสองลูกที่ไกลออกไป บนนั้น มิติบิดเบี้ยวร่างคนสองคนก็ปรากฏตัวออกมา
การปรากฏตัวกะทันหันของทั้งสองไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า พวกเขามาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการรบกวนใด แต่ความเงียบที่พิลึกนั่นกลับทำให้จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนต่างใจสั่นกันถ้วนหน้า
“นั่นมัน…”
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปพร้อมกับเสียงอุทานอย่างควบคุมไม่อยู่ดังขึ้น ส่วนใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ที่กำจายรัศมีแก่นเลือดแท้จริงของมังกรและหงส์ฟ้าก็เปลี่ยนไปพร้อมกับแววหวาดกลัวสุดขีดวาบในดวงตา
“นั่น…อันดับสองโยวหมิงแห่งจวนยมโลกและอันดับหนึ่งฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ!”
“ในที่สุดพวกเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!”
การปรากฏตัวของทั้งสองก่อให้เกิดเสียงร้องตกใจนับไม่ถ้วน เทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ทั้งสองคนนี้คือยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริง
ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน ทั้งสองยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขา สีขาวกับสีดำดูเหมือนจะเป็นสีที่โดดเด่นที่สุดในบริเวณนี้ ทำให้ทุกคนหม่นหมองไปภายใต้รัศมีของพวกเขา
ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ ทั้งสองคนราวกับอนุเสาวรีย์ที่ไม่มีอัจฉริยะคนใดไปไกลเกินพวกเขาได้
โดยรอบเงียบลงเนื่องจากการปรากฏตัวของสองจอมยุทธ์ ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาถูกปกคลุมด้วยรังสีคุกคามของทั้งสอง
ฟิ้ว!
ทว่าความรู้สึกกดดันเยือกเย็นก็คงอยู่ได้ไม่นาน ก่อนจะสลายตัวไปจากเสียงมวลลมอัดอากาศ ร่างสองร่างเหาะข้ามขอบฟ้าท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน
ทั้งสองยังมาไม่ถึง ทว่าเสียงเย็นเยือกใสกระจ่างก็ดังก้องท้องฟ้าบริเวณนี้
“ไอ้คนฉวยโอกาสยังกล้าเผยหน้าออกมาอีกเรอะ คิดว่าข้าจัดการแกไม่ได้จริงๆ หรือไง?”
เมื่อเสียงใสกระจ่างดังขึ้น ตราประทับก็เหมือนจะสร้างขึ้นในมือ นางชี้นิ้วออกไป พริบตามิติก็ฉีกจากกัน ลำแสงเจ็ดสีพุ่งผ่านขอบฟ้าราวกับฟ้าผ่าก็มิปาน
เมื่อมองไปยังทิศทางปลายอีกด้านของลำแสงเจ็ดสี ทุกคนต่างก็สูดรัศมีเย็นยะเยือกเต็มปอด นั่นเป็นเพราะพวกเขาตระหนักว่าปลายอีกด้านของลำแสงเจ็ดสีแท้จริงก็คืออันดับแรกของบันทึกมังกรหงส์—ฟังยี่แห่งหมู่ตึกเทวะ!
ใครกันที่โกรธกริ้วขนาดกล้าโจมตีฟังยี่ที่แข็งแกร่งที่สุดขณะเพิ่งปรากฏตัว?