ฝ่ามืออสูรโลหิต
ตึง! ตึง!
ในบริเวณที่เงียบสงบ คทาทองคำราวกับพายุขณะพุ่งโจมตีร่างใหญ่ที่ยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน แต่ทันทีที่คทาเหล่านั้นเข้ามาในรัศมีแสงสีทอง พวกมันทั้งหมดก็ระเบิดไม่ยั้ง…
แม้ว่าการโจมตีจะทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่สามารถแตะร่างใหญ่ได้เลย
ซื้ดดด!
เสียงสูดลมหายใจเย็นดังจากทั้งสองฝั่งหลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่ ใครจะคิดว่าท่าจบศึกของฉิงเปยที่ใช้เวลาเตรียมการอย่างยาวนานกลับถูกมู่เฉินสกัดไว้ได้ง่ายๆ
ก่อนหน้าพวกเขาคิดว่าการประลองคงจะตัดสินผลได้ แต่มู่เฉินกลับสอนพวกเขาถึงความหมายของคำว่าล้ำลึกยากหยั่งถึง
ฟู่
ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์อย่างจิ่วโยวและเลี่ยซันรู้สึกโล่งใจเงียบๆ ขณะที่เทียนจิ้ว หลิงถง และซุ่ยนอนฉายแววอัศจรรย์ใจในดวงตา เห็นชัดว่าการแสดงศักยภาพของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา
คนเดียวที่มีท่าทางสงบนิ่งอยู่ได้ก็คือประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ แสงรายล้อมรอบร่างกระเพื่อมเล็กน้อย เขากำลังสังเกตการต่อสู้นี้อยู่เช่นกัน
ขณะที่ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์หายใจโล่งขึ้น พวกเฒ่าเร้นกระบี่ฝั่งแดนร้อยสงครามกลับมีสีหน้าน่าเกลียดสุดๆ รอยยิ้มที่เคยมีหดหายแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดในดวงตา การจัดการมู่เฉินยากเย็นเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้เสียอีก
ปัง! ปัง!
ในที่สุดเสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่อง ก็ค่อยๆ เบาบางลง คทาทองคำที่ปกคลุมท้องฟ้าแสดงสัญญาณอ่อนกำลังลงจนสุดท้ายหายไปหมดสิ้น
ทั่วบริเวณตกอยู่ในความเงียบงันที่แท้จริง
ฉิงเปยยืนอยู่บนร่างอรหันต์หลัวฮั้น สีหน้าน่าเกลียดเมื่อมองร่างใหญ่ที่ไม่เป็นอะไรเลย จากนั้นเขาก็สูดหายใจลึกข่มอาการตกใจและเกรี้ยวกราดในใจไว้ “สมกับเป็นคนที่ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เลือกด้วยตัวเอง ทรงพลังจริงๆ”
เขาไม่ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เนื่องจากตอนนี้เขาวางมู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเท่าเทียมกันแล้ว ไม่กล้ามีความประมาทใดอีก
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ฉิงเปย ทว่าสายตาคมกริบยิ่งนัก เขาประสานมือทั้งคู่พลางเอ่ยด้วยเสียงเบา “คงไม่มีมารยาทหากไม่ตอบแทน เจ้าก็ลองรับกระบวนท่าของข้าสักหน่อยละกัน!”
ตู้ม!
ฝ่ามือของร่างเทพสุริยะประสานกัน ขณะที่ดวงอาทิตย์โชติช่วงตรงกลางหว่างคิ้วกำจายแสงพร่างพราวมากขึ้น จากนั้นแสงสีทองในรูปของเหลวก็ระเบิดออกมา หมุนวนรอบร่างใหญ่ก่อนจะเทลงไปในเสาปีศาจ ต้นเสาที่อัดแน่นด้วยรังสีร้ายกาจก็เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า ของเหลวสีทองเหมือนเปลี่ยนเป็นผลึกสีทองปกคลุมอยู่บนยอดเสาปีศาจ แสงสีทองแล่นแปลบปลาบ ราวกับไม่สามารถทำลายลงได้
ตึง!
ร่างทองคำกระทืบเท้าเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองทะยานขึ้น อึดใจก็มาปรากฏเหนือฉิงเปยขณะที่เสาปีศาจที่เปลี่ยนเป็นเสาสีทองฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงพร้อมแสงสีทองเจิดจ้า
ปัง!
แสงสีทองสว่างวาบขณะรอยร้าวสีดำจำนวนมากเกิดขึ้นบนมิติแตกร้าวราวกับแก้วแตก เมื่อมู่เฉินฟาดเสาปีศาจลงมา เขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างจนถึงขีดสุด บวกกับคลื่นหนึ่งตะวันทักษะของร่างเทพสุริยะ พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นทะลุเพดานไปเลยทีเดียว
แสงสีทองสะท้อนเต็มดวงตาของฉิงเปย ใบหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปรุนแรงพร้อมกับกัดฟัน เขากลืนยาเม็ดที่ซ่อนอยู่ในโพรงปากลงไป
ตู้มมม!
คลื่นหลิงมหาศาลระเบิดออกมาจากร่างฉิงเปย ขณะที่เขาวาดตราประทับอย่างรวดเร็วพร้อมตะโกนออกมาดังก้องทั่วฟ้าดิน “ภูเขาพิทักษ์!”
คลื่นหลิงเชี่ยวกรากครางกระหึ่มขณะเปลี่ยนเป็นภูเขาโปร่งแสงที่ด้านนอกร่างเทห์สวรรค์ ตรงยอดเขามีตำหนักทองคำใหญ่โตตั้งอยู่อย่างลึกลับ
แต่เสาปีศาจไม่ได้สนใจ ยังคงฟาดลงมาบนภูเขาอย่างต่อเนื่องด้วยพลังน่าตกใจ
ปัง!
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มองเห็นรอยร้าวเป็นสายปรากฏขึ้นบนภูเขา แสงเจิดจ้าระเบิดออกจากรอยแตก จากนั้นภูเขาก็ทลายตัวลง เสาทองคำฟาดไม่ยั้งผ่านรอยแตกนั่น
ปัง! ปัง!
ชุดระเบิดพล่านไปต่อเนื่องจากภูเขามหึมา แต่การป้องกันของฉิงเปยก็น่าสะพรึงนัก ทุกครั้งที่เสาปีศาจทองคำฟาดลงมา ผลึกทองคำบนยอดเสาก็จะแตกร้าวเล็กน้อย
ทุกคนตื่นตระหนกกับภาพที่เห็นนี้ พวกเขาคิดว่าการประลองสองยกก่อนน่าสนใจยิ่งกว่าอะไร ส่วนการประลองยกสามคงจะน่าเบื่อ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้บอกพวกเขาว่าการประลองยกสามนี้กลับเป็นศึกอันตรายที่สุด
เสาปีศาจทองคำยังคงฟาดภูเขาให้แยกออกจากกัน ดูจากการเคลื่อนไหวแล้ว เหมือนจะบังคับให้ฉิงเปยต้องสละที่มั่นออกมา สร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้
ขณะที่ภูเขาถล่มลงจนถึงกึ่งกลาง ร่างเทห์สวรรค์ที่ซ่อนอยู่ภายในก็เผยให้เห็น ฉิงเปยยังยืนนิ่งอยู่บนศีรษะของร่างเทห์สวรรค์
“เจอตัวแล้ว!” แววโหดเหี้ยมพวยพุ่งในนัยน์ตาของมู่เฉิน ขณะที่เร้าพลังสุดท้ายของเสาผลึกทองคำที่แตกร้าวมากกว่าครึ่งฟาดใส่ฉิงเปยอย่างไร้ปรานี
ฉิงเปยก็เงยหน้าขึ้นในเวลานี้ รัศมีในดวงตาพร่างพราวยิ่งขึ้นในตอนนี้ ตราประทับในมือเปลี่ยนไปพร้อมกับคทาทองคำบนร่างอรหันต์หลัวฮั้นถูกผลักดันขึ้นไปปะทะกับเสาปีศาจทองคำอย่างหนักหน่วง
เคร้ง!
แสงสีทองระเบิดจากจุดปะทะกัน หัวใจของมู่เฉินกลับโลดขึ้นเพราะเขารู้สึกว่าครั้งนี้พลังของฉิงเปยแก่กล้ามากขึ้น
การเคลื่อนไหวบดขยี้ลงมาของเสาปีศาจหยุดลงขณะคทาทองคำสั่นสะท้าน ทำให้ผลึกทองคำบนยอดเสาปีศาจแตกร้าวจนหมด
เสาปีศาจกระเด็นออกไป มือหนึ่งของร่างเทพสุริยะก็คว้าจับเอาไว้แน่น สายตาของมู่เฉินเคร่งเครียดลงยามเมื่อมองไปที่ฉิงเปย
เสื้อคลุมของฉิงเปยกระพือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น สายตาวูบไหวจับจ้องที่มู่เฉิน ขณะที่คลื่นหลิงในร่างกายระเบิดออกไม่ยั้ง
ตู้มมม!
ภูเขาที่สร้างจากคลื่นหลิงพังทลายเปลี่ยนประกายแสง มีเพียงคลื่นหลิงของฉิงเปยที่เพิ่มขึ้นแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดเสียงอุทานนับไม่ถ้วนดังขึ้น
“ความหนาแน่นของคลื่นหลิงนี่… ฉิงเปยบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่แล้วเรอะ?”
“ต่อให้รัศมีไร้ระเบียบไปบ้าง แต่เขาก็แข็งแกร่งขึ้น!”
“หรือว่าเขาจะปกปิดพลังของตัวเองไว้? น่าสะพรึงเกินไปรึเปล่า!”
“…”
เสียงฮือฮาดังออกมาขณะที่แต่ละคนอึ้งทึ่งไปกับพลังที่เพิ่มขึ้นฉับพลันของฉิงเปย
“รัศมีของเขาไร้ระเบียบและคลื่นหลิงก็รุนแรงเกินไป นี่ไม่ใช่สัญญาณบรรลุพลังตามธรรมชาติ เขาต้องกินยาอะไรบางอย่างแน่” แสงสายหนึ่งวูบขึ้นในดวงตาของหลิงถง เขามองเห็นสภาพร่างกายของฉิงเปยโดยการมองวูบเดียวพลางเอ่ยด้วยเสียงเย็น
เทียนจิ้วขมวดคิ้ว แดนร้อยสงครามไร้ยางอายกับความกระหายอยากชัยชนะ พวกเขาไม่รู้หรือว่ามีผลข้างเคียงเกิดขึ้นจากการบรรลุด้วยวิธีนี้? พูดถึงระยะยาวแล้วนี่ไม่คุ้มเลย
บนท้องฟ้า มู่เฉินระบายลมหายใจบางเบาขณะที่ขมวดคิ้วแน่นมองเงาร่างของฉิงเปย ไอ้นี่จัดการยากจริงๆ ขนาดกระบวนท่านี้ของเขายังรับไว้ได้
บนร่างอรหันต์หลัวฮั้น ฉิงเปยค่อยๆ ลอยตัวขึ้น ขณะที่สายตาคมกริบมองไปที่มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสองคนเดียวที่สามารถบีบให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้”
“เพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้า ข้าจะใช้กระบวนท่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเอาชนะเจ้า”
เมื่อเสียงฉิงเปยจบลง มือทั้งคู่ของเขาก็ประสานกัน ฝ่ามือสั่นเทิ้มขณะที่หยดเลือดผุดขึ้นมาจากรูขุมขนบนมือ เมื่อเลือดหลั่งไหล ก็ย้อมมือทั้งสองข้างเป็นสีแดงฉานดูโหดร้ายไม่น้อย
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ เสียงอุทานตะลึงใจก็ดังขึ้น
“นั่น… วิชาเทพชั้นยอดของสวรรค์พิลาลส—ฝ่ามืออสูรโลหิต?!”
“เมื่อวิชานี้ถูกใช้ มือทั้งสองข้างจะพิการไปหนึ่งเดือนเลยนะ ฉิงเปยเทหมดหน้าตักแล้วจริงๆ…”
“ครั้งนี้มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแน่”
“…”
ภายใต้เสียงอุทาน มือของฉิงเปยก็ยิ่งแดงเข้มขึ้น ร่องรอยความเจ็บปวดวาบผ่านหว่างคิ้วของเขา เลือดเข้มข้นกระจายไปทั่วทั้งฝ่ามือ กระทั่งท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีแดง
สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเรียดลงทีละน้อย เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายใหญ่หลวงจากรอยเลือดนั่น
“จะสู้กระบวนท่าสุดท้ายแล้วเรอะ”
มู่เฉินขมวดคิ้วแน่น ขณะเดียวกันแววเหี้ยมเกรียมก็วาบขึ้นในดวงตา เขาเคยผ่านสถานการณ์อันตรายมานับไม่ถ้วน การเสี่ยงชีวิตไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ตรงกันข้ามนี่กลับกระตุ้นความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ในกระดูกของเขาขึ้นมา
ฮา
มู่เฉินหายใจลึกพร้อมกับมือทั้งคู่ลดลงต่ำ คลื่นหลิงลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วงพวยพุ่งขึ้นมาบนมือข้างขวาขณะคลื่นหลิงที่มีสายฟ้าไร้รูปร่างแล่นแปลบปลาบบนมือข้างซ้าย
คลื่นหลิงสองส่วนที่มีคุณสมบัติต่างกันปรากฏขึ้นในเวลานี้
จุดจื้อจุนไห่เลือนรางเผยขึ้นที่เบื้องหลังเขา ซึ่งแยกออกเป็นสองสีแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คลื่นพลังงานนี้ดึงดูดสายตาอัศจรรย์ใจนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าพวกมันคืออะไรก็ถึงกับตกตะลึงในใจ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าภายในจุดจื้อจุนไห่นั่น มีคลื่นหลิงที่มีคุณลักษณะต่างกันสองชนิดอยู่ภายใน
ชายหนุ่มที่มีชื่อว่ามู่เฉินรวมคลื่นพลังงานพิเศษสองชนิดไว้กับคลื่นหลิงของเขา!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเผชิญหน้ากับฉิงเปยได้ทั้งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสองเท่านั้น!
แต่เพียงอย่างเดียวนี้ อาจไม่พอที่จะทำให้เขาสามารถรับมือกับการโจมตีสุดพลังของฉิงเปยได้
ท้องฟ้าที่ฉิงเปยยืนอยู่เปลี่ยนเป็นสีแดง กระทั่งดวงตาก็มีสีไม่ต่างกัน อึดใจมือทั้งคู่ที่ประสานกันก็ค่อยๆ แยกออก บนฝ่ามือมีรอยแผลที่กลายเป็นอักขระประหลาดที่ทำให้หัวใจผู้พบเห็นเต้นไม่เป็นส่ำ
ฉิงเปยสูดอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แววตาคมกริบขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็ซัดฝ่ามือทั้งคู่ออกไป!
ตู้ม!
กลิ่นคาวเลือดในบริเวณนี้รวมตัวกันอย่างป่าเถื่อน ก่อตัวเป็นอสูรโลหิตมหึมาที่เบื้องหลังฉิงเปย จากนั้นฝ่ามือขนาดใหญ่พันจั้งที่ดูราวกับภูเขาก็แผ่ปกคลุมด้วยคลื่นกระหายเลือดน่าขนลุก
หลายคนถึงกับกลั้นลมหายใจในเวลานี้เลยทีเดียว
ขณะที่กลิ่นเลือดเชี่ยวกรากซัดสาด มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นทันที มือกำเข้าพร้อมกับม่านตาข้างหนึ่งลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วง อีกข้างหนึ่งสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ
ส่วนภายในจุดจื้อจุนไห่ที่อยู่เบื้องหลังก็เกิดเสียงมังกรและช้างคำรามดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน