สำนักสายฟ้าปีศาจ
เมื่อกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าสู่เขตแดนสำนักสายฟ้าปีศาจ
กลับไม่มีการตอบโต้อย่างที่คิดไว้ นอกจากนี้สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าก็คือกองทัพป้องกันของเหล่าเมืองหน้าด่านต่างถอยออกไปหมด
สถานการณ์ไม่ปกตินี้ทำให้จิ่วโยวกับมู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ แต่จากนั้นไม่นานพวกเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักสายฟ้าปีศาจไม่ได้ถอยเพราะหวาดกลัว แต่กำลังรวบรวมกำลังเพื่อระเบิดออกมาในทีเดียว
“ดูท่าว่าพวกมันตั้งใจจะสู้กับเราที่เชิงภูเขาเหลยหมัวนะ” จิ่วโยวยิ้มบาง ดวงตาหงส์ไม่มีแววหวาดกลัวใดๆ นางสะบัดมือลงเบาๆ นำทัพเคลื่อนไปข้างหน้า
ครึ่งวันต่อมา กองทัพก็ชะลอตัวลง เนื่องจากที่ราบเบื้องหน้าได้เห็นจุดสิ้นสุดแล้ว ท้องฟ้าบริเวณนั้นมืดครึ้ม ไม่มีต้นไม้เขียวชอุ่มอยู่ตามแนวเทือกเขาแม้แต่ต้นเดียว มีเพียงเสียงฟ้าคำรามดังอย่างต่อเนื่อง
เสียงฟ้าคำรามกึกก้องนี้ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากบนผืนฟ้า แต่มาจากใต้ผืนดิน ขณะที่ส่งเสียงฟ้าคะนอง พื้นโลกก็สั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ภูเขาสีดำสง่างามประหนึ่งยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ภูเขาที่ดำมืดนี้ราวกับไม่อาจทำลายได้
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่อหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยืนอยู่เงียบๆ ลำแสงมากมายก็พวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทางเบื้องหลังพวกเขา สร้างแนวเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบไปทั่วบริเวณ
ทั้งหมดนี่คือกองทัพเสริมของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
มู่เฉินยืนอยู่ด้านหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์พร้อมกับหลับตาลง แม้พลังสายฟ้าจะแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงทรงพลังนับไม่ถ้วนอย่างเบาบาง
เพราะที่นี่คือกองบัญชาการสำนักสายฟ้าปีศาจ
จิ่วโยวยกสายตาขึ้นขณะที่เสียงเย็นดังไปทั่วบริเวณ “ซ่อนตัวอยู่นาน ไม่เกินไปหน่อยหรือที่จะซ่อนตัวต่อไป?”
“ฮ่าๆ สมกับเป็นผู้บัญชาการจิ่วโยว วีรสตรีจริงๆ”
เมื่อสิ้นเสียงจิ่วโยว เสียงฟ้าคำรามก็ดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก จากนั้นสายฟ้าเจิดจ้าก็พุ่งพรวดออกมาจากภูเขาเหลยหมัว
สายฟ้าไหลบ่าลงจากขอบฟ้าทั่วสารทิศ ท่ามกลางสายฟ้าแวววาวร่างคนจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นในพริบตา คลื่นหลิงไร้ขีดจำกัดที่ถูกกดทับไว้ก่อนหน้าก็ปลดปล่อยออกมาไม่ยั้ง วินาทีนั้นแม้แต่ฟ้าดินก็ยังไร้สีสันลง
ครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์บนท้องฟ้ามีคลื่นหลิงไม่เข้ากับสำนักสายฟ้าปีศาจ เห็นชัดว่าพวกไม่ใช่สมาชิกของที่นี่ ดูจากท่าทางแล้ว สำนักสายฟ้าปีศาจก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับจิ่วโยวเลย
จิ่วโยวชักชวนกองทัพใต้อาณัติสำนักเหล่านี้โจมตีสำนักสายฟ้าปีศาจ ส่วนสำนักสายฟ้าปีศาจเองก็ดึงกองทัพอื่นๆ มาร่วมด้วยช่วยกันตีหอวิหคโลกันตร์ให้ตายในครั้งเดียว
ตอนนี้น่าจะมีขั้วอำนาจเจ็ดถึงแปดส่วนในทางทิศตะวันตกเฉียงใต้มารวมตัวกันที่นี่ แค่การรวมตัวแบบนี้ก็สามารถก่อสงครามใหญ่ได้แล้ว
สายตาของมู่เฉินจ้องไปยังใจกลางที่มีสายฟ้ารุนแรงที่สุด ที่เบื้องหน้าสายฟ้ามีร่างคนคนหนึ่งกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เขามีร่างกายแข็งแกร่งสวมชุดเกราะสีเทายืนกอดอกอยู่ สายฟ้าสีเทาดำแล่นแปลบปลาบอยู่บนพื้นผิวขณะที่พลังงานคุกคามทรงพลังแผ่ออกมาโดยรอบ กระจายไปทั่วฟ้าดิน
ในสำนักสายฟ้าปีศาจ นอกจากเจ้าสำนักฉิงเทียนกังแล้วจะมีจอมยุทธ์ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้อีกหรือ?
ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ กองทัพหลายกองทัพตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นร่างแข็งแกร่งที่ราวกับเทพปีศาจ แสดงให้เห็นว่าชื่อของฉิงเทียนกังแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจไม่ได้กระจ้อยร่อยเลย มากเสียจนชื่อเสียงเลื่องลือยิ่งกว่าจิ่วโยวในระดับหนึ่ง เนื่องจากตัวจิ่วโยวหายไปในภูมิภาคนี้มาหลายปี
“ข้าได้ยินมานานถึงความงามของผู้บัญชาการจิ่วโยว วันนี้ข้าได้เห็นกับตัวเอง เสียงลือไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลย แต่การต่อสู้เป็นเรื่องของบุรุษ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้าทำให้ข้าไม่อยากลงมือเลย” สายตาของฉิงเทียนกังพุ่งตรงไปที่จิ่วโยว ขณะเสียงหัวเราะกังวานราวกับฟ้าร้อง
จิ่วโยวยิ้มอ่อนเมื่อได้ยินคำพูดนั่น จากนั้นก็ย่างก้าวไปข้างหน้า ทุกฝีก้าวเกิดเสียงร้องใสกังวานก้องฟ้าดิน ขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวแผ่ปกคลุมบริเวณนี้ ขอบฟ้าเบื้องหลังนางราวกับก่อภาพร่างวิหคยักษ์สีดำเลือนรางที่ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้
เสียงร้องใสดังก้องขจัดแรงกดดันที่มาจากฉิงเทียนกังทั้งหมด
“วิหคอนธโลกันตร์?”
สายตานับไม่ถ้วนในบริเวณนี้จับจ้องไปที่วิหคสีดำด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์ คนจำนวนมากรู้ว่าจิ่วโยวมาจากเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มีไม่มากนักที่รู้ว่านางวิวัฒนาการกลายเป็นเทพอสูรแล้ว
ดวงตาของฉิงเทียนกังหดลงเมื่อมองเห็นวิหคสีดำ ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง แม้จิ่วโยวจะมีขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่เท่านั้น ทว่าด้วยพลังของเทพอสูรแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้ายังยากในการจัดการ เพราะพลังชีวิตทรงพลังของเทพอสูรนั้นเหนือกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว เมื่อต่อสู้กันก็ต้องได้เปรียบอย่างแน่นอน
“ผู้บัญชาการจิ่วโยว เจ้าคิดจะสู้กับสำนักสายฟ้าปีศาจจนตายไปข้างเลยรึไง?” ฉิงเทียนกังเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าน่าจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์หากที่จะสู้กันแบบนี้ แม้ตอนนี้เราสองฝ่ายจะเปิดศึกกัน แต่เป้าหมายอื่นที่ดีกว่าสำนักสายฟ้าปีศาจมีอีกเยอะนะ”
“ทำไม? เกิดกลัวขึ้นมาตอนนี้รึไง?” จิ่วโยวเอ่ยเยาะด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าไม่อยากสู้ ก็มอบภูเขาเหลยหมัวมาซะ แล้วข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าถอนทัพไป”
สายตาของฉิงเทียนกังเย็นเยือกลง “เจ้าสำนักคนนี้อุตส่าห์ใจดีไม่สร้างความอับอายให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักกาลเทศะ คิดจริงหรือว่าสำนักสายฟ้าปีศาจของข้าเป็นพวกขี้แพ้?”
“ขี้แพ้หรือไม่ เดี๋ยวได้รู้หลังจากที่สู้กัน” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเบา
“ดูท่าเจ้าตั้งใจจะหาเรื่องสำนักสายฟ้าปีศาจของข้าแล้ว ก็ดี ถ้าข้าทำลายหอวิหคโลกันตร์ได้ที่นี้ก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักสายฟ้าปีศาจได้เช่นกัน!” ฉิงเทียนกังแค่นเสียงขณะที่ดวงตาสาดไอเย็นเยือก เขารู้ดีว่าชื่อเสียงของสำนักสายฟ้าปีศาจจะเพิ่มขึ้นทบทวีหากพวกเขาทำลายหอวิหคโลกันตร์ได้ ในเวลานั้นเขาอาจจะใช้ก้าวกระโดดนี้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับหุบเขาหมื่นศาตรา สำนักศพปีศาจและพิลาลสสวรรค์ ผงาดขึ้นเป็นขั้วอำนาจสูงสุดอันดับที่สี่ของแดนร้อยสงครามได้
และความทะเยอทะยานที่มีนี้ ก็คือเหตุผลที่เขาพยายามรวบรวมกองทัพน้อยใหญ่ เพื่อเตรียมเปิดกับหอวิหคโลกันตร์ด้วยความได้เปรียบทางด้านสมรภูมิที่ตั้ง
“กลัวว่าเจ้าจะไม่มีโชคพอได้ชื่นชมน่ะสิ” จิ่วโยวเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นก็จ้องมองฉิงเทียนกังเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวมานาน งั้นหอวิหคโลกันตร์ของข้าจะเล่นด้วยจนสุดเลย”
“งั้นหรือ?”
ฉิงเทียนกังเค้นเสียงพลางเบนสายตาไปหยุดอยู่ที่มู่เฉินที่ยืนอยู่ทางด้านหลังจิ่วโยว “ข้าได้ยินเรื่องความปั่นป่วนที่หอวิหคโลกันตร์ทำไว้ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มาบ้างนะ เจ้าหนูนั่นคงเป็นแม่ทัพคนใหม่ของหอวิหคโลกันตร์ใช่ไหม?”
“ฮ่าๆ มู่เฉินทักทายเจ้าสำนักฉิง” มู่เฉินยิ้มพร้อมกับประสานมือคำนับ
“ข้าได้ยินมาว่าชื่อเสียงของหน่วยรบวิหคโลกันตร์ยิ่งใหญ่ขึ้นในช่วงนี้นะ” ฉิงเทียนกังยิ้มตาหยีขณะมองมู่เฉิน ราวกับงูแลบลิ้นแผล็บๆ “ในอดีต ทุกคนเรียกหน่วยรบวิหคโลกันตร์ว่าเป็นแหล่งรวมพวกกากๆ ดังนั้นข้าก็อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เจ้าทำมานี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“เจ้าสำนักฉิงต้องการอะไรหรือ?” มู่เฉินยิ้ม
ฉิงเทียนกังโบกมือด้วยสีหน้าไม่แยแส
ครืน!
ที่เบื้องหลังเกิดเสียงฟ้าคำรามต่ำพร่าฉับพลันในสายฟ้าสีเทาดำ อึดใจสายฟ้าก็ค่อยๆ กระจายตัวออกกองทัพในชุดเกราะสีเทาดำปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบเบื้องหลังฉิงเทียนกัง
นอกเหนือจากนี้เมื่อกองทัพปรากฏขึ้น ความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงก็ระเบิดออกทันใด ดวงตาภายใต้ชุดเกราะโลหะสีดำราวกับอสูรร้ายเลยทีเดียว
“นี่คือหน่วยรบปีศาจสายฟ้าแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจ ทัพนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อยเลย” ถังปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักหน่วงที่เบื้องหลังมู่เฉิน
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินทัพเขาก็พอมีความรู้เกี่ยวกับสำนักสายฟ้าปีศาจมาบ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับทัพที่เรียกว่าหน่วยรบปีศาจสายฟ้า นี่เป็นกองทัพที่สำนักสายฟ้าปีศาจปลุกปั้นมากับมือ ในบางแง่มุม พลังต่อสู้ของกองทัพนี้ไม่ด้อยไปกว่าหน่วยรบวิหคโลกันตร์เลย
มู่เฉินจ้องไปที่หน่วยรบปีศาจสายฟ้า จากนั้นดวงตาก็หดเกร็ง เนื่องจากเขาเห็นร่างคนคนหนึ่งย่างเท้าออกมาที่แถวหน้าสุดของกองทัพ
คนผู้นั้นสวมชุดสีเทาดำ ทรงผมดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่หน้าตานับว่าหล่อเหลาเอาการ เว้นแต่ริมฝีปากบางเฉียบราวกับใบมีด
“ฮ่าๆ ข้าผู้อาวุโสแห่งสำนักสายฟ้าปีศาจ—ฉิงหลิง” เมื่อชายคนนั้นปรากฏตัว ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้มู่เฉิน
แต่เมื่อมู่เฉินได้ยินชื่อนั่น เขาก็ต้องหรี่ตาลง ในข้อมูลที่เขารู้ก็มีฉิงหลิงอยู่ด้วย กล่าวว่าชายคนนี้เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสุงสุดของสำนักสายฟ้าปีศาจที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม ซ้ำยังเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบปีศาจสายฟ้าอีกด้วย ในหลายปีที่ผ่านมาภายใต้การควบคุมนี้ หน่วยรบปีศาจสายฟ้าก็เข้ายึดครองเมืองจำนวนมากของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ มากจนมีกองทัพย่อยบางส่วนถูกล้างบางไป นับว่าเป็นคนที่โหดเหี้ยมมากเลยทีเดียว
“ดังก้องหู” มู่เฉินยิ้ม
“ฮ่าๆ ข้าก็ได้ยินข่าวเลื่องลือของแม่ทัพมู่เฉินมาไม่น้อยเช่นกัน หน่วยรบปีศาจสายฟ้าไม่เคยล้างบางศัตรูที่มีชื่อขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้ซะแล้ว” ฉิงหลิงคลี่ยิ้มอ่อน
“ข้ากลัวว่าชื่อของหน่วยรบปีศาจสายฟ้าจะไม่เหลือในแดนร้อยสงครามหลังจากนี้แล้วน่ะสิ” มู่เฉินยิ้มบางตอกกลับ
แม้ทั้งคู่จะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่วาจาที่ใช้กลับประหนึ่งดาบชักขึ้นมาฟาดกัน กระทั่งรังสีสังหารยังแล่นพล่านไปมาระหว่างพวกเขา ทำเอากองทัพหลากหลายในบริเวณนี้รู้สึกหนาวเยือกขึ้นในหัวใจ ดูเหมือนสงครามในวันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
“ผู้บัญชาการจิ่วโยว ขอข้าดูเป็นขวัญตาหน่อยว่าเทพอสูรอย่างเจ้าจะทรงพลังขนาดไหน!”
เสียงหัวเราะของฉิงเทียนกังสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน จากนั้นสายตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เขากระทืบฝ่าเท้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะเดียวกันเสียงตะโกนก็ดังก้องพร้อมกับรังสีสังหารแรงกล้า
“ฉิงหลิง ล้างบางหน่วยรบวิหคโลกันตร์ให้เหี้ยน!”
“ตามบัญชาท่านเจ้าสำนักขอรับ!” ฉิงหลิงยิ้มพลางประสานมือคำนับ สายตาพุ่งตรงไปทางมู่เฉินราวกับแมวมองเห็นหนู