หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 904 หลินหมิง
พายุคลื่นหลิงยังคงสาดซัดไปทั่วสมรภูมิหยุ่นลั้ว
ขณะที่การแข่งขันหฤโหดยังคงดำเนินต่อไป การต่อสู้เข้มข้นเพื่อแย่งชิงเม็ดยาหยุ่นลั้วและมรดกต่างๆ ที่ได้รับไว้ก็เกิดขึ้นจากกองทัพหลากหลาย ในการต่อสู้มีขั้วอำนาจบางส่วนทนรับความเสียหายไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเผ่นหนีออกจากสนามรบไป
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถอนตัวออกจากสนามรบ เมื่อสงครามล่ามาไกลถึงขนาดนี้ นั่นเพราะเคยมีบางขั้วอำนาจที่ต้องการถอยออกไปเพื่อรักษาพลัง แต่กลับถูกซุ่มโจมตี ซึ่งส่งผลให้จอมยุทธ์ชั้นสูงในสำนักถูกทำลายโดยสิ้นเชิง คนที่หลบหนีก็ชัดเจนว่าไม่สามารถรักษาสำนักไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นขั้วอำนาจนั้นที่เคยครอบครองชื่อเสียงเกียรติยศในภูมิภาคทางเหนือก็จะหายไป
นี่คือสงครามล่า ไม่มีนักล่านิรันดร์ที่นี่และไม่มีใครรู้ว่านักล่าจะกลายเป็นเหยื่อในวินาทีต่อไปหรือไม่
ภายใต้บรรยากาศโหดร้าย มู่เฉินเป็นผู้นำหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ออกจากสถานที่เงียบสงบ เดินทางไปยังสถานที่รวมพลที่นัดแนะกันไว้
กลุ่มของพวกเขานับว่าเป็นกลุ่มที่น่าเกรงขาม บวกกับความปั่นป่วนที่พวกเขาสร้างขึ้นในซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นทันทีที่ปรากฏตัวจึงได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมาย
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา จินไถหลิวหลีเจิดจรัสที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าแม้แต่จินไถหลิวหลีก็บาดเจ็บจากฝีมือของมู่เฉินในซากอารยธรรมความตาย ดังนั้นในมุมมองของหลายๆ คน มู่เฉินอาจเป็นตัวปัญหาในการจัดการมากกว่าจินไถหลิวหลี เมื่อเขาปรากฏตัวจอมยุทธ์หลายคนจึงพุ่งความสนใจมาให้ทันที
ทว่ามู่เฉินมองข้ามความสนใจของพวกเขา ความเร็วของเขาถูกผลักจนถึงขีดสุด เขาไม่ได้หยุดพักระหว่างทาง ในเวลาเดียวกันด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินบวกกับการรวมตัวของพวกเขา ก็ไม่มีขั้วอำนาจไหนที่โง่เง่าเข้ามาขัดขวาง
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินผ่านพื้นที่เกือบครึ่งของสมรภูมิหยุ่นลั้วในเวลาเพียงสี่วัน ค่อยๆ เข้ามาถึงพื้นที่ส่วนใน
เมื่อเทียบกับก่อนหน้า พื้นที่ส่วนนี้โหดร้ายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะกองทัพที่กล้าเข้ามาในส่วนนี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นขั้วอำนานจชั้นสูงของภูมิภาคทางเหนือ
ดังนั้นแม้ว่าจะมีการต่อสู้ที่น้อยลง ณ ที่แห่งนี้ แต่ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไรก็จะรุนแรงอย่างยิ่ง
นอกจากนี้หลังจากเข้ามาในส่วนพื้นที่กว้างใหญ่นี้ แม้แต่มู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง ขณะเดียวกันพวกเขายกระดับการป้องกันของกองทัพเพื่อไม่ให้ถูกซุ่มโจมตีโดยกองทัพอื่นที่นี่
พื้นที่ด้านในของสมรภูมิหยุ่นลั้วมืดมน สีนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกถูกกดดันอย่างมาก พื้นที่แห่งนี้อัดแน่นด้วยรอยแตกดุร้าย ดูเหมือนกับเหวทะลุผ่านพิภพ ช่างเป็นความมืดที่ลึกล้ำยิ่งนัก…
สิ่งเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ในสนามรบจากศึกในยุคโบราณ
ฟิ้ว!
บนที่ราบสีดำมีลมหอบใหญ่ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา ขณะที่ริ้วแสงยาวพาดผ่านไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว ซึ่งทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือน
มู่เฉินยืนอยู่ด้านหน้าพรรคพวก ขณะที่หรี่ตากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่จะหันไปทางจิ่วโยว “อีกแค่ไหนกว่าจะถึงจุดรวมพล”
“ตามความเร็วนี้คงใช้เวลาอีกสองวัน” จิ่วโยวตอบ
“สองวันเรอะ?” มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ จากนั้นก็ผงกหัว “เพิ่มการป้องกัน…ระวังเป็นพิเศษกับจวนยมโลก”
จิ่วโยวอึ้งไปก่อนจะพยักหน้า ไม่กี่วันก่อนพวกเขาได้รับข้อมูลบางส่วนว่าจวนยมโลกสนใจพวกเขา แต่เนื่องจากระยะห่างระหว่างพวกเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัว แต่ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนในของสมรภูมิหยุ่นลั้วแล้วก็จำเป็นต้องเฝ้าระวังให้ดี
“การเคลื่อนไหวช่วงนี้ของจวนยมโลกบ่อยครั้งและรุนแรง นอกจากนี้สิ่งที่แปลกก็คือพวกเขาค้นหาคู่ต่อสู้ที่เป็นอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงความคลุมเครือว่ามีบางอย่างผิดปกติ นั่นเป็นเพราะมีการพุ่งเป้าในการเคลื่อนไหวของจวนยมโลกชัดเจน
แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าทำไมจวนยมโลกจึงตั้งเป้าไปที่จอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ศาสตร์รัศมีจั้นยี่ ดังนั้นจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว จากนั้นก็โบกมือนำพรรคพวกเดินทางต่อไป
“หืม?!”
ทว่าขณะที่กลุ่มมู่เฉินกำลังจะขยับตัว สายตาของเขาพร้อมกับเหล่าผู้บัญชาการก็หดแคบลง ก่อนที่จะโบกมือส่งสัญญาณให้นักรบที่อยู่ข้างหลังตื่นตัวไว้
พวกเขามองไปทางท้องฟ้าฝั่งขวาก็เห็นกองกำลังขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา เมื่อคนเหล่านั้นเห็นพวกมู่เฉินก็อึ้งไปก่อนจะชะลอความเร็วลง ซ้ำยังตั้งระวังไว้สูงมาก
“นั่นแดนปีศาจนี่” จิ่วโยวมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลม ดังนั้นนางจึงจดจำสัญลักษณ์ของสำนักขนาดใหญ่ได้
“โอ้?”
หัวใจของมู่เฉินและคนอื่นๆ สั่นไหว จากนั้นก็ระวังตัวขึ้นมา แดนปีศาจเป็นขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเช่นกัน พวกเขามีกระบวนทัพที่น่าเกรงขาม ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ขึ้น จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
“อย่าเพิ่งลงมือก่อน” มู่เฉินแนะนำ ความจริงเขาไม่ต้องการก่อความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแดนปีศาจ เนื่องจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่ได้เป็นศัตรูกับอีกฝ่าย นอกจากนี้พวกเขายังได้สร้างเรื่องไว้กับหมู่ตึกเทวะ จวนยมโลกและตำหนักสุดนภา ดังนั้นจึงไม่ฉลาดที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับแดนปีศาจเปลี่ยนไป
เมื่อแดนปีศาจเห็นว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไม่มีความคิดจะเปิดโจมตีก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นร่างร่างหนึ่งก็ทะยานออกมาปรากฏตัวต่อหน้าหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
นี่เป็นร่างเงางดงามสวมชุดสีแดงที่เน้นส่วนโค้งเว้าทรงเสน่ห์ ใบหน้าดอกท้อช่างดูน่าหลงใหลอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับมู่เฉิน นางคือหงหยูจากแดนปีศาจซึ่งเคยพบกันในเขตหลงเฟิ่งนั่นเอง
“ไม่ทราบว่าพี่มู่อยู่ที่นี่ไหม?” เมื่อหงหยูปรากฏตัวต่อหน้าคนกลุ่มใหญ่ นางก็ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนที่สามารถทำให้กระดูกของผู้คนอ่อนนุ่มได้
เมื่อมู่เฉินได้ยินหงหยูถามถึงตัวเอง เขาก็อึ้งขณะที่เหล่าผู้บัญชาการจ้องมองลึกซึ้งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ผู้ชายรู้กัน
มู่เฉินเหลือบมองอย่างจนใจ ก่อนจะก้าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ทราบว่าแม่นางหงหยูกับนักรบแดนปีศาจมีเรื่องอะไรเหรอ?”
สายตาของหงหยูทอแสงเมื่อเห็นมู่เฉิน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้พบโดยบังเอิญ…แต่ข้าอยากขอความช่วยเหลือจากพี่มู่น่ะ”
“โอ้?” มู่เฉินอึ้งไป
“สองวันก่อนพวกข้าปะทะกับจวนยมโลก” หงหยูฉายท่าทางเคร่งเครียดขณะที่พูด
เมื่อได้ยินคำพูด มู่เฉินก็หรี่ตาลง เนื่องจากการเคลื่อนไหวล่าสุดของจวนยมโลก พวกเขาแสดงความสนใจในตัวเขามู่เฉิน ดังนั้นส่วนตัวเขาก็ให้ความสนใจอีกฝ่ายไม่แพ้กัน
“พวกข้ามีอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่คนหนึ่งในกองทัพเช่นกัน แต่ในการเผชิญหน้าเมื่อสองวันก่อนเขาพ่ายแพ้หลินหมิงแห่งจวนยมโลก…” หงหยูกัดฟันกรอดขณะที่พูดต่อ “แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากที่พ่ายแพ้หลินหมิง เขาก็ล้มลงหมดสติ พวกข้าใช้หลายวิธีก็ไม่สามารถปลุกเขาได้…”
เปลือกตาของมู่เฉินกระตุก หลินหมิงคืออัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของจวนยมโลกใช่ไหม?
“พี่มู่เองก็เป็นอัจฉริยะด้านนี้และจากเหตุการณ์ที่ซากอารยธรรมความตาย ข้าเชื่อว่าตอนนี้เจ้าบรรลุการเป็นจั้นเจิ้นซือแล้วสินะ? ดังนั้นข้าอยากให้พี่มู่ช่วยตรวจคนของข้าและดูว่าสามารถปลุกเขาได้ไหม” หงหยูอ้อนวอน
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอนั้น กลับตั้งคำถามแทน “แม่นางหงหยู เจ้าควรรู้ว่ามีแผนซ้อนแผนมากมายในสงครามล่า ดังนั้นถ้าข้าปลุกคนของเจ้า จะไม่เท่ากับข้าสร้างปัญหาในอนาคตหรือ?”
หงหยูช้อนดวงหน้าพูดจริงใจ “แต่ก็เป็นการสร้างมิตรนะ แดนปีศาจถูกจวนยมโลกเล่นงานจมอ่วม แน่นอนว่าพวกข้าต้องจัดการกับหนี้แค้นนี้ ตามที่ข้ารู้มาจวนยมโลกกำลังมองหาร่องรอยของเจ้า ข้าเชื่อว่ามันไม่ได้มีเจตนาดี อย่างน้อยเราก็มีศัตรูร่วมกันไม่ใช่เหรอ?”
“นอกจากนี้หลินหมิงยังประกาศว่าเขาต้องการที่จะจัดการกับเจ้า โดยที่เจ้ายังไม่ทราบถึงวิธีการของเขา บางทีเจ้าอาจรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาจากคนของพวกข้าที่ได้บาดเจ็บเพื่อเจ้าจะได้เตรียมตัวเอาไว้นะ”
“นอกจากนี้ข้าเชื่อว่าด้วยพลังในปัจจุบันของพี่มู่ อัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่คงไม่ได้เป็นภัยคุกคามเจ้าเท่าไรหรอกมั้ง?”
แม้แต่คนที่มีนิสัยอย่างมู่เฉินก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าหงหยูฉลาดพูดมากแค่ไหน หงหยูเป็นคนเฉลียวฉลาดแท้จริง คำพูดของนางตีกระทบความคิดของมู่เฉินจังใหญ่ นอกจากนี้นี่ยังเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเรื่องนี้
แม้ว่ามู่เฉินจะรู้ว่าไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรในสงครามล่า แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแดนปีศาจดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออาณาเขตกงเวทสวรรค์พอสมควรเลยทีเดียว
“งั้นรบกวนไปพาเขามา” มู่เฉินกล่าว เขาไม่มีทางเดินดุ่มเข้าไปในกองทัพอีกฝ่ายแน่นอน
หงหยูรู้ชัดเจนว่ามู่เฉินไม่มีทางก้าวเข้ามา ดังนั้นนางจึงโบกมือขณะที่ร่างหลายร่างทะยานออกมาจากกองทัพของนาง พวกเขายกเปลไม้ที่มีชายใบหน้าซีดขาวนอนปิดตาสนิทอยู่เข้ามา
มู่เฉินมองที่ชายหน้าซีดก็ขมวดคิ้ว ที่ข้างหลังพวกจิ่วโยวก็ส่งเสียงต่ำแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้น? ไม่มีอะไรผิดปกติกับคลื่นหลิงในร่างเขาเลย…”
มู่เฉินพยักหน้า เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเหยียดนิ้วสองนิ้วออกแตะเบาๆ ที่กึ่งกลางคิ้วของอีกฝ่าย จากนั้นม่านตาเขาก็หดเกร็ง ขณะที่แววเฉียบคมสาดออกมา
“พี่มู่ เขาเป็นยังไงบ้าง?” จ้องมองภาพนี้ หงหยูก็ถามทันที
มู่เฉินหดนิ้วมือพูดช้าๆ ด้วยท่าทางเคร่งเครียดลงหลายส่วน “เขาไม่มีคลื่นจิตแล้ว ในอนาคตเขาจะไม่สามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่ได้อีกต่อไป…”
เมื่อพูดจุดนี้หัวใจของมู่เฉินสั่นเทา หลินหมิงแห่งจวนยมโลกมีวิธีการครอบงำผิดปกติในการทำลายคลื่นจิตของผู้อื่น
ในฐานะที่เป็นจั้นเจิ้นซือ มู่เฉินรู้ดีว่าอัจฉริยะศาสตร์รัศมีจั้นยี่ของแดนปีศาจกลายเป็นคนพิการไปแล้ว
หลินหมิงดูเหมือนว่าจะเป็นตัวปัญหาใหม่เลยทีเดียว