หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 875 ห้ากองทัพ
“ในเมื่อแม่ทัพเซียวเทียนกล้าหาญขนาดนี้ งั้นให้เจ้าเป็นคนนำแล้วกัน”
จินไถหลิวหลีพูดเสียงเบา แม้ว่าท่าทางของนางจะสงบ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นข้าขอทดสอบความน่าเกรงขามของค่ายกลจตุเทวะให้ทุกคนเอง”
เซียวเทียนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเย็นชาของจินไถหลิวหลี เขาแสยะยิ้ม จากนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากับหลิ่วเหยียนแล้วโบกมือส่งสัญญาณ
ตู้ม!
จังหวะที่มือของเซียวเทียนกดลง รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก็กวาดออกมาจากด้านหลังกองทัพพันธมิตรขนาดใหญ่ ทุกคนมองเห็นกองทัพใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า นี่คือหน่วยรบสุดนภาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเซียวเทียน
กำลังพลมีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน ในแง่ของจำนวนกระทั่งหน่วยรบแยกคีรีทางฝั่งมู่เฉินที่มีจำนวนสูงสุดในการรวมตัวครั้งนี้ก็ไม่อาจเทียบได้
ทว่าขณะที่ทุกคนคิดว่าเซียวเทียนจะนำทัพเข้าไปในค่ายกลศึก เขากลับยิ้มบางพลางกวาดสายตาเย็นชาไปให้มู่เฉิน ก่อนที่จะสะบัดมืออีกครั้งหนึ่ง
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ที่ทรงพลังระเบิดออกอีกระลอกและเมื่อทุกคนมองไปยังทิศทางของรัศมีจั้นยี่ พวกเขาก็ต้องตะลึงไปเมื่อเห็นนักรบเรือนหมื่นเผยตัวออกมาที่ข้างๆ หน่วยรบสุดนภา
พวกเขาคือหน่วยรบของตำหนักสุดนภาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเซียวเทียน แต่มองจากสถานการณ์ปัจจุบัน เซียวเทียนตั้งใจจะนำหน่วยรบทั้งสองเข้าสู่ค่ายกลจตุเทวะ
การกระทำนี้ทำเอาผู้คนหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนที่เสียงกระซิบกระซาบจะกระจายออกไปอย่างหยุดไม่ได้
“เซียวเทียนควบคุมทั้งสองกองทัพในเวลาเดียวได้ด้วยรึ?!”
“นี่น่าจะเป็นไม้เด็ดของเขา ถ้าเขาใช้พลังนี้สู้กับมู่เฉินก่อนหน้า ข้าว่ามู่เฉินก็คงไม่ได้เปรียบอะไรหรอก!”
“เซียวเทียนน่าสะพรึงอย่างแท้จริง”
“…”
เมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น สายตาของเซียวเทียนก็หยุดอยู่ที่มู่เฉิน ก่อนที่มุมปากจะตีเป็นเส้นโค้งที่น่าขนลุก การรวมพลังนี้เก็บไว้เพื่อเป็นไม้เด็ดของเขา ถ้าไม่ใช่ความจริงที่เขาต้องจ่ายบางอย่างในการบัญชาการกองทัพนี้ เขาคงใช้ระหว่างการต่อสู้กับมู่เฉินก่อนหน้า จัดการอีกฝ่ายโดยไม่ปล่อยให้ได้สร้างภาพที่น่าประทับใจนั่น
มู่เฉินรับรู้ถึงสายตาที่น่ากลัวของเซียวเทียน แต่เขาไม่ใส่ใจ เพียงแค่มีริ้วแสงประหลาดวาบในดวงตาที่หลุบลง เห็นได้ชัดว่าไพ่ลับนี้ของเซียวเทียนเกินความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ว่าแม้หน่วยรบสำรองนี้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนหน่วยรบสุดนภา แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอแน่นอน นอกจากนี้ปัจจัยที่สำคัญก็คือนักรบเหล่านี้มีความเข้ากันได้สูงกับเซียวเทียน
นั่นหมายความว่าเซียวเทียนและหน่วยรบนี้ผ่านการฝึกฝนด้วยกันมาเป็นเวลานาน
มู่เฉินถอนหายใจกับข้อเท็จจริงนี้ เนื่องจากเวลาของเขาในอาณาเขตกงเวทสวรรค์น้อยเกินไป ดังนั้นการเตรียมการของเขาจึงด้อยกว่าเซียวเทียนที่เตรียมการมาอย่างยาวนานหลายปีในตำหนักสุดนภา
ทว่าถึงแม้มู่เฉินจะรู้สึกประหลาดใจกับกองทัพสำรองของเซียวเทียน แต่ก็เท่านั้น จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาสองหมื่นคนนั้นน่าเกรงขามก็จริง แต่ข้อนี้อย่างเดียวไม่เพียงพอให้มู่เฉินยอมแพ้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความเฉียบคมชัดก็ฉายในดวงตาที่หลุบลงของมู่เฉิน
เซียวเทียนทะยานไปปรากฏตัวตรงหน้าหน่วยรบทั้งสอง เขามองไปที่ทุกคน ความรู้สึกกลัวและนับถือฉายในสายตาเหล่านั้น ทำให้รอยยิ้มของเขาเด่นชัดขึ้น จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาสะบัดมือตะโกนเสียงดังออกมา
“เคลื่อนทัพเข้าค่ายกลศึกพร้อมกับข้า!”
“รับทราบ!”
เหล่านักรบตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าทำให้พื้นสั่นสะเทือน รัศมีจั้นยี่ทรงพลังกวาดออกมาราวกับพายุ
จินไถหลิวหลีมองไปที่กองทัพทรงพลังเบื้องหลังเซียวเทียน จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่ ถ้าเจ้าไม่ไว้ใจก็เคลื่อนพลไปก่อนข้าได้นะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ยิ้ม “ข้าเชื่อใจในตัวแม่นางจินไถ ดังนั้นนำไปได้เลย”
แม้ว่าเขาจะมีข้อสงสัยกับจินไถหลิวหลีอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเซียวเทียนแย่งนำไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากอีก
จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งพลางเผยรอยยิ้มบางออกมาก่อนจะพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองเซียวเทียนและกองทัพขนาดใหญ่ ริมฝีปากของนางยกขึ้นเบาๆ ดูเหมือนจะเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
ทว่าปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นเพียงชั่วสั้นๆ ก่อนที่นางจะเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ คนอื่นไม่ทันได้สังเกตเห็น มีเพียงมู่เฉินที่มองนางอยู่ตลอดสังเกตเห็นภาพนี้ผ่านมุมตา ทำเอาหัวใจของเขาสั่นสะท้านรุนแรง
จินไถหลิวหลียกมือขึ้นโบกมือเบาๆ เสียงคมชัดดังก้องไปทั่วที่ราบ “กองทัพผลึกฟ้า ฟังคำสั่ง!”
“รับทราบ!”
เสียงร้องราวฟ้าคำรามดังขึ้นฉับพลัน ทำให้หัวใจของผู้คนสั่นไหว ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น มองเห็นกลุ่มเมฆที่ดูสะดุดตาทะยานออกมาจากทัพพันธมิตร แล้วลอยอยู่เหนือท้องฟ้า
นี่ไม่ใช่ก้อนเมฆจริงๆ แต่เป็นนักรบที่ทรงพลังสวมชุดเกราะผลึกแก้วใสที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากอัญมณีสังเคราะห์ คลื่นผันผวนแปลกประหลาดกระจายออกมา
“หน่วยรบนี้…”
เมื่อกองทัพนี้เผยออกมา แม้แต่มู่เฉินม่านตายังต้องหดเกร็ง เพราะเขาตระหนักได้ว่าจำนวนนักรบมีถึงสามหมื่นคนเห็นจะได้!
นอกจากนี้พวกเขาเป็นกองทัพเดียวกัน เนื่องจากคลื่นพลังที่กระเพื่อมไหวออกมาเหมือนกัน
“จินไถหลิวหลีซ่อนซะมิดเลยจริงๆ” หัวใจของมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนหน้าตอนที่กองทัพพันธมิตรยาตราเข้ามา เขาได้ตรวจสอบกองทัพหมู่ตึกเทวะ แต่ก็ไม่ได้พบกองทัพผลึกฟ้าในนั้น เห็นชัดว่าจินไถหลิวหลีซ่อนพวกเขาไว้ในกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะ
กำลังพลสามหมื่นคนนี้ ระงับความยิ่งใหญ่ของเซียวเทียนในทันที
ใบหน้าของเซียวเทียนไม่น่าดูเมื่อเห็นฉากนี้ ผ่านไปสักพักถึงได้หัวเราะเบาๆ “กำลังพลสามหมื่นคน แม่นางจินไถต้องระวังไม่ฝืนตัวเองนะ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนรัศมีจั้นยี่ทำลายตัวเองเข้า”
การควบคุมรัศมีจั้นยี่ไม่ใช่เรื่องง่าย รัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่บรรจุด้วยคลื่นหลิงและกระแสจิตมุ่งมั่นของนักรบนับไม่ถ้วน ซึ่งต้องการกระแสจิตอันทรงพลังจากผู้นำเพื่อควบคุม ถ้ากระแสจิตไม่แข็งแกร่งพอ พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการตอบโต้อย่างรุนแรงโดยรัศมีจั้นยี่ กระแทกใส่ตนเองจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหน่วยรบแยกคีรีทรงพลังถึงได้มีแม่ทัพหลายคน นั่นเป็นเพราะไม่มีแม่ทัพคนใดที่กล้าพอที่จะควบคุมกองทัพทั้งหมด
“แม่ทัพเซียวเทียนไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก” จินไถหลิวหลีตอบอย่างเฉยเมย ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “ผู้บัญชาการมู่ ค่ายกลจตุเทวะไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะแรงเกินไปสำหรับหน่วยรบวิหคโลกันตร์ของเจ้านะ”
จินไถหลิวหลีไม่ได้พูดเยาะเย้ย แต่พูดความจริง นั่นเป็นเพราะหน่วยรบวิหคโลกันตร์มีนักรบห้าพันคนเท่านั้น ไม่ต้องเปรียบเทียบกับกองทัพผลึกฟ้าของจินไถหลิวหลี แม้กระทั่งหน่วยรบสุดนภาของเซียวเทียนก็ใหญ่กว่าถึงสามเท่า เห็นได้ชัดว่านักรบวิหคโลกันตร์ของมู่เฉินไม่ใช่นักรบที่ทรงพลังจนสามารถปะทะกับศัตรูได้แบบหนึ่งต่อร้อยหรือต่อพัน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด เขาก็ไม่สามารถพุ่งเข้าโรมรันค่ายกลจตุเทวะโดยอาศัยเพียงหน่วยรบวิหคโลกันตร์เท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น มู่เฉินก็มอบรอยยิ้มอบอุ่นให้จินไถหลิวหลี ก่อนที่หันไปหาเหล่าผู้บัญชาการ
“หากผู้บัญชาการมู่ต้องการก็นำทัพพวกเราได้เลย ตราบใดที่เจ้าควบคุมได้” เมื่อเห็นมู่เฉินจ้องมองมา เหล่าผู้บัญชาการก็พูดอย่างไม่ลังเล
“ขอบคุณผู้บัญชาการทุกคน”
มู่เฉินประสานมือขอบคุณจากใจ ก่อนที่จะหยุดครู่หนึ่งจากนั้นก็เผยรอยยิ้มน่าตรึงใจบนใบหน้าหล่อเหลา “งั้นข้าขอยืมหน่วยรบทั้งสี่นะ”
“สี่? สี่หน่วยรบเลยรึ?!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าผู้บัญชาการแข็งทื่อ แม้แต่ผู้นำกลุ่มอื่นๆ ก็เบิกตามองไปที่มู่เฉินราวกับเห็นผี
ไม่เพียงแต่พวกเขา แม้แต่จิ่วโยวก็มองมู่เฉินด้วยความตะลึงใจ นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะยืมสี่หน่วยรบในเวลาเดียว เมื่อรวมหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้าไปด้วย เท่ากับมู่เฉินจะบัญชาห้าหน่วยรบเลยเรอะ?!
มิหนำซ้ำนักรบทั้งห้าหน่วยรบก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อรวมเข้าด้วยทั้งหมดจำนวนก็เกินกว่าสามหมื่นคน! มันจะง่ายในการควบคุมได้ยังไง?!
ใบหน้าของจินไถหลิวหลีก็ฉายความตกตะลึงไปวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในเวลาสั้นๆ นางจ้องมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไอ้บ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
เซียวเทียนตะเบ็งเสียงเย็น ในมุมมองของเขามู่เฉินตั้งใจทำเพื่อไม่ให้เสียหน้า ดังนั้นจึงฝืนตนไปขอยืมกำลังพลจากพรรคพวกมาแก้เก้อ
หากมีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างการควบคุม ก็คงไม่ต้องปะทะกับค่ายกลศึกแล้ว มู่เฉินจะถูกทำลายจนเป็น(พวกสติไม่เต็มโดยรัศมีจั้นยี่ที่รุนแรงเอง
“ผู้บัญชาการมู่…”
เหล่าผู้บัญชาการก็ฟื้นจากอาการตกใจ มองมู่เฉินด้วยสายตาตกตะลึง แต่เมื่อเห็นสีหน้าสงบเยือกเย็นของมู่เฉิน พวกเขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น
แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “ในเมื่อเจ้ามั่นใจ ก็ขอฝากนักรบให้เจ้าดูแล!”
ในเวลานี้พวกเขาได้แต่เลือกที่จะเชื่อว่ามู่เฉินมีความสามารถในการบัญชารัศมีจั้นยี่ทั้งห้าที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่เฉินไม่สนใจสายตาที่ราวกับมองเขาเป็นคนบ้า เขาประสานมือคารวะเหล่าผู้บัญชาการอย่างเคร่งขรึมพลางเอ่ยเสียงจริงจัง “ขอบคุณ”
เขาไม่ได้พูดมากความ มองไปที่กองทัพแล้วโบกมือเบาๆ
ตู้ม!
หน่วยรบทั้งห้าที่แตกต่างทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระบวนทัพยิ่งใหญ่แข็งแกร่งกว่าหน่วยรบสุดนภาและกองทัพนันภากาศเสียอีก
เพราะนี่คือห้าหน่วยรบเลยทีเดียว!
มู่เฉินเคลื่อนมาปรากฏตัวต่อหน้ากองทัพใหญ่ เขาไม่ได้สนใจสายตาตกตะลึงหลากหลาย มองไปที่เซียวเทียนก่อนจะแสดงสัญญาณมือแล้วยิ้มบาง
“แม่ทัพเซียวเทียน เชิญ!”