เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 226 สังหารหวู่ฉี

ทั่วทั้งสนามตกอยู่สภาวะเงียบสงัดประดุจป่าช้า ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็รู้สึกวิงเวียนจนสลบไปในที่สุด เยี่ยจื่อชิวที่ยืนอยู่ข้างกายรีบพยุงร่างบางเอาไว้โดยพลัน

 

ต่อให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะแข็งแกร่งมากจนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตก่อฟ้าได้แล้ว หากถูกแทงจนทะลุตรงหัวใจย่อมจะต้องตายตกไปเท่านั้น ผู้คนมากมายต่างทอแววตาโง่งมเหม่อมองไปที่หลงเฉิน ไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อสังหารหวู่ฉี

 

แม้แต่หลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเองเลยด้วยซ้ำไป ตามตำนานได้กล่าวว่าอี้ซู่จะต้องตายภายใต้ลิขิตของสวรรค์ไม่ใช่หรือ? แล้วในตอนนี้หลงเฉินยังถือว่าเป็นอี้ซู่อยู่อีกหรือไม่?

 

และทันใดนั้นภายในจิตใจของหลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็เกิดความรู้สึกสลดหดหู่ขึ้นมาอย่างถึงที่สุด หากทราบตั้งแต่แรกว่าหลงเฉินไม่ใช่อี้ซู่ พวกเขาก็จะไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยที่จะทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อเลี้ยงดูและฝึกฝนให้หลงเฉินเก่งกล้าเหนือศิษย์ทุกคน

 

“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?”

 

หวู่ฉีเหลือบตามองไปยังอาวุธกระดูกที่เสียบอยู่บนหน้าอกของตัวเอง อวัยวะภายในทั้งหมดคล้ายกับกำลังถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี พลังชีวิตเริ่มหลั่งไหลออกสู่ภายนอกร่างกายอย่างรวดเร็ว

 

“นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าเกรงกลัวต่อความตายมากเกินไป”

 

บนใบหน้าของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยันขึ้นมา น้ำเสียงของเขาราบเรียบและเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกขนลุกชันราวับเป็นยมทูตมาเอาชีวิตของผู้คนอย่างไรอย่างนั้น

 

“ข้า……ยังไม่อยากตาย ข้า……ยังอยากมีชีวิตอยู่” หวู่ฉีร้องคร่ำครวญขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน

 

“แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงกระทำโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี? ตอนที่เจ้าจับเสี่ยวเสว่ยมา เหตุใดถึงไม่คิดบ้างว่าหากเจ้าจบชีวิตของเสี่ยวเสว่ย เจ้าเองก็จะมีช่วงเวลาเช่นนั้นบ้าง เหอะ จงตายไปซะ!”

 

“พรวด”

 

หลงเฉินดึงอาวุธกระดูกออกมาจากหน้าอกของหวู่ฉีทันทีที่กล่าวจบจนผู้คนมากมายมองเห็นรอยแผลที่กลวงโบ๋อยู่บนหน้าอกข้างซ้ายของหวู่ฉีอย่างชัดเจน ติดตามมาด้วยอวัยวะภายในที่แหลกเหลวจนกลายเป็นเนื้อบดกำลังไหลออกมาช้าๆ และใบหน้าของเขายังคงอยู่ในสภาวะอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิตของตัวเองอย่างไม่เสื่อมคลาย

 

“ท่านเจ้าสำนัก ได้โปรดช่วยชีวิตหลงเฉินด้วยเถิด”

 

ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ใหม่ของหมู่ตึกก็คุกเข่าลงกับพื้นกันทั้งหมด พลันก็กล่าวขอร้องอ้อนวอนต่อหลิงหวินจื่อให้ช่วยชีวิตหลงเฉิน ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือหนึ่งในคนกลุ่มนั้นมีกู่หยางและเหร่ยเชียนซังรวมอยู่ด้วย

 

หลิงหวินจื่อส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา หากหลงเฉินมีพลังการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตก่อฟ้าอย่างเขาก็อาจจะพอรักษาชีวิตของตัวเองได้โดยการไหลเวียนพลังจากฟ้าดินขึ้นมา ทว่าหลงเฉินกลับไม่ได้อยู่ขอบเขตก่อฟ้าจึงไม่อาจกระทำได้

 

หลิงหวินจื่อจึงได้แต่กวาดสายตามองไปที่ศิษย์เหล่านั้นแล้วถอนหายใจออกมา ความสามารถของหลงเฉินสามารถดึงดูดผู้คนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แม้แต่ศัตรูคู่แค้นก็ยังร่วมกันขอร้องอ้อนวอนเพื่อให้ช่วยชีวิตของเขาอย่างนั้นหรือ?

 

“พี่หลงของข้ายังไม่ตายเสียหน่อย พวกเจ้าจะคร่ำครวญไปทำไมกัน?” อาหมานเกาศีรษะไปมาด้วยความสงสัยพร้อมกับกวาดสายตามองไปที่ผู้คนเหล่านั้น

 

“ครืน”

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูศิลาของเวทีประลองตัดสินความตาย แผ่นศิลาขนาดใหญ่กำลังยกตัวขึ้นสูงเพื่อเปิดทางให้กับเงาร่างสายหนึ่ง

 

เหล่าผู้คนทอแววตาเป็นประกายจ้องมองไปที่เงาร่างสายนั้นด้วยความเลื่อมใสระคนหวาดหวั่น บริเวณหน้าอกข้างซ้ายของหลงเฉินยังคงมีกระบี่ยาวเสียบคาเอาไว้ หากมีผู้ใดดึงกระบี่ยาวเล่มนั้นออกมาในตอนนี้ แน่นอนว่าหลงเฉินคงจะต้องตายไปในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

หรือต่อให้ไม่ถูกดึงออกมา หลงเฉินก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ผู้คนทั้งหมดก็เกิดความเศร้าสลดขึ้นมาภายในจิตใจ

 

“พี่ใหญ่ ท่านอย่าตายนะ ข้ายังไม่ได้ท่องยุทธภพไปพร้อมกับท่านเลย” กัวเหรินพุ่งกายเข้าไปหาหลงเฉินเป็นคนแรก อีกทั้งยังกล่าววาจาในขณะที่ร้องไห้คร่ำครวญออกมา

 

หลงเฉินขมวดคิ้วชนกันแล้วนำขวดขนาดเล็กออกมาจากแหวนมิติ พลันก็หยดของเหลวในขวดเข้าไปในปากหนึ่งหยด จากนั้นก็กุมมือไว้ที่ด้ามของกระบี่ยาวจนแน่น

 

“อย่าได้….”

 

“พรวด”

 

กระบี่ยาวถูกดึงออกมาจากหน้าอกของหลงเฉินในทันที โลหิตสีแดงชาดละเลงไปทั่วทั้งผืนฟ้าไม่หยุด

 

ผู้คนมากมายตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว หลงเฉินดึงกระบี่ยาวออกมาแล้ว? หากโลหิตไหลรินออกมาจนหมด เขาก็จะต้องตายตกไปในไม่ช้านี้อย่างนั้นหรือ?ที

 

หลังจากที่ดึงกระบี่ยาวออกมาแล้ว หลงเฉินก็รู้สึกได้ทันทีว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตกำลังแทรกซึมไปตามบาดแผลที่หัวใจของเขา จากนั้นบาดแผลฉกรรจ์ก็เริ่มสมานกันอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งลมหายใจก็ได้ทำให้โลหิตที่ไหลออกมาหยุดลงในทันที

 

ของขวัญจากยอดฝีมือดินแดนหลิงเจี่ยช่างมหัศจรรย์อย่างไร้ที่เปรียบเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด แม้แต่ชีวิตก็ยังชุบขึ้นมาใหม่ได้ ทว่าหลังจากนี้เขาคงจะต้องใช้อย่างประหยัดเสียแล้ว

 

“พี่ใหญ่ ท่าน……ท่านยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ?” กัวเหรินทอสีหน้าโง่งมมองไปที่บาดแผลของหลงเฉินที่ได้สมานติดกันอย่างรวดเร็ว

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะตอบกลับไปนั้น จู่จู่ร่างกายของเขาก็อ่อนล้าโรยแรงลงไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายกับว่าโลหิตภายในร่างกายไหลเวียนปั่นป่วนไปทั้งหมดจนเขาไม่อาจทรงตัวเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

นั่นก็เป็นเพราะว่าหลงเฉินเสียโลหิตภายในร่างกายมากจนเกินไป ถึงแม้ว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์จะช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ได้ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติทั้งหมด หลังจากนี้หลงเฉินจึงต้องพักฝืนให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิมด้วยตัวเอง

 

“พี่ใหญ่……” กัวเหรินรีบประคองหลงเฉินเอาไว้ด้วยท่าทีแตกตื่น

 

หลงเฉินสะบัดศีรษะไปมา ทว่าภายในห้วงสมองยังคงรู้สึกลอยคว้างอยู่ไม่น้อย

 

“หลงเฉิน”

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังตั้งสติเพื่อเข้าไปหาท่านเจ้าสำนักอยู่นั้นก็ได้มีกลิ่นหอมอันคุ้นเคยโชยพัดเข้ามาเตะจมูกของเขา จากนั้นร่างอรชรอ้อนแอ้นสายหนึ่งก็โผเข้ากอดเขาอย่างรุนแรง

 

ทันทีที่ถังหว่านเอ๋อได้สติกลับคืนมา ดวงตาคู่งามก็พบว่าหลงเฉินยังมีชีวิตอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะโผเข้ากอดหลงเฉินแล้วปล่อยโฮขึ้นมายกใหญ่

 

“หลงเฉิน เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ เจ้าตัวบัดซบ……ฮือฮือ” ถังหว่านเอ๋อร้องไห้เสียงดังราวกับเป็นทารกน้อยที่กำลังหิวนม ดวงตาทั้งสองมีหยาดน้ำตารินไหลออกมาไม่หยุด

 

“เหวยเหวย ที่เจ้ากอดข้า ข้าขอยอมรับว่าชอบมาก ทว่าเจ้าไม่ควรทำต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เพราะมันทำให้ข้ารู้สึกประหม่าอย่างไรก็ไม่รู้……” หลงเฉินกระซิบที่ข้างหูของถังหว่านเอ๋อด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า

 

“เจ้าตัวบัดซบ” ถังหว่านเอ๋อผละออกจากหลงเฉิน พลันก็ยกกำปั้นขึ้นหมายที่จะต่อยหลงเฉิน ทว่าเมื่อสายตาคู่งามเห็นว่าใบหน้าของหลงเฉินขาวซีดเป็นอย่างยิ่งจึงไม่ลงมือ ได้แต่ถอยหนีออกไป

 

“พี่ใหญ่ นี่……” กัวเหรินตกอยู่ในอาการกระอักกระอ่วนจนไม่ทราบว่าจะกล่าวเช่นไร

 

“ปล่อยนางไปเถิด อีกไม่นานก็คงจะดีขึ้นเอง” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป จากนั้นเขาก็ยกมือผสานเข้าด้วยกันแล้วหันไปทางผู้คนมากมาย

 

เมื่อครู่นี้เขาเองก็รับรู้ได้ว่าผู้คนทั้งหมดต่างก็วิงวอนต่อท่านเจ้าสำนักเพื่อให้ช่วยเหลือเขา ไม่ว่าจะมาจากใจจริงหรือเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ทว่าเขาก็อยากจะตอบแทนความรู้สึกของพวกเขาเหล่านั้น

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังโค้งคารวะ ผู้คนทั้งหมดก็รีบโน้มกายรับการคารวะนั้นเอาไว้ด้วยเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทยอยออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลงไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้อีกต่อไป เพราะอีกไม่นานก็คงจะต้องถูกขับไล่ออกจากที่พักของผู้คุมกฎอย่างแน่นอน การเดินจากไปด้วยตัวเองย่อมรักษาหน้าของตัวเองได้ดีกว่าถูกขับไล่ราวกับเป็นหมูโสโครกตัวหนึ่ง

 

และหลังจากที่ผู้คนมากมายแยกย้ายกันออกไปทั้งหมดแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เหลือเพียงอาจารย์อา หลิงหวินจื่อ  ถู่ฟาง และหลงเฉิน แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นที่ตามมาชมการประลองในภายหลังก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน

 

“ยอดเยี่ยมมาก”

 

หลิงหวินจื่อกล่าวต่อหลงเฉิน ภายในดวงตาทั้งสองปรากฏความชื่นชมต่อความแข็งแกร่งของหลงเฉินขึ้นมาเป็นสาย ซึ่งความแข็งแกร่งที่ว่านี้ไม่ได้มาจากวิชากำลังภายใน กายเนื้อ หรือว่าทักษะยุทธ์ของเขา ทว่าเป็นความแน่วแน่ภายในจิตใจต่างหาก

 

การเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าโดยไร้ซึ่งความสิ้นหวังหรือกระวนกระวายช่างน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงปูนนี้ก็ใช่ว่าจะแน่วแน่ได้เท่ากับหลงเฉิน

 

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” หลงเฉินกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม

 

“เรื่องราวที่แสนจะวุ่นวายก็ได้ผ่านไปแล้ว ข้าเองก็ทราบดีว่ากฎของหมู่ตึกมีช่องโหว่มากมาย ทว่าแม้แต่ข้าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎเหล่านั้นได้เช่นกัน” หลิงหวินจื่อกล่าวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างอดสู

 

หลงเฉินส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “บนโลกใบนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่หมดจดสมบูรณ์ไปเสียทั้งหมด แม้แต่ฟ้าดินเองก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเองเลย

 

ครั้งนี้ศิษย์ต้องขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ให้การสนับสนุน และต้องขออภัยที่บังอาจปฏิเสธความหวังดีของท่านที่พยายามจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในตอนแรกด้วย”

 

“หากเจ้าคิดได้ก็ดี ส่วนอาการบาดเจ็บของเจ้าก็คงไม่น่าเป็นห่วงแล้วกระมัง” หลิงหวินจื่อกล่าวขึ้นมา ภายในจิตใจก็เกิดความประหลาดใจต่อของเหลวหยดนั้นไม่น้อยเลย แค่หลงเฉินกลืนลงไปเพียงหยดเดียวก็สามารถผสานบาดแผลฉกรรจ์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะต่อให้เป็นผู้อาวุโสแห่งศาลาการแพทย์ก็คงจะไม่อาจสร้างขึ้นมาได้

 

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เป็นห่วง ศิษย์ดีขึ้นมากแล้ว” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป ถึงแม้ว่าในขณะนี้ยังรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมาก ทว่าก็คงจะสามารถฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน ทว่าคงจะใช้เวลามากพอสมควรที่จะทำให้โลหิตบริสุทธิ์ที่สูญเสียไปคืนสภาพกลับมาดังเดิม สิ่งนี้จึงทำให้เขาคิดไม่ตกจนรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างถึงที่สุด

 

“เจ้าหนู ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว สนใจจะกราบข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่?” อาจารย์อากล่าวต่อหลงเฉิน แววตาของเขาทอประกายเจิดจ้าจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“ศิษย์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

 

หลิงหวินจื่อและถู่ฟางทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พลันก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะพวกเขาทราบดีว่าอี้ซู่แห่งฟ้าดินไม่ใช่สิ่งที่ควรอยู่บนโลกใบนี้ หากรับหลงเฉินเป็นศิษย์ส่วนตัว คนเป็นอาจารย์ย่อมไม่อาจรับผลกระทบที่จะตามมาได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือทัณฑ์จากสวรรค์นั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้หลิงหวินจื่อและถู่ฟางจึงทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง อีกทั้งยังยืนกรานด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดโดยอ้างว่าไม่ให้รับศิษย์โดยตรง และพวกเขาจะต้องปรึกษาหารือกันก่อน

 

และทันใดนั้นเองอาจารย์อาก็ระเบิดโทสะขึ้นมายกใหญ่แล้วด่าทออกไปว่า “ผู้ใดจะห้ามข้า ข้าบอกว่ารับก็คือรับ ได้ก็คือได้ พวกเจ้ากล้าขัดขืนอย่างนั้นหรือ?”

 

หลิงหวินจื่อถอนหายใจด้วยความลำบากใจอย่างถึงที่สุด เขาทราบนิสัยของอาจารย์อาเป็นอย่างดี หากเมื่อใดที่คนผู้นี้มีโทสะขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะคลายลงไปได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้หมู่ตึกพลิกผันได้เพียงฝ่ามือเดียว ถู่ฟางเองก็ได้แต่ลอบส่งสัญญาณไปทางหลงเฉิน

 

หลงเฉินเองก็ไม่ทราบถึงเหตุผลที่ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสถู่ฟางขัดค้าน ทว่าเขาเองก็มีความเชื่อมั่นต่อท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสถู่ฟางอยู่ไม่น้อยจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

 

“ความหวังดีของท่านผู้อาวุโส ศิษย์จะขอน้อมรับด้วยใจ ทว่าศิษย์มีเหล่าพี่น้องที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมามากมายรออยู่ ฉะนั้นศิษย์จึงไม่อยากจะกอบโกยความสำเร็จเอาไว้เพียงคนเดียว จึงขออนุญาตปฏิเสธความหวังดีของท่านผู้อาวุโสในครั้งนี้ โปรดให้อภัยศิษย์ด้วย” หลงเฉินกล่าว

 

เมื่อได้ยินฟังวาจาอ่อนน้อมของหลงเฉิน เพลิงโทสะภายในอกของชายชราก็ลดทอนลงไปในทันที เขาก็ไม่ได้คิดที่จะรับหลงเฉินมาเป็นศิษย์ให้ได้ ทว่าที่เกรี้ยวกราดขึ้นมาก็เพราะท่าทีของหลิงหวินจื่อและถู่ฟางต่างหาก

 

เมื่อพบว่าชายชราเข้าสู่สภาวะปกติสุขแล้ว หลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย พลันก็ลอบชมเชยหลงเฉินที่รู้จักแก้ไขสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

 

ทันใดนั้นหลงเฉินก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ภายในดวงตาจึงทอประกายเจิดจ้าจ้องมองไปที่ชายชราแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าอยากทราบว่าท่านมีโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสูงอยู่ใช่หรือไม่?”

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset