“เสี่ยวซี ฉันเป็นแม่แกนะ แม่ที่อุ้มท้องแกมาสิบเดือนและคลอดแกออกมา แกมาสงสัยฉันได้ยังไงกัน? แกทำให้หัวใจของแม่แหลกสลาย”
น้ำตาของโจวยู่ชุ่ยนึกจะไหลก็ไหลได้มาแต่ไหนแต่ไร เธอกำหมัดข้างหนึ่งและทุบตำแหน่งหัวใจตัวเอง พร้อมทำท่าเจ็บปวดรวดร้าวแทบอยู่ไม่ไหว “แกจะด่าฉันจะตีฉันก็ได้ แต่แกจะทำร้ายจิตใจฉันแบบนี้ไม่ได้”
“ฉันแต่งงานกับพ่อแกสิบกว่าปี มีลูกเป็นแกกับเสี่ยวยี เมื่อก่อนฉันไม่ได้ทำหน้าที่แม่เลยก็จริง แต่ฉันก็เปลี่ยนแปลงตัวเองมาโดยตลอด”
“ตอนนี้แกกลับสงสัยแม่แท้ๆของแกเพราะผู้ชายคนเดียว ต้องให้ฉันควักหัวใจออกมาใช่มั้ยแกถึงรู้ว่าฉันไม่ได้หลอกแก”
โจวยู่ชุ่ยเล่นละครตบตาได้สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือคำพูด เธอควบคุมน้ำหนักได้ดีมาก
แต่ครั้งนี้ฉินซีไม่ใจอ่อน เธอพูดขึ้นทั้งตาแดงๆ “แม่ทำอะไรไว้บ้าง ตอนนี้หนูไม่อยากเถียงด้วย พี่อ้ายบอกว่าเธอมั่นใจว่าจะทำให้พ่อฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งอาทิตย์”
“หนูเชื่อว่าหลังจากพ่อฟื้นแล้ว ความจริงทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง ถึงตอนนั้นถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ หนูจะไม่ใจอ่อนเมตตาปรานีอีกเป็นอันขาด”
“เห็นแก่ที่เป็นแม่ลูกกันมายี่สิบกว่าปี หนูเตือนด้วยความหวังดีนะคะ ถ้าแม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของพ่อจริงๆ ในฐานะลูกสาว หนูหวังว่าแม่จะไปมอบตัว”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินซีมีท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้กับโจวยู่ชุ่ย แม้แต่หยางเฉินยังประหลาดใจ
ส่วนโจวยู่ชุ่ย ในใจลนลานสุดๆ
อีกหนึ่งอาทิตย์ ฉินต้าหย่งจะฟื้นขึ้นมาได้จริงๆหรือ
ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาจริงๆ เรื่องที่ตัวเองพูดก่อนหน้านี้ตอนทารุณกรรมเขาก็คงถูกเขาประจานให้ทุกคนได้รู้น่ะสิ
ถึงตอนนั้น ตัวเองต้องถูกจับเข้าคุกจริงๆใช่มั้ย?
ยิ่งคิดโจวยู่ชุ่ยก็ยิ่งผวา แต่สีหน้ายังคงไว้ด้วยความเสียใจ พูดเสียงสะอื้น “เสี่ยวซี ฉันคิดไม่ถึงจริงๆว่าแกจะกลายเป็นแบบนี้ในวันนี้ได้”
“แกใช่มั้ย แกแน่ๆที่พูดเหลวไหลลับหลังฉัน ใส่ร้ายฉันกับเสี่ยวซี ถึงทำให้เธอตั้งแง่เป็นปฏิปักษ์กับฉันแบบนี้ เป็นเพราะแกคนเดียว”
ทันใดนั้นโจวยู่ชุ่ยก็ตวาดใส่หยางเฉินอย่างเกรี้ยวกราดด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
หยางเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “คุณไม่ต้องแสดงละครตรงนี้หรอก พ่อเกิดเรื่องได้ยังไงคุณรู้ดีกว่าใคร ตอนนี้คุณจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่วันพี่พ่อฟื้นขึ้นมาจะเป็นวันที่คุณต้องเสียใจ”
คำพูดของหยางเฉินประหนึ่งโยนหินยักษ์ลงทะเล ซัดคลื่นขึ้นมาอย่างดุดัน และถาโถมใส่โจวยู่ชุ่ยไม่หยุด
โจวยู่ชุ่ยตัวโอนเอนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ ในใจเธอผวาถึงขีดสุด
ไม่ต้องสงสัย หากเรื่องที่ตัวเองทำไว้ถูกเปิดโปง หยางเฉินไม่ปล่อยตัวเองไปแน่
“คุณไปจากโรงพยาบาลดีกว่า อยู่ที่นี่ไปรังแต่จะทำให้พวกเราระแวงว่าคุณจะทำร้ายพ่อ”
หยางเฉินไล่แขกโดยไม่ไว้หน้า
“มีสิทธิ์อะไร? มีสิทธิ์อะไรให้ฉันไป? แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน มีสิทธิ์อะไรมาให้ฉันไปจากที่นี่”
โจวยวี่ชุ่ยตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “ฉันเป็นภรรยาตามกฎหมายของฉินต้าหย่ง ตอนนี้เขานอนสลบไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล ทำไมฉันต้องเป็นคนไปด้วย”
“ต่อให้ต้องไปก็ต้องเป็นพวกแกที่ไป”
“พวกแกไสหัวไปซะ ไสหัวไปเลย สามีของฉัน ฉันเฝ้าเองได้ พวกแกไม่ต้องมาเสแสร้งแกล้งทำอยู่ที่นี่หรอก”
โจวยู่ชุ่ยคำรามพลางพุ่งไปอยู่ตรงหน้าฉินซี ดึงตัวเธอออกจากเตียงผู้ป่วยของฉินต้าหย่งและพูดทั้งที่ร้องไห้อยู่ “แกก็ไสหัวออกไปด้วย”
“แมลงวันไม่ตอมไข่ที่ไร้รอยร้าว สิ่งที่ตระกูลเว่ยบังคับให้ฉันพูดอาจจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยก็ได้ พวกแกสงสัยฉัน ฉันก็สงสัยพวกแกสองสามีภรรยาเหมือนกัน พวกแกจ้างคนอื่นไปฆ่าต้าหย่งเพราะหวังมรดก”
“ไสหัวออกไปเลยนะ พวกแกไสหัวออกไปเลย”
โจวยู่ชุ่ยร้องไห้ไปพลางตะโกนลั่น ท่าทางอย่างกับคนเสียสติ
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ตัวเองเหลือเวลาเพียงเจ็ดวัน ถ้ายังไม่ปลิดชีพฉินต้าหย่งอีกเขาคงได้ฟื้นขึ้นมาจริงๆ
หากฉินต้าหย่งฟื้นขึ้นมา ทุกสิ่งที่เธอทำไว้ก็จะถูกเปิดเผย
เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงเธอต้องอยู่ข้างกายฉินต้าหย่งไว้ จะได้มีโอกาสลงมือ
“เพียะ”
ขณะนั้นเอง หยางเฉินก้าวไปข้างหน้าโดยพลัน คว้ามือของโจวยู่ชุ่ยที่คิดจะตบหน้าฉินซีไว้ และพูดด้วยสีหน้าโมโห “บังอาจมาแตะเธอ มึงอยากตายใช่มั้ย”
พอสบตาเข้ากับหยางเฉิน โจวยู่ชุ่ยที่คิดจะอาละวาดต่อรู้สึกเหมือนตกลงไปในรังน้ำแข็ง เย็นเยียบสะท้านไปถึงกระดูกทั้งตัว
เธอมีความรู้สึกว่า ถ้าเธอกล้าลงมือกับฉินซี หยางเฉินก็กล้าฆ่าเธอจริงๆ
“ที่รัก”
ฉินซีก็ตกใจกับหยางเฉินในตอนนี้เหมือนกัน เธอร้องเรียกเสียงสั่น
“เธอเป็นผู้หญิงของผม ต่อให้คุณเป็นแม่ของเธอก็ห้ามแตะต้องเธอแม้ปลายเล็บ”
หยางเฉินหรี่ตาพลางเอ่ย “นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้ายจากผม ขืนยังมีครั้งหน้า ผมจะทำให้คุณต้องชดใช้”
พูดจบ เขาก็ปล่อยข้อมือของโจวยู่ชุ่ย
และในตอนนั้น พยาบาลเข้ามาฉีดยาให้ฉินต้าหย่ง ทุกอย่างถึงกลับสู่ความสงบ
จากคำขู่เมื่อกี้ โจวยู่ชุ่ยไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว ได้แต่นั่งหงอยๆอยู่บนโซฟาในมุมห้อง
แม้เธออยากจะทิ้งทุกอย่างและไปจากที่นี่มาก แต่ถ้าไปแล้วเธอจะไม่มีโอกาสอะไรอีก
หยางเฉินย่อมรู้ดีว่าโจวยู่ชุ่ยมีแผนอะไร และไม่ได้ยืนยันจะไล่เธอออกไป
ช่วงนี้เขาจะอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงวันที่ฉินต้าหย่งฟื้น มีเขาอยู่ หากโจวยู่ชุ่ยลงมือมีแต่ต้องถูกเปิดโปง
เมื่อกี้ เขาเองสัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวของฉินซี ขอแค่มีหลักฐานยืนยัน ว่าเรื่องของฉินต้าหย่งเป็นฝีมือของโจวยู่ชุ่ย เขาจะส่งโจวยู่ชุ่ยเข้าคุกโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
พอถึงเวลาสามทุ่ม อ้ายหลินมาที่ห้องผู้ป่วยตรงเวลา
แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลและผู้ชำนาญ ก็มากับเธอด้วย
ถ้าได้ดูผู้ชำนาญทางการแพทย์ระดับอ้ายหลินรักษาผู้ป่วยกับตา ถือเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
“สมกับเป็นผู้ชำนาญการแพทย์ระดับประเทศ ฝีมือรักษาที่ผสมทั้งการแพทย์จีนและการแพทย์ตะวันตกของเธออยู่ระดับต้นๆของโลก”
“ก็ใช่น่ะสิ ผู้ชำนาญอ้ายเป็นผู้ชำนาญระดับพิเศษที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากประเทศโดยตรง ว่ากันว่าแม้แต่ผู้ชำนาญอาวุโสชื่อดังระดับโลกบางคน ยังชมเธอไม่หยุดปาก”
“ผู้ชำนาญอ้ายบอกว่า ฉินต้าหย่งฟื้นขึ้นมาได้ราวๆเจ็ดวันนี้แหละ ไม่มีปัญหาแน่นอน”
“เพียงเจ็ดวันก็ช่วยให้เจ้าชายนิทราคนหนึ่งฟื้นขึ้นมาได้ นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ”
กลุ่มชนผู้ชำนาญระดับสูงของโรงพยาบาลต่างชมฝีมือรักษาของอ้ายหลินไม่หยุดปาก
โจวยู่ชุ่ยที่หลบอยู่ข้างๆหน้าซีดเผือด เธอนึกว่าอ้ายหลินเป็นเพียงหมอจากเมืองเยนตู แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่สาวขนาดนี้ จะเป็นผู้ชำนาญชื่อดังระดับโลก
นั่นก็หมายความว่า ช่วงห้าหกวันนี้ฉินต้าหย่งมีความเป็นไปได้ว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
หากฉินต้าหย่งฟื้น ตัวเองจะทำยังไงต่อไป?
ยิ่งคิด โจวยู่ชุ่ยยิ่งลนลานในใจ ขณะเดียวกัน ความอยากปลิดชีพฉินต้าหย่งรุนแรงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
การรักษาครั้งนี้นานถึงสองชั่วโมงถึงจบลง
อ้ายหลินทั้งนวด ทั้งฝังเข็ม เมื่อการรักษาจบลงแล้ว เธอเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว
“ปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ชัดๆ”
ทันใดนั้น ผู้ชำนาญอาวุโสผมขาวโพลนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยความตื้นตัน
“ท่านเย่ ท่านเป็นอะไรไป?”
ผู้ชำนาญท่านอื่นพากันถามอย่างตกใจ
“เมื่อกี้ ผมเห็นคนไข้ขยับนิ้ว นี่เพิ่งจะเป็นการรักษาครั้งแรก ผู้ป่วยก็มีปฏิกิริยาแล้ว นี่ก็หมายความว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอก”
ท่านเย่ชี้มือของฉินต้าหย่ง และพูดอย่างตื่นเต้น “ถ้ามีพัฒนาการระดับนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมเดาว่าอย่างมากสุดห้าวัน คนไข้ก็จะฟื้นขึ้นมา”